หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 540 ยอมสยบ
“แก…แกเป็นใคร? ทำไม…ทำไมบุกรุกเข้ามาในบ้านฉันแบบนี้?”
จี๋เหล่าต้ามองดูผู้มาเยือน สมองก็กำลังแล่นอย่างรวดเร็ว แต่เขากลับไม่กล้าไปหยิบปืนพกที่ใต้หมอน เพราะเขารู้ดีว่า เวลาเผชิญหน้ากับคนบางคน อาวุธปืนไม่แน่ว่าจะสามารถเล่นงานอีกฝ่ายได้เสมอไป
เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่ฝีมือที่อีกฝ่ายแสดงให้เห็นเมื่อครู่ จี๋เหล่าต้าก็รู้แล้วว่าฝ่ายตรงข้ามได้ออมมือให้แล้ว ไม่อย่างนั้นมีดสั้นเล่มนั้นก็คงจะปักลงไปที่กลางหน้าผากของเขาไปแล้ว
นอกจากนี้จี๋เหล่าต้ายังจำได้ว่า เมื่อครั้งอดีตตอนที่พ่อถูกคนพังประตูห้องบุกเข้าไปหานั้น แม้จะกำลังควบขี่อยู่บนร่างของผู้หญิง แต่เขาก็คว้าปืนที่อยู่บนหัวเตียงมาได้ตั้งแต่ชั่วอึดใจแรกแล้ว
แต่ก็เป็นเพราะสาเหตุนี้นี่เอง คนที่บุกเข้าไปในห้องจึงไม่ปล่อยให้พ่อมีโอกาสเลย หลังจากซัดลูกดอกใส่ด้านลำคอของโจวต้าหมาจื่อ จากนั้นก็ฟันศีรษะของเขาขาดไปในดาบเดียวทันที
ดังนั้นจี๋เหล่าต้าจึงชูมือทั้งสองขึ้นสูงอย่างให้ความร่วมมือ ไม่กล้าเคลื่อนไหวอย่างมีพิรุธแม้แต่น้อย เขาพอจะคาดเดาจุดประสงค์การมาของอีกฝ่ายได้อยู่บ้าง ในใจจึงไม่ได้รู้สึกแตกตื่นอะไรมาก
“จี๋เหล่าต้าสินะ ฉันชื่อเยี่ยเทียน…”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเยี่ยเทียน แต่ในฝ่ามือของเขากลับซุกเหรียญทองแดงไว้เหรียญหนึ่ง เขารู้สึกได้ถึงพลังสังหารที่แผ่มาจากใต้หมอนของจี๋เหล่าต้า ตรงนั้นจะต้องซ่อนปืนไว้กระบอกหนึ่งอย่างแน่นอน
“ผมได้เชิญผู้อาวุโสในเขตปักกิ่งและเทียนจินไปหลายท่าน รอก็แต่ให้คุณมาเยือนเท่านั้น แต่คุณจี๋เหล่าต้ากลับไม่ไว้หน้าผมเลย ในเมื่อหมดหนทาง ผมก็เลยได้แต่มาหาถึงที่บ้านนี่แหละ!”
เมื่อได้พบกับจี๋เหล่าต้า เยี่ยเทียนก็ออกจะผิดหวังอยู่ เพราะเยี่ยเทียนสัมผัสพลังชี่บนร่างของเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อยนิด พูดอีกอย่างก็คือ เขาเป็นแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ทายาทชั่วในตระกูลสายข้างคนที่ได้รับถ่ายทอดวิชาตระถูลโจวไป
“เป็นอย่างที่เขาว่าวีรบุรุษมักปรากฏในคนรุ่นเยาว์จริงๆ คุณเยี่ยอายุน้อยขนาดนี้ แต่มีฝีมือเยี่ยมจริงๆ เลย!”
จี๋เหล่าต้าหัวเราะฮ่าๆ ลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างช้าๆ “คุณเยี่ยครับ กระผมแซ่จี๋ยอมแพ้แล้ว คุณบอกเงื่อนไขมาได้เลย แล้วกระผมจะทำตามที่คุณสั่ง!”
คนที่อาศัยอยู่ในยุทธภพนั้น ไม่มีใครที่ไม่ยอมสยบใต้คมดาบ จี๋เหล่าต้าก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยถูกคนรุมซ้อมกลางซอยจนหน้าตาชอกช้ำมาก่อน เมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว การคิดหาทางแก้ไขต่างหากถึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง
และในเมื่อเยี่ยเทียนอ้างถึงธรรมเนียมในยุทธภพขึ้นมา จี๋เหล่าต้าก็ต้องว่าไปตามน้ำไปก่อน ก่อนหน้านี้เขามีความผิดอยู่จริง แต่เรื่องเหล่านี้สามารถเจรจากันได้ อย่างมากเขาก็แค่จ่ายค่าชดเชยให้เท่านั้นเอง
“ได้ ลุกขึ้นมาเถอะ เดี๋ยวเราไปคุยกันในห้องชั้นล่าง!” เยี่ยเทียนพยักหน้า มองจี๋เหล่าต้าแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “เคลื่อนไหวช้าๆ หน่อยล่ะ ของที่อยู่ใต้หมอนนั่นไม่ต้องพกลงไปด้วยหรอกนะ!”
จี๋เหล่าต้าใจหายวาบ มือข้างที่ตอนแรกกำลังจะคลำหาปืนพร้อมๆ กับหยิบเสื้อผ้านั้นหยุดนิ่งไปทันที คนที่ชื่อเยี่ยเทียนตรงหน้านี้ถึงจะอายุไม่มาก แต่กลับมีประสบการณ์ในยุทธภพเหมือนนักพรตอาวุโสเลยทีเดียว
เมื่อสถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นคอขาดบาดตาย จี๋เหล่าต้าก็ไม่อยากไปยั่วโทสะเยี่ยเทียนเพราะเรื่องนี้ แล้วจึงค่อยๆ ใส่เสื้อคลุม หลังจากเยี่ยเทียนเก็บมีดสั้นอู๋เหินกลับไปแล้ว ทั้งสองก็มาที่ห้องรับแขกชั้นหนึ่ง
“อึก…อึก…”
เมื่อเห็นลูกพี่ลงมาจากชั้นบน หลินเซวียนโย่วก็พยายามจะลุกขึ้นมาอย่างสุดชีวิต แต่แขนขาของเขาถูกเยี่ยเทียนดึงหลุดจากข้อไปแล้ว ขากรรไกรก็ถูกถอนหลุด จึงได้แต่เปล่งเสียงที่ไม่มีความหมายใดๆ ออกมาอย่างไร้ประโยชน์
‘เวรเอ๊ย มีแต่พวกสวะทั้งนั้น!’
หลังจากเห็นหลินเซวียนโย่วที่นอนอยู่บนโซฟา ความหวังในใจของจี๋เหล่าต้าที่ยังมีอยู่น้อยนิดก็หายไปหมด ฝ่ายตรงข้ามต้องตระเตรียมกันมาแน่นอน เขาคงจัดกำลังคนไว้ในบ้านหลังนี้น้อยเกินไป
“อาจารย์ ผมประมาทไปหน่อย ไอ้นี่มันเลยตะโกนขึ้นมาได้น่ะครับ!”
พวกเยี่ยเทียนเพิ่งจะมาถึงในห้องรับแขก โจวเซี่ยวเทียนก็หิ้วคนเดินเข้ามาอีกคนหนึ่งด้วยสีหน้าละอาย อาศัยความสามารถของเขาแล้ว กับคนธรรมดาๆ คนหนึ่งกลับยังปล่อยให้ร้องตะโกนออกมาได้
“พวก…พวกคุณมีกันสองคนเนี่ยนะ?”
จี๋เหล่าต้ามองไปรอบๆ บ้าน แล้วก็ต้องตกตะลึง พวกลูกน้องของเขาพกอาวุธปืนกันครบทุกคน ไม่นึกเลยว่ากลับไม่ได้ใช้ประโยชน์เลยเหมือนเขาไม่มีผิด
“อาจารย์ มันน่ะหรือครับคือจี๋เหล่าต้า?”
โจวเซี่ยวเทียนพิจารณาดูจี๋เหล่าต้าที่นั่งอยู่บนโซฟา ในใจก็รู้สึกผิดหวังไปบ้าง ร่างกายของชายคนนี้ไม่มีลักษณะของคนฝึกวรยุทธเลยสักนิด คงไม่ใช่ทายาทสายข้างของตระกูลโจวแล้วละ
“พอเถอะ ไม่ต้องพูดมาก”
เยี่ยเทียนโบกมือ “จี๋เหล่าต้า แกส่งเปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อร์ไปทำการต้มตุ๋นที่ปักกิ่ง แล้วก็หลอกมาถึงพวกฉันได้ แต่นี่เป็นอาชีพทำมาหากินของแก ฉันก็เลยไม่ถือสา แต่แกปล่อยข่าวว่าจะมาเจรจา สุดท้ายก็หลบหลีกหนีหาย แบบนี้เรียกว่าแกทำผิดธรรมเนียมรึเปล่าล่ะ?”
ที่จริงแล้วในยุทธภพก็มีการหากินที่ล้ำเส้นกฎหมายเช่นนี้อยู่ไม่น้อย ตอนแรกเยี่ยเทียนคิดว่าแค่ตามเงินก้อนนั้นกลับมาก็พอแล้ว แต่พฤติการณ์ของจี๋เหล่าต้ากลับทำให้เยี่ยเทียนเปลี่ยนใจ เขาไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่
จี๋เหล่าต้าพยักหน้า “ใช่ น้องเยี่ย เหล่าจี๋ทำผิดธรรมเนียมเองนั่นแหละ จะทุบตีหรือจะลงโทษ คุณก็ตั้งกฎมาได้เลย เหล่าจี๋ไม่ขัดขืนแน่นอน”
ภาษิตว่า ชายชาตรีพึงปรับตัวตามสถานการณ์ จี๋เหล่าต้าเป็นคนฉลาด เงินนั้นถึงไม่มีก็หามาใหม่ได้ แต่ถ้าหัวสมองไม่มีแล้วละก็ ไม่มีทางงอกออกมาใหม่ได้หรอก
“ให้ฉันตั้งกฎงั้นรึ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วเหลือบมองจี๋เหล่าต้าแวบหนึ่ง นิ้วชี้มือขวาเคาะลงไปบนที่เท้าแขนของโซฟาซึ่งทำจากไม้จันทน์เป็นจังหวะไม่ช้าไม่เร็ว เขาคาดไม่ถึงว่า จี๋เหล่าต้าจะลื่นไหลปานนี้ แบบนี้กลับทำให้เยี่ยเทียนยุ่งยากขึ้นมาบ้างแล้ว
ถ้าจี๋เหล่าต้าแข็งกร้าวสักหน่อย อย่างนั้นเยี่ยเทียนก็ยังพอจะมีวิธีจัดการมันอยู่ ซึ่งก็คือเอาชีวิตมันเลย และจี๋เหล่าต้าก็จะเป็นฝ่ายทำผิดธรรมเนียมก่อน แต่เมื่อมันแสดงท่าทีออกมาแบบนี้ เยี่ยเทียนก็ไม่อยากจะลงโทษมันหนักเกินไป
หลังจากคิดดูครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็พูดขึ้นว่า “การตระบัดสัตย์นั้น ตามธรรมเนียมในยุทธภพจะต้องถูกฟันสามดาบ ฉันจะลดให้หนึ่งดาบ เอามือกับเท้าแกอย่างละข้าง แกว่าเป็นยังไงล่ะ?”
ถ้าทำเรื่องผิดแค่ยอมรับก็ไม่ต้องถูกลงโทษแล้วอย่างนั้นหรือ? โลกนี้ไม่มีเรื่องสะดวกสบายแบบนั้นหรอก ด้วยนิสัยของเยี่ยเทียน ตอนแรกยังคิดว่าจะตัดลิ้นมันอีกอย่างด้วยซ้ำ นี่เพราะเห็นจี๋เหล่าต้ายอมสยบ ก็เลยยอมปล่อยไปข้อหนึ่ง
“ท่าน…ท่านเยี่ย นี่…นี่มันหนักเกินเหตุไปรึเปล่าครับ ท่าน…ท่านจะเอามือกับเท้าผมอย่างละข้าง แล้วต่อไปกระผมจะยังหากินในยุทธภพต่อไปได้ยังไงล่ะ?”
เยี่ยเทียนรู้สึกว่าตัวเองเมตตามากแล้ว แต่ทางฝ่ายจี๋เหล่าต้าเมื่อได้ยินดังนั้น กลับรู้สึกไปคนละอย่างโดยสิ้นเชิง สมัยเด็กเขาเคยเห็นคนพิการมือด้วนขาขาดขอทานอยู่ตามริมถนนมามาก เขาจึงไม่อยากให้ตัวเองต้องกลายเป็นสภาพนั้นเลย
“แกยังคิดจะหลอกลวงคนอื่นต่อไปอีกรึ?”
เยี่ยเทียนฟังแล้วยิ้มขึ้นมา เพราะเขาแสดงตัวเป็นคนใจอ่อนมากเกินไปรึเปล่านะ? จี๋เหล่าต้าคนนี้ถึงกับกล้าต่อรองกับเขาแบบนี้เลย?
“ท่านเยี่ยครับ สมบัติพัสถานของผมท่านเอาไปได้หมดเลย นอกจากนั้นผม…ผมจะล้างมือจากวงการนี้ไปก็ได้ ท่าน…ท่านปล่อยเบี้ยตัวน้อยอย่างผมไปได้ไหมครับ ให้ผมได้มีแขนขาครบๆ ต่อไปเถอะนะ!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างของเยี่ยเทียน จี๋เหล่าต้าก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดล้อเล่นกับตัวเองเลย จึงคุกเข่าลงไปตรงหน้าเยี่ยเทียนดัง “โครม” แล้วโขกหน้าผากลงไปบนพรมหนาที่ปูอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่ายเสียงดัง “ตุบๆ”
จี๋เหล่าต้าเติบโตมาในสถานที่อย่างสถานีรถไฟมาตั้งแต่เด็ก จึงเข้าใจจิตใจของคนอย่างทะลุปรุโปร่ง อย่างครั้งแรกที่เขาถูกจับเพราะลักขโมยนั้น แค่เขาคุกเข่าลงไปวิงวอน ก็จะได้รับการให้อภัยจากผู้คนแล้ว
ส่วนเรื่องศักดิ์ศรีนั้น ในใจจี๋เหล่าต้าไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย เขาก็เหมือนกับบรรพบุรุษที่ไปเข้ากับพวกคนญี่ปุ่นทำเรื่องขายชาตินั่นเอง ‘ศักดิ์ศรี…มันใช้กินแทนข้าวได้ไหมล่ะ?’
“เวรเอ๊ย นี่มันพวกชั้นต่ำจริงๆ”
เมื่อเห็นจี๋เหล่าต้าถึงขั้นแสดงกิริยาแบบนั้น เยี่ยเทียนก็อดรู้สึกอายแทนพ่อตัวเองไม่ได้ แค่ลูกน้องของไอ้คนพรรค์นี้ ก็ถึงกับหลอกเงินพ่อไปได้สามสิบล้าน ไม่รู้ว่าถ้าไปเล่าให้ฟังแล้ว พ่อจะทำหน้าแบบไหนกัน?
“ไม่ต้องโขกแล้ว ฉันเยี่ยเทียนถ่มน้ำลายออกไปแล้วไม่มีวันกลืนกลับลงไปหรอก หนึ่งมือหนึ่งเท้า หรือไม่ก็หนึ่งชีวิต แกเลือกเอาเองเถอะ!”
หลังจากได้ติดตามพรตเฒ่าออกท่องยุทธภพไปหลายปี เยี่ยเทียนจึงเข้าใจว่า การชอบฟังแต่คำพูดไพเราะนั้นไม่ใช่นิสัยที่ดีเท่าไรนัก ดังนั้นเขาจึงมีนิสัยไม่รับฟังการโน้มน้าวใดๆ มาตั้งแต่เด็กไม่ว่าจะใช้ไม้อ่อนหรือไม้แข็ง
“แก…แกจะเอาเรื่องกันให้ได้เลยใช่ไหม?”
จี๋เหล่าต้าเงยหน้าขึ้นมาอย่างฉับพลัน สีหน้าเหี้ยมเกรียมขึ้นมาเล็กน้อย เขาย่อมรู้ธรรมเนียมในยุทธภพดีอยู่แล้ว และก็รู้ว่าเยี่ยเทียนไม่ได้พูดผิดไปเลย
แต่ธรรมเนียมเหล่านี้ที่ผ่านมามีแต่จี๋เหล่าต้าใช้กับคนอื่น ตอนนี้เมื่อถูกใช้กับตัวเองบ้างแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถทำใจยอมรับได้
“ฉันให้ทางรอดกับแกแล้วนะ ยังไม่รู้จักพออีกรึ?” เยี่ยเทียนพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
จี๋เหล่าต้าเปลี่ยนใจอย่างรวดเร็ว หน้าตาดูน่าเวทนาขึ้นมาเล็กน้อย “ได้…ได้ครับ กระผมแซ่จี๋ยอมแล้ว!”
เยี่ยเทียนพยักหน้าแล้วถามว่า “เงินล่ะ? อย่าบอกนะว่าแกเอาไปใช้หมดแล้ว”
จี๋เหล่าต้าทำท่าทางเหมือนยอมศิโรราบแล้ว “อยู่ที่ห้องใต้ดินน่ะ ผมจะไปเอามาให้นะ!”
“ห้องใต้ดินรึ? ได้ ไปสิ”
เยี่ยเทียนดูออกว่า ในดวงตาของจี๋เหล่าต้ามีความชิงชังแฝงอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ปกติก็ไม่มีใครทำหน้ายิ้มให้คนที่จะฟันมือเท้าของตัวเองอยู่ได้หรอก
เมื่อเห็นจี๋เหล่าต้าเดินไปถึงตรงผนังกั้นที่ปลายบันไดและเปิดประตูลับออก เยี่ยเทียนก็ชี้ไปที่หลินเซวียนโย่วซึ่งนอนนิ่งไม่กระดุกระดิกอยู่บนโซฟา แล้วพูดกับโจวเซี่ยวเทียนว่า “เซี่ยวเทียน เก็บขากรรไกรมันกลับขึ้นไปซิ…”
แค่ดูก็รู้แล้วว่า หนุ่มแว่นคนนี้เป็นคนใกล้ชิดของจี๋เหล่าต้า เยี่ยเทียนจึงอยากให้ลูกศิษย์ซักถามชายคนนี้ดู เขารู้สึกว่าการแสดงออกต่างๆ ของจี๋เหล่าต้านั้นดูเสแสร้งไปหมด เจ้าหมอนี่น่าจะยังปิดบังเรื่องอะไรไว้อยู่แน่ๆ
“ฉันจะลงไปก่อน!” พอเห็นจี๋เหล่าต้ากำลังจะเข้าไปในประตูลับ เยี่ยเทียนก็ขวางหน้าเขาไว้ก่อน
ในสมัยก่อนสถาปนาประเทศ คนในยุทธภพต่างก็มีศัตรูคู่แค้นกันทั้งนั้นไม่มากก็น้อย การสร้างห้องลับไว้ในบ้านจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก และโดยทั่วไปก็จะไม่จัดอะไรไว้ในห้องลับนั้น
แต่เยี่ยเทียนไม่รู้ว่า ในห้องลับที่อยู่ต่ำลงไปจากประตูลับนี้จะมีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือไม่ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน เขาจึงไม่กล้าให้จี๋เหล่าต้าเดินอยู่ข้างหน้า
“ได้ครับ เชิญก่อนเลย”
จี๋เหล่าต้าแอบโอดครวญในใจ เจ้าหนุ่มคนนี้นี่ก็เรื่องมากเหลือเกิน ถ้ารู้แต่แรกเขาคงไม่โลภอยากได้เงินสามสิบล้านนั่นหรอก ถ้าทำเรื่องให้จบเรียบร้อยไปตามธรรมเนียมเสียตั้งแต่ตอนนั้นก็ดีน่ะสิ
“นี่…นี่ใครน่ะ?”
หลังจากลงไปถึงด้านล่างสุดแล้ว เยี่ยเทียนก็ผลักบานประตูออก ภาพที่ปะทะแก่สายตานั้นทำให้เขาตะลึงอึ้งไปทันที ชายที่ถูกมัดไว้กับเสาคนนี้ สภาพออกจะดูอเนจอนาถเกินไปจริงๆ
แต่เยี่ยเทียนดูไม่ออกเลยว่า นี่ก็คือหลิวเหล่าเอ้อร์นั่นเอง เพราะใบหน้าของเขาถูกทุบตีจนเปลี่ยนรูปไปนานแล้ว อย่าว่าแต่เยี่ยเทียนเลย ต่อให้เป็นแม่แท้ๆ ของหลิวเหล่าเอ้อร์มาเองก็คงจะจำไม่ได้เหมือนกัน
…………………………………….