หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 569 ปัดแข้งปัดขา
เยี่ยเทียนเป็นคนที่ฝึกฝนวิชากังฟูขั้นสุดยอดตั้งแต่อายุยี่สิบปี ที่หายากในประวัติศาสตร์ ทำได้เพียงแค่อธิบายว่าเขาคือสิ่งที่สวรรค์สร้างมา อย่างอื่นจึงไม่ต้องพูดถึงมัน
แต่เหมือนกับจั่วเจียจวิ้น ถ้าไม่ได้รู้วิธีการถ่ายทอดและสืบสานสำนักเสื้อป่านกับเยี่ยเทียน อีกทั้งยังเข้าไปในเรือนสี่ประสานที่เต็มไปด้วยพลังเหนือธรรมชาติ เกรงว่าตลอดชีวิตของเขา ก็ยากที่จะเข้าถึงการฝึกฝนให้ถึงขั้นสุดยอด
ดังนั้นเมื่อได้ยินไช่หยางชิวที่ใช้เวลาติดอยู่กับขอบเขตของพลังแฝงขั้นสูงสุด โก่วซินเจียก็ยืนยันกับเขาไปตรงๆ เลยว่าเขาไม่มีทางที่จะสามารถเข้าถึงขั้นสุดยอด นอกจากว่าเขาจะได้บังเอิญเจอกับชะตาที่ยากลำบากเช่นเดียวกับจั่วเจียจวิ้น
สายตามองไปที่จั่วเจียจวิ้น โก่วซินเจียเอ่ยปากว่า “ศิษย์น้องรอง การกระทำของคนในฉีเหมิน ให้ความสำคัญกับการทำอะไรตามใจชอบ นายเข้าถึงขั้นสุดยอดได้ไม่นาน อย่าทำให้จิตใจต้องมัวหมองด้วยเรื่องนี้ ถ้าหากได้จังหวะและโอกาสที่เหมาะสม ค่อยขอคำชี้แนะจากคนนั้นอีกครั้ง!”
ในปีนั้นโก่วซินเจียก็เคยมีเรื่องบาดหมางกับสำนักชีซิง แต่ตอนนั้นได้มีการพิจารณาแผนต่อต้านญี่ปุ่นครั้งใหญ่ จึงไม่มีการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น
แต่วันนี้ได้ยินว่าสำนักชีซิงได้มารังแกศิษย์น้องของตัวเอง แม้ว่าโก่วซินเจียจะสภาพจิตใจที่ฝึกฝนอย่างลึกซึ้ง ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดอารมณ์ร้อนขึ้นมา
“ใช่ ศิษย์พี่ ถ้าเกิดว่าเขายังกล้ามายั่วยุอีก ผมจะไม่มีทางทำให้ชื่อเสียงของสำนักเสื้อป่านของเราอ่อนแอ”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของโก่วซินเจีย จั่วเจียจวิ้นจึงมั่นใจ เมื่อมีสองศิษย์พี่และศิษย์น้องที่มีฝีมือไม่ธรรมดาลงมือบัญชาการด้วยตัวเอง อีกทั้งยังได้เรียนรู้วิธีการต่อสู้มากมาจากเยี่ยเทียนไม่น้อย ถ้าหากว่าไช่หยางชิวเข้าถึงขั้นสุดยอด จั่วเจียจวิ้นเองก็มีความสามารถในการต่อสู้แล้ว
“ก็แค่คนเลวๆ มาหาเรื่อง ศิษย์พี่อย่าเก็บมาใส่ใจ”
สำนักชีซิงก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเยี่ยเทียน ไม่ใช่เพราะว่าเขาอวดดี แต่ว่าในตอนนั้นเยี่ยเทียนเคยติดตามพรตเฒ่าไปที่มณฑลกวางตุ้งและกว่างซีในเขตฝูเจี้ยน สำนักฉีเหมินที่นั่นได้ถูกทำลายกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบไปตั้งนานแล้ว
แต่ด้วยวรยุทธของเยี่ยเทียนกับศิษย์พี่ศิษย์น้องพวกเขาในตอนนี้ ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้กองกำลังทหารป้องกันประเทศ จะมาสักกี่คนก็สู้ได้ แม้แต่ประตูบ้านเขาก็ไม่สามารถให้เข้าไปได้
“อาจารย์ ตอนนี้อาจารย์ของผมกำลังจะรีบมาจากฮ่องกงแล้วครับ!”
ในขณะที่เยี่ยเทียนและศิษย์พี่ศิษย์น้องกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เถาซานอี้ก็รีบเดินเข้ามาด้วยอารมณ์ที่ฮึกเหิม พูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น “อาจารย์หยวนหยาง อาจารย์ของผมยืมเครื่องบินส่วนตัวมาลำหนึ่ง คิดว่าน่าจะมาถึงฮ่องกงช่วงค่ำหน่อยครับ!”
เถาซานอี้ก็คิดไมถึงว่าหลังจากที่อาจารย์ได้รับสายเขาแล้ว จะดูตื่นเต้นอะไรขนาดนี้ อีกทั้งยังลืมทักทายหรือพูดคุยกับโก่วซินเจีย รีบวางสายแล้วไปติดต่อกับคนช่วยหาเครื่องบินเพื่อบินมายังฮ่องกง
ด้วยวรยุทธของหนานไหวจิ่น ยังมีอาการที่ลืมตัวเช่นนี้ แสดงว่าโก่วซินเจียมีตำแหน่งที่สำคัญอยู่ภายในใจของเขา ดังนั้นตอนที่เถาซานอี้ได้เผชิญหน้ากับโก่วซินเจีย จึงยิ่งแสดงความเคารพนับถืออีกครั้ง
“ศิษย์น้องไหวจิ่นเป็นคนที่มีนิสัยอ่อนโยน วันนั้นวันที่ฉันกลับมาถึงประเทศจีนก็ไม่ได้ไปหาเขา ทำให้ฉันรู้สึกว่าทำไม่ถูกต้อง”
เมื่อได้ยินว่าหนานไหวจิ่นจะรีบมาตอนกลางคืน โก่วซินเจียก็รู้สึกทอดถอนใจ เขารู้จักกับหนานไหวจิ่นตั้งแต่วัยรุ่น แต่ว่าระยะเวลาผ่านไปเจ็ดแปดสิบปีแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ได้กลับมาเจอกันอีก
“ศิษย์น้องเล็ก หรือ…พวกเราจะกลับบ้านไปรอศิษย์น้องไหวจิ่นกันเถอะ?”
โก่วซินเจียครุ่นคิดครู่หนึ่ง มองไปที่เยี่ยเทียน พูดว่า “คนที่อยู่ในนี้ส่วนใหญ่ก็คือพวกคนรุ่นหลัง พวกเขาคงไม่เข้าใจว่าอะไรคือฉีเหมินแล้ว แต่ถึงจะไม่รู้จักก็ไม่เป็นไร!”
โก่วซินเจียกับเยี่ยเทียนนั้นเหมือนกัน เดิมทีอยากที่จะเห็นคนสำนักฉีเหมินในฮ่องกง แต่เมื่อได้เห็นแล้วกลับทำให้รู้สึกผิดหวังอย่างมาก
นอกจากเถาซานอี้และอี้เวินเม่าแล้ว ไม่มีใครที่เข้าตาได้อีก อีกทั้งการสมาคมกับคนที่อยู่ที่นี่ก็น่าเบื่อ สู้กลับบ้านไปนั่งฝึกลมหายใจจะดีกว่า
เยี่ยเทียนมองไปที่จั่วเจียจวิ้น ยิ้มแล้วพูดว่า” ศิษย์พี่ใหญ่ วันนี้พวกเรามาช่วยชูโรงให้ศิษย์พี่รอง รอให้งานเลี้ยงเริ่มแล้วค่อยว่ากัน ถ้าหากไม่มีคนมาหาเรื่อง พวกเราก็กลับกันเถอะ”
เนื่องจากจั่วเจียจวิ้นคือตัวเอกของงาน ดังนั้นพวกเขาสองสามคนมาถึงงานเร้วไปหน่อย และงานเลี้ยงจะเริ่มตอนสามทุ่มตรง ซึ่งยังเหลือเวลาอีกสิบกว่านาที
“อย่างนั้นก็ได้ ทำตามที่ศิษย์น้องบอกแล้วกัน รออีกสักหน่อย!” โก่วซินเจียพยักหน้า เยี่ยเทียนเป็นหัวหน้าของสำนักเสื้อป่านในยุคปัจจุบัน ในเมื่อเขาพูดอะไรออกมาแล้ว โก่วซินเจียจึงได้แต่ทำตาม
แต่ว่าบทสนทนาของศิษย์พี่น้องสองคนนี้ได้ยินไปถึงหูของเถาซานอี้ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกตื่นตระหนกตกใจ
แต่ก่อนเถาซานอี้เคยได้ยินเพียงแค่จากอาจารย์ แต่ว่าคนที่อยู่ด้านหน้านักบวชเต๋าที่ผอมแห้งคนนี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นบุคคลสำคัญมีฐานะสูงส่ง แม้แต่อาจารย์ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบได้
แต่ว่าบุคคลคนนี้ ยืนอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มอย่างเยี่ยเทียน กลับแสดงท่าทีว่าเยี่ยเทียนนั้นเป็นหัวหน้า ทำให้เถาซานอี้รู้สึกทึ่งในตัวเยี่ยเทียนจริงๆ
เพียงแต่ตอนที่เถาซานอี้สังเกตเยี่ยเทียนอย่างละเอียดนั้น เขาดูเหมือนกับชายหนุ่มที่กำลังป่วย ถ้าหากไม่ใช่เพราะสายตาแหลมคมที่มองเขาเป็นบางครั้ง มันง่ายมากที่จะทำให้คนมองข้ามไม่สนใจเขา
“ทำไมเหรอ? แปลกใจเหรอ?”
โก่วซินเจียสังเกตเห็นท่าทางของเถาซานยี่ ยิ้มแล้วพูดว่า “เยี่ยเทียนคือหัวหน้าคนปัจจุบันของสำนักเสื้อป่าน เธออย่ามองว่าเขาป่วยตอนนี้ วรยุทธของเขาเมื่อเทียบกับนักบวชเต๋าและฉันยังสูงกว่าอีกนะ”
เมื่ออายุถึงวัยอย่างโก่วซินเจีย เวลาพูดก็ไม่จำเป็นต้องมาคอยกังวลอะไร แต่เมื่อพูดคำนี้ออกไป กลับทำให้ด้านหน้าของเถาซานอี้สว่างเหมือนมีดาวเล็กๆ เต็มไปหมด
เดิมทีเยี่ยเทียนอายุเช่นนี้ก็สามารถเป็นศิษย์น้องของโก่วซินเจีย เถาซานอี้ก็รู้สึกแปลกใจมากแล้ว
นึกไม่ถึงเลยว่าฐานะพ่อหนุ่มคนนี้ยังสูงกว่าโก่วซินเจีย นี่จึงทำให้เถาซานอี้แอบดีใจที่ตัวเองโชคดีไม่ได้เสียมารยาทกับเยี่ยเทียน
“เยี่ยเทียน? เหมือนเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหนมาก่อน?”
ตอนนี้ให้ความสนใจต่อเยี่ยเทียนแล้ว เถาซานอี้รู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้อยู่บ้าง จึงลองถามเยี่ยเทียนว่า “อาจารย์เยี่ย ท่านเคยไปที่ไต้หวันมาก่อนไหมครับ?”
ครั้งก่อนที่เยี่ยเทียนเดินทางไปไต้หวัน ได้เจอกับเหตุการณ์ครั้งใหญ่หนึ่งครั้ง โดยทั่วไปแล้วคนที่รับข่าวสารไวทุกคนก็จะรู้ กลุ่มทหารรับจ้างที่ปฏิบัติการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ถูกคนชื่อเยี่ยเทียนลอบสังหารจนหมดสิ้น
และจั่วเจียจวิ้นก็เคยโทรศัพท์หาหนานไหวจิ่นแล้ว ขอให้เขาช่วยตามหาเยี่ยเทียน เมื่อคิดเช่นนี้ เถาซานอี้มีหรือที่จะคิดไม่ออกถึงเหตุผล?
“เคยไปครั้งหนึ่ง ซึ่งตามหาศิษย์พี่ใหญ่เจอครั้งนั้น”
เยี่ยเทียนพยักหน้า เขามีความรู้สึกที่ดีมากกับเถาซานอี้ ถึงอย่างไรตอนนี้คนที่มุ่งมั่นถ่ายทอดและสืบสานวิชาของสำนักฉีเหมินนับวันยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ
“เป็นอย่างนี้นี่เอง… “
เถาซานยี่พยักหน้าด้วยความเข้าใจ แล้วจึงไม่ถามต่อ ภายในใจรู้สึกระวังเยี่ยเทียนมากขึ้น ถ้าดูจากภายนอกอย่างเดียว คงไม่มีใครดูออกว่าเจ้าหนุ่มคนนี้มีจิตใจที่โหดเหี้ยมอำมหิต
ตอนที่ใกล้ถึงเวลาสามทุ่มตรง พิธีกรของงานก็คือมหาเศรษฐีในฮ่องก่องท่านหนึ่งเช่นกัน ได้เดินไปตรงกลางงาน หลังจากลองไมค์แล้ว ก็เอ่ยปากพูดว่า “ท่านสุภาพบุรุษ และสุภาพสตรี รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติมากที่ทุกท่านมาร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้…
ขณะเดียวกัน พวกเราต้องขอขอบคุณคุณจั่วเจียจวิ้นมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ที่ทำให้สภาพแวดล้อมของฮ่องกงมีอนาคตที่สวยงามยิ่งขึ้น ทุ่มเททำเรื่องพวกนี้ด้วยความตั้งใจ…”
ถึงแม้จะอยู่ในฮ่องกง แต่สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงก็ต้องหลีกเลี่ยง พิธีกรพูดให้ฮวงจุ้ยกลายเป็นสภาพแวดล้อม นี่คือชื่อเรียกขานของฮวงจุ้ยที่คนสังคมชั้นบนของฮ่องกงจะพูดต่อที่สาธารณะ
หลังจากเสียงปรบมือหยุดลง พิธรกรก็พูดต่อว่า “ลำดับต่อไปขอเชิญคุณจั่วเจียจวิ้น มาตอบคำถามและปัญหาที่สงสัยให้กับพวกเราสักหน่อยที่เขาต้องการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมนี้ ว่าจะส่งผลกระทบต่อฮ่องกงอย่างไรบ้าง!”
เสียงปรบมือดังขึ้น จั่วเจียจวิ้นยืนขึ้นอยู่กลางงานด้วยความสงบนิ่ง มองไปที่เยี่ยเทียนด้วยความถ่อมตัวอยู่บ้างพูดว่า “ผมมาฮ่องกงก็สิบกว่าปีแล้ว มองฮ่องกงค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ มีความรู้สึกคุ้นเคยและผูกพันกับฮ่องกงอย่างมาก
ทุกท่านที่นั่งอยู่ก็คงรู้ ตอนนี้โลกก็ได้โคจรมาถึงปีที่ 2004 แล้ว เศรษฐกิจของฮ่องกงได้รับผลกระทบอย่างหนักในปีที่ผ่านมา จึงมีผลกระทบต่อทุกท่านไม่น้อยใช่ไหมครับ?
ผมแซ่จั่วคนนี้จึงสร้างการเปลี่ยนแปลงของไหล่เขา โดยใช้ประโยชน์จิ่วกงปากว้า สี่ปรากฏการณ์และซานฉายของค่ายกลทั้งสามอย่างนี้ เปลี่ยนวิญญาณชั่วร้ายที่มาจากทิศตะวันออกที่บุกรุกฮ่องกง…
ถึงแม้อาจจะไม่เปลี่ยนสถานการณ์ได้ทั้งหมด แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าผมนั้นได้ทำเพื่อฮ่องกงด้วยใจ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพรุ่งนี้ของฮ่องกง จะมีความเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น!”
การกล่าวสุนทรพจน์ของจั่วเจียจวิ้นค่อนสั้นกระชับ หนึ่งนาทีกว่าก็พูดจบแล้ว แต่กลับมีเสียงปรบมือดังสนั่นลั่นขึ้นภายในงาน
มหาเศรษฐีภายในงานนี้แปดเก้าเปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตรงไหล่เขา แม้ว่าจั่วเจียจวิ้นจะพูดอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง ยังไม่ต้องพูดถึงการเปลี่ยนแปลงในสวนสนุกริมทะเล อย่างน้อยที่สุดอากาศกลางภูเขาก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
เมื่อจั่วเจียจวิ้นพูดจบแล้ว พิธีกรก็เดินเข้าไป พูดว่า “คุณจั่วเจียจวิ้นเกรงใจเกินไปแล้ว ผมแนะนำ ให้ทุกคนยกแก้วขึ้นมา ดื่มเพื่อแสดงความเคารพให้กับคุณจั่วครับ!”
คำเสนอของพี่ธีกรได้รับการตอบรับจากทุกคนที่อยู่ในงาน ทุกคนต่างชูแก้วเหล้าขึ้นมา ส่งเสียงขอบคุณและแสดงความเคารพ พร้อมกับดื่มเหล้าในแก้ว
แต่กลุ่มคนภายในงาน กลับมีสายตาของบางคนที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและความโกรธเคืองจั่วเจียจวิ้น นั่นก็คืออี้เวินเม่า
ถ้าจะพูดให้แรงหน่อย การที่เยี่ยเทียนจัดวางค่ายกลนี้ ยังเป็นการแย่งอาชีพทำมาหากินของอี้เวินเม่าอย่างแท้จริง
เพราะว่าจั่วเจียจวิ้นอยู่ที่ฮ่องส่วนใหญ่คือการทำนายและพยากรณ์ให้กับคน น้อยมากที่จะช่วยคนดูฮวงจุ้ยชัยภูมิของภูเขาหรือสุสาน เพราะเขาก็ไม่ถนัดทางด้านนี้เท่าไร
ดังนั้นถึงแม้จั่วเจียจวิ้นกับอี้เวินเม่าก็จะไม่ถูกกัน แต่ไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างทั้งสองก็ไม่เคยมีมาก่อน
ก็เหมือนกับจั่วเจียจวิ้นที่มีชื่อเสียงกับการทำนายและพยากรณ์ การดูฮวงจุ้ยชัยภูมิของภูเขาหรือสุสานของอี้เวินเม่า ก็มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ที่ฮ่องกงเช่นกัน
แต่การที่จั่วเจียจวิ้นก่อตั้งสำนักฮวงจุ้ยที่ใหญ่ขนาดนี้ อีกทั้งยังได้ผลประโยชน์จากพวกมหาเศรษฐีในฮ่องกงเป็นส่วนใหญ่ จึงที่ทำให้อี้เวินเม่ารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
นี่ไม่ใช่แค่การแย่งอาชีพอย่างเดียว แต่ยังเท่ากับทำลายอาชีพของเขาด้วย ต่อไปคนส่วนใหญ่ก็จะรู้จักแต่ “ปรมาจารย์จั่วเจียจวิ้น” ที่เก่งเรื่องฮวงจุ้ยดูชัยภูมิภูเขาและสุสาน แล้วใครยังอยากจะเชิญ “ปรมาจารย์อี้” เพื่อไปดูฮวงจุ้ยภูเขาและสุสานอีกเล่า?
“น้องจั่ว ฉันยังมีอีกเรื่องที่ยังไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าจะให้เธอช่วยแนะนำให้หน่อยได้ไหม?”
อี้เวินเม่าไม่สามารถระงับความโกรธในใจได้ ยืดตัวเดินมาจากกลุ่มผู้คน พูดตรงประเด็นทันที “สำนักฮวงจุ้ยที่น้องจั่วก่อตั้งนี้ มันสามารถเปลี่ยนโชคอย่างแน่นอน
แต่ฉันอยากรู้ว่า น้องจั่วก่อตั้งสำนักฮวงจุ้ยกลางภูเขานี้ เป็นการรวมโชคของเกาะฮ่องกงทั้งหมดเข้าด้วยกัน มันไม่ยุติธรรมกับสถานที่อื่นไปหน่อยหรือ?
………………………………………………………