หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 553 โปรดสัตว์ (2)
สถานที่ที่เยี่ยเทียนอยู่มีมีดสั้นอู๋เหินกำลังดูดซับวิญญาณชั่วร้าย เขาจำเป็นต้องกระตุ้นเลือดลมของเขาเพื่อต่อต้านการโจมตีของวิญญาณชั่วร้าย และการประนมมือสวดมนต์ก็ยังมีผลในการขับไล่พลังหยินพิฆาต ทำให้ขจัดภัยได้สบายมากทีเดียว
หลังจากที่ได้เห็นความเหนื่อยล้าของศิษย์พี่ทั้งสอง เยี่ยเทียนก็รีบตะโกน “เซี่ยวเทียน พวกนายสองคนมานี่สิ รับเข็มทิศที่อยู่ในมือของอาจารย์ลุงของพวกนายไปที!”
เนื่องจากวิญญาณชั่วทั้งหมดถูกระงับอยู่ในหลุมนี้ในระยะสิบเมตร พลังหยินที่ล่องลอยด้านนอกจึงน้อยมากแล้วสำหรับโจวเซี่ยวเทียนและหลิ่วติ้งติ้งแล้วถือว่าไม่เป็นภัยคุกคาม ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงให้พวกเขามารีบช่วงระงับพลังพิฆาตแทนโก่วซินเจีย
“ระวังด้วยนะ ถ้าไม่ไหวก็บอก!”
ในขณะนี้โก่วซินเจียหมดแรงเต็มที ไม่ได้นอบน้อมถ่อมตัวใดๆ หลังจากที่อาจารย์สอนวิธีการใช้เข็มทิศให้ทั้งสองคนอย่างคร่าวๆ แล้วก็ปล่อยมือ แล้วจึงนั่งลงขัดสมาธิกับพื้น
ในส่วนของจั่วเจียจวิ้นถึงแม้อายุจะน้อยกว่าศิษย์พี่ใหญ่ แต่เลือดลมก็สูบฉีดดีอยู่ เมื่อเห็นสถานการณ์ดังกล่าวจึงยังพอรับมือได้สักพักหนึ่ง
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง โก่วซินเจียก็ลุกขึ้น รับเหรียญกษาปณ์ทองแดงที่อยู่ในมือของจั่วเจียจวิ้น และทั้งสี่คนก็ผลัดกันพักผ่อน พร้อมกับพลังพิฆาตที่อยู่ในหลุมก็เสื่อมลงเรื่อยๆ
เมื่อตกตอนกลางคืน จั่วเจียจวิ้นก็ให้คนที่อยู่ข้างๆ ช่วยเปิดไฟ และกองไฟก็ลุกโชนขึ้นทั้งสี่ด้าน ไฟเปรียบเสมือนวัตถุ หยาง ที่สามารถพิชิตกับพลังหยินพิฆาตได้
แต่พลังหยินพิฆาตในหลุมนี้มีความโลดแล่นมากตอนกลางคืน ถึงแม้จะไม่สามารถปะทะกับของขลังทั้งสามชิ้นได้ แต่กลับเปลี่ยนรูปร่างแปลกประหลาดอยู่บนหลุมนี้ได้ ซึ่งมีผลหระทบมีผลต่อจิตใจของคน
คนงานเหล่านั้นยืนห่างหนึ่งหรือสองร้อยเมตร บางคนก็มีท่าทางอ่อนเพลีย และส่วนใหญ่ที่มองเห็นภูตผีปีศาจรูปแบบต่างๆ ปรากฏอยู่ที่ตรงนั้น ทุกคนต่างก็ตกใจแล้วหนีออกไปจนไกล
“เยี่ยเทียน นายเป็นยังไงบ้าง?”
โก่วซินเจียที่เพิ่งสลับมาพักผ่อน มองเห็นศิษย์น้องที่อยู่ในหลุม ขณะที่พวกเขาทั้งสองสามคนสามารถพักผ่อนได้ แต่ไม่มีใครที่สามารถแทนที่เยี่ยเทียนได้
“ไม่เป็นไร รอให้ฟ้าสว่างก่อน พลังพิฆาตในหลุนี้ก็คงจะหายไปจนหมดแล้ว”
สีหน้าของเยี่ยเทียนขาวซีด ไม่ค่อยมีพลังในการพูดมากนัก พอถึงตอนกลางคืนพลังหยินก็เพิ่มมากขึ้น ความกดดันของเยี่ยเทียนได้รับจึงมีมากขึ้นกว่าตอนกลางวัน
“ทานอะไรสักหน่อยก่อนเถอะ!”
โก่วเจียซินโยนถือเนื้อวัวสุกพลังงงานสูงลงไป เยี่ยเทียนยื่นมือมารับ และในระยะเวลาสั้นๆ เขาก็ทานเนื้อวัวเจ็ดแปดชั่งนั้นจนหมดเกลี้ยง เช็ดปาก จากนั้นก็ท่อง “คัมภีร์โปรดมนุษย์” ต่อ
ค่ำคืนนี้เห็นได้ชัดว่ายาวนานกว่าปกติ เมื่อเสียงร้องขันของไก่กาในหมู่บ้านที่ห่างไกลออกไปดังขึ้น เมื่อแสงแดดแรกของวันปรากฏบนขอบฟ้า เยี่ยเทียนที่รู้สึกเกร็งทั้งตัวจู่ๆ ก็ผ่อนคลายลง และกลั้นไม่อยู่จนกระอักเลือดสดออกมา
“อาจารย์ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนกระอักเลือดออกมา โจวเซี่ยวเทียนที่นั่งตรงข้ามกับเยี่ยเทียนถึงกับตกใจ จนเกือบทำเข็มทิศตกลงไป
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก เซี่ยวเทียน พวกนายหยุดได้แล้ว พลังพิฆาตที่เหลือเพียงเล็กน้อยเหล่านี้ จะสลายไปเมื่อถูกแสงอาทิตย์…” เยี่ยเทียนเอาหลังพิงที่กำแพงหลุม พลางยิ้มขมขื่นอยู่ในใจ ตั้งแต่ฝึกฝนบำเพ็ญเพียรจนเข้าสู่ขั้นสุดยอด เขาไม่เคยสะบักสะบอมแบบนี้มาก่อนเลย
แต่สถานที่นี้เต็มไปด้วยพลังพิฆาตที่สะสมมานานกว่าสิบปี จู่ๆ ก็ถูกศิษย์พี่ศิษย์น้องอย่างพวกเขากำจัดจนหมดสิ้นในคืนเดียว ในใจของเยี่ยเทียนจึงรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก และพวกสำนักหรือศาสตร์ลี้ลับต่างๆ ในยุทธภพ เกรงว่าจะมีแค่สำนักเสื้อป่านของพวกเขาที่สามารถทำได้
“ศิษย์น้องเล็ก ขึ้นมาเถอะ!”
โก่วซินเจียก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในหลุม ในใจจึงรู้สึกผ่อนคลายลง เขาถึงกับนั่งฟุบลงกับพื้น แขนขาทั้งเนื้อทั้งตัวก็ไม่มีแรง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ผม…ผมยังจะขึ้นไปได้เหรอ?” สถานการณ์ของเยี่ยเทียนในขณะนี้แย่กว่าจากโก่วซินเจียเสียอีก จะเอาแรงที่ไหนปีนขึ้นมาจากหลุมลึกและสูงถึงสามเมตรกว่า
สุดท้ายโจวเซี่ยวเทียนหาบันไดเชือกวางลงไป แบกเยี่ยเทียนวางไว้บนหลังของเขา เขาฝึกบำเพ็ญเพียรมานานขนาดนี้ เยี่ยเทียนเคยมีท่าทางที่น่าอนาถเมื่อตอนที่ช่วยท่านอาจารย์แก้ลิขิตพลิกชะตาในครั้งนั้นเอง
ในขณะเดียวกันจั่วเจียจวิ้นที่หมดแรงอ่อนล้า พลางมองไปที่เยี่ยเทียนแล้วถามว่า “เยี่ยเทียน พลังพิฆาตในหลุมโปรดสัตว์เสร็จหมดแล้วใช่ไหม?”
“อืม มีอู๋เหินอยู่ พลังพิฆาตที่เหลือจึงไม่ต้องกังวลแล้ว”
เยี่ยเทียนพยักหน้า พูดว่า “พวกเรานอนก่อนอีกสักหนึ่งวัน และบอกคนงานพวกนั้นว่าอย่าเข้าใกล้ที่นี่ เพราะคนในโลงศพด้านล่างอาจมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับคนสำนักเสื้อป่านของพวกเรา จะได้หลีกเลี่ยงการทำร้ายโครงกระดูกของบรรพบุรุษ!”
ในสมองของเยี่ยเทียนปรากฎเรื่องการสืบทอดออกมา ค่ายกลวิชาเจ็ดดาวไถแบบนี้เป็นการอวยพรให้แก่คนรุ่นหลัง และมีเพียงแค่สำนักเสื้อป่านพวกเขาเท่านั้นที่มี
ซึ่งหมายความว่า คนที่ทำค่ายกลนี้ต้องเป็นรุ่นพี่ของสำนัก เพียงแต่ตอนนี้เยี่ยเทียนไม่มีพลังที่จะสำรวจอย่างละเอียดและจะสามารถสรุปทุกอย่างได้หลังจากเปิดโลงศพ
สภาพของทั้งสามคนในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก จั่วเจียจวิ้นจึงไม่ได้ถามอะไรมาก พลางพูดว่า “วางใจเถอะ ฉันจะบอกพวกเขาเอง และจะไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ที่นี่หรอก”
ถึงแม้ว่าพลังพิฆาตที่แห่งนี้จะถูกกำจัดหมดไปแล้ว แต่เรื่องที่แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ทำให้พวกคนงานพวกนั้นไม่กล้าเข้าใกล้ ทำให้โลงศพหินนั้นไม่ได้รับความเสียหายอะไร
พลังชีวิตที่นี่เบาบางมาก การทำสมาธิยังฟื้นฟูเร็วไม่เท่ากับการนอนหลับเลย เมื่อให้โจวเซี่ยวเทียนขับรถเข้ามาสองสามคัน เยี่ยเทียนและศิษย์พี่ต่างก็มุดเข้าไปนอนในรถและนอนหลับทั้งชุดนั้น
พอถึงเวลาบ่ายสามโมงกว่า เยี่ยเทียนก็ตื่นขึ้นมาก่อน เมื่อเช็คร่างกายของตัวเองพักหนึ่ง แล้วจึงอดส่ายหัวยิ้มเจื่อนๆไม่ได้ เพราะเขาพลังชี่ดั้งเดิมฟื้นตัวได้ไม่ถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ของพละกำลังของเขา
แต่ฮ่องกงมีฝนตกเป็นส่วนใหญ่ ไม่แน่ว่าเมื่อไรอาจมีฝนตกกระหน่ำเทลงมา เยี่ยเทียนจึงไม่กล้าที่จะรอช้า รีบขนย้ายโลงศพโดยเร็ว เพื่อที่นี่จะได้ดำเนินการก่อสร้างต่อไปได้
แต่ผ่านไปไม่นาน โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นก็ทยอยตื่นขึ้นมา สภาพทั้งสามคนไม่ต่างกัน การสูญเสียพลังชี่ดั้งเดิมภายในร่างกาย ไม่สามารถฟื้นฟูได้ในเวลาแค่วันสองวัน
ถึงแม้ว่าจะยังอ่อนเพลียอยู่มาก แต่การเคลื่อนไหวก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไร จั่วเจียจวิ้นคิดถึงคำพูดก่อนหน้าของเยี่ยเทียน อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “ศิษย์น้องเล็ก นายบอกว่าคนที่ใช้ค่ายกลนี้มาจากสำนักเสื้อป่านเหมือนกับพวกเรา มันคืออะไรกันแน่?”
เยี่ยเทียนอธิบายว่า “ศิษย์พี่จั่ว ค่ายกลที่ใช้บนโลงศพหินนี้เรียกว่าค้ายกลเจ็ดดาวไถ ใช้ในการเปลี่ยนพลังหยินให้เป็นพลังมงคล เพื่ออวยพรและเป็นประโยชน์ให้แก่คนรุ่นหลัง แต่ค่ายกลประเภทนี้มีแค่สำนักเสื้อป่านของพวกเรา คนนอกไม่สามารถทำได้”
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะถ่ายทอดคาถาวิชาให้กับศิษย์พี่ทั้งสองคนไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ใช้ในการโจมตี แต่พวกคาถาวิชาของฮวงจุ้ยสุสาน กลับยังไม่ทันได้ถ่ายทอด
“เยี่ยเทียน ที่นายพูดถ้าเป็นเรื่องจริง คนที่จัดวางค่ายกลนี้ ต้องเป็นรุ่นก่อนของอาจารย์อีกน่ะสิ”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียไตร่ตรองแล้วพูดว่า “ตอนนั้นที่ฉันไม่ได้วิชาคาถาของสำนักเสื้อป่าน อาจเป็นเพราะอาจารย์รุ่นพี่มาที่ตอนใต้เหรอ?”
ก่อนที่หลี่ซั่นหยวนจะเข้ามาในสำนักเสื้อป่าน ประเทศจีนก็เกิดภัยพิบัติหลายอย่าง
เมืองแมนแดนสันติก่อการจราจลขึ้น เกือบจะกวาดล้างดินแดนทั้งหมดของจีน สำนักจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในภูเขาและป่าไม้ก็ถูกลากเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง กระทั่งสำนักฉีเหมินบางแห่งได้ขาดการสืบทอด
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลายคนในสำนักฉีเหมินหนีไปทางใต้เพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม ทำให้คนใต้ในตอนนี้ เชื่อเรื่องคาถาวิชาฮวงจุ้ยมากกว่าชาวเหนือ จึงมีที่มาเพราะสาเหตุนี้
หลังจากเยี่ยเทียนคิดสักพักก็พูดว่า “ถ้าตามปกติแล้วหากเป็นการลงมือของอาจารย์สำนัก น่าจะมีป้ายจารึกสิ่งนี้ไว้ด้วย เดี่ยวรอให้เปิดหีบศพก่อน ผมจะไปขุดหาที่อื่นอีก เพื่อดูว่าจะหาป้ายหินศิลาจารึกได้ไหม?”
ผู้คนในสำนักฉีเหมินจะช่วยกันหาชัยภูมิของสุสาน เพื่อหลีกเลี่ยงการปัดแข้งปัดขาของคนอาชีพเดียวกัน และมักจะทิ้งข้อมูลบอกอย่างละเอียด อธิบายต้นสายปลายเหตุในการลงมือ ถ้าไม่มีความเกลียดแค้นมากเกินไป ปกติแล้วฝ่ายตรงข้ามจะไม่ขุดขโมยหลุมศพแบบนี้
เมื่อจ้องมองที่โลงศพหินที่อยู่ใต้หลุม เยี่ยเทียนก็หันไปพูดกับจั่วเจียจวิ้น “ศิษย์พี่ ให้คนขนโลงไม้ดีๆ เข้ามา เกรงว่าโลงศพหินนี้จะใช้ไม่ได้แล้ว”
ต่อให้ค่ายกลที่ใช้ในหลุมศพนี้ไม่ใช่อาจารย์อาวุโสเป็นคนทำ แต่ก็เป็นฝีไม้ลายมือของคนสำนักฉีเหมิน เยี่ยเทียนคงไม่ให้คนที่อยู่ในโลงศพหินออกมานอนแผ่หลาตรงนี้แน่นอน จึงสั่งให้คนหาผ้าใบมาคลุมหลุมลึกเอาไว้
หลังจากที่จัดวางเสร็จ เยี่ยเทียนและศิษย์พี่ทั้งสองก็ลงมาในหลุมพร้อมกัน และเดินไปที่หน้าโลงศพ
“ศิษย์พี่ พวกพี่ถอยไปหนึ่งก้าว ผมจะเปิดโลงศพ!”
เยี่ยเทียนถือไม้งัดในมือของเขา หลังจากที่รอโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นถอยออกไปนิดหนึ่ง ก็เอาไม้งัดไปเสียบตรงฝาโลง
“แกรก…แกรกๆ…”เยี่ยเทียนค่อยๆ ใช้แรง ฝาโลงศพก็กระดกขึ้น ในใจของเยี่ยเทียนเปี่ยมไปด้วยความดีใจ รีบเพิ่มกำลังมากขึ้น
แต่เมื่อไม้งัดงัดฝาโลงหินขึ้นมาได้ กลิ่นเหม็นเน่าก็ได้ลอยอบอวลไปทั่ว ทำให้เยี่ยเทียนกลั้นหายใจไม่ทัน จนเกือบอีกจะอาเจียนเนื้อวัวที่ทานเมื่อคืนออกมา
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหันกลับมาด้วยสีหน้าแปลกๆ โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
พวกเขาสองคนต่างก็มีประสบการณ์ในการเปิดโลงศพ แต่ก็รู้ว่าไม่ว่าโลงศพจะฝังนานขนาดไหน กลิ่นด้านในต้องไม่ใช่กลิ่นที่ดีแน่นอน จึงรีบกลั้นลมหายใจไว้ตั้งนานแล้ว
โบราณกล่าวไว้ว่าความเจ็บปวดระยะนานไม่สู้การเจ็บปวดระยะสั้น พยายามอดทนกับแรงกระเพื่อมที่อยู่ระหว่างหน้าอก เยี่ยเทียนใช้มือทั้งสองยกแผ่นหินขึ้นมาไว้ตรงเอว ใช้แรงเปิดออกทันที แผ่นหินที่มีน้ำหนักร้อยกิโลกรัมขึ้น จู่ๆ ก็ถูกร่างกายที่กำยำของเอาเปิดออกมาได้
“เห้ย นี่มันคือ…ผีดิบผมขาวเหรอ”
ถึงแม้จะปิดปากไม่ได้พูดอะไร แต่หลังจากเปิดฝาโลงออก มองเห็นสภาพในโลงชัดเจนแล้ว ดวงตาของเยี่ยเทียนและศิษย์พี่ทั้งสามคนแทบถลนออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
โลงศพหินนี้ไม่ได้ปิดอย่างแน่นหนา ในขณะนี้จึงเต็มไปด้วยน้ำขังอยู่ด้านใน
น้ำที่ขังอยู่ด้านบน กลับทำให้ซากศพลอยขึ้นมา เสื้อผ้าบนซากศพถูกกัดเซาะมานาน อาจเป็นสาเหตุที่ค่ายกลถูกทำลาย เวลานี้ซากศพได้เริ่มเน่าเปื่อยแล้ว กลิ่นเหม็นเน่าจึงไหลออกมาจากทรวงอกและกระจายออกมา
แต่แขนขาของศพถูกปกคลุมไปด้วยขนสีขาวเต็มไปหมด ความยาวประมาณหนึ่งนิ้ว มองดูแล้วแปลกประหลาดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ถึงแม้จะเป็นกลางวันแสกๆ พวกเยี่ยเทียนก็ยังรู้หนาวเหน็บไปทั้งหัวใจ พวกเขาต่างก็รับรู้ได้ ว่าซากศพนี้แฝงไปด้วยพลังพิฆาต น่าจะรุนแรงมากกว่าที่พวกเขากำจัดเมื่อวาน
วิญญาณชั่วเหล่านี้ดูเหมือนจะผสานกับกล้ามเนื้อบนแขนขาทั้งหมดของศพ บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมแขนขาไม่เน่าเปื่อย?
“ศิษย์พี่ใหญ่ พี่…พี่แน่ใจว่าโลกใบนี้ไม่มีผีดิบเหรอ?” เมื่อรับรู้ถึงพลังพิฆาตในตัวของซากศพ คำพูดของเยี่ยเทียนดูเหมือนจะสั่นเล็กน้อย
………………………..