หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 579 กลับเมืองหลวง
“ภาพดันหลัง” คือหนึ่งในตำราพิสดารอันเลื่องชื่อของตำราพยากรณ์จีน
ตามตำนานกล่าวว่าในราชวงศ์ถังรัชสมัยเจินกวน หลี่ฉุนเฟิงและหยวนเทียนกังปรมาจารย์การทำนายสองท่านได้ทำนายเหตุการณ์ในราชวงศ์ถังและยุคสมัยหลังจากนั้น ทั้งเล่มมีภาพสัญลักษณ์ทั้งหมดหกสิบรูป แบ่งตามชื่อของสัญลักษณ์กว้าและแผนภูมิสวรรค์ทั้งหกสิบตำแหน่ง
ที่หนังสือมีชื่อว่า “ภาพดันหลัง” นั้นมาจากชื่อของบทสรรเสริญภายในภาพสัญลักษณ์ลำดับที่หกสิบว่า “กล่าวเป็นหมื่นพันไม่สิ้น มิสู้ดันหลังไปพักกาย”
ด้วยความแม่นยำของคำทำนาย “ภาพดันหลัง” ทำให้ผู้ปกครองในแต่ละยุคสมัยล้วนหวาดหวั่น จัดให้เป็นตำราต้องห้ามมาตลอด จวบจนปัจจุบันก็ยังไม่สามารถหลีกพ้นจากบัญชีดำหนังสือต้องห้าม
ตำนานกล่าวว่าหลังจากถังไท่จงฮ่องเต้พลิกดู “ภาพดันหลัง” ก็ปีติยินดีอย่างมาก ตบรางวัลให้กับโหรหลวงหลี่ฉุนเฟิง ทว่าหยวนเทียนกังริษยาที่หลี่ฉุนเฟิงช่วงชิงผลประโยชน์ เขาจึงเก็บความแค้นเอาไว้ในใจ
หลังจากถังไท่จงสวรรคต ทั้งสองก็แยก “ภาพดันหลัง” ออกเป็นสองตำราสำนัก จากนั้นหลี่และหยวนก็กลายเป็นศัตรูกัน
แต่ข่าวลือในหมู่สำนักพยากรณ์กล่าวว่า หลี่และหยวนทั้งสองกลัวว่าลูกหลานจะได้รับแรงพิโรธจากสวรรค์ จึงจงใจแยก “ภาพดันหลัง” ออกจากกัน นับแต่นั้นมาจึงไม่มีใครสามารถไขความหมายภาพหรือคำทำนาย ทำให้ลูกหลานของพวกเขาสามารถรอดพ้นจากหายนะ
ดังนั้นพอได้ยินคำพูดของหนานไหวจิ่นแล้ว เยี่ยเทียนจึงถามต่อว่า “ศิษย์พี่หนาน ภาพที่พี่เห็นเป็นภาพสัญลักษณ์อะไรครับ? อธิบายให้ฟังคร่าว ๆ ได้ไหม?”
“ภาพสัญลักษณ์เป็นภูติผีตนหนึ่งอยู่ในน้ำ หิ้วศรีษะมนุษย์ ทำนายว่า: แม่น้ำฮั่นกว้างขวาง ไม่เป็นหนึ่งสานเป็นหนึ่ง ใต้เหนือไม่แยก กลมกลืนร่วมกัน…”
หนานไหวจิ่นยิ้มพลางมองเยี่ยเทียน ถามคำถามแฝงนัยทดสอบ “ศิษย์น้องเยี่ย เธอคงจะรู้สินะว่าเป็นภาพไหน?”
ถึงแม้ภาพดันหลังที่หลี่ฉุนเฟิงกับหยวนเทียนกังทำขึ้นจะไม่สามารถตรวจสอบได้นานแล้ว แต่ฉบับที่ถูกส่งต่อกันมาหลายต่อหลายรุ่นนั้นมีมากมาย ในฐานะตำราพิสดารอันดับหนึ่งของสำนักพยากรณ์ เยี่ยเทียนควรจะเคยเห็นบ้าง
“แม่น้ำฮั่นกว้างขวาง ไม่เป็นหนึ่งสานเป็นหนึ่งหรือครับ?”
เยี่ยเทียนพึมพำอยู่ชั่วขณะ กล่าวว่า “น่าจะเป็นภาพที่สามสิบเจ็ดในเล่มภาพดันหลังหรือเปล่า? ทำนายถึงยุคสาธารณรัฐประชาชนจีน…
แม่น้ำฮั่นกว้างขวาง หมายถึงอู่ชางก่อการกำเริบยิงปืนปฏิวัตินัดแรก ไม่เป็นหนึ่งสานเป็นหนึ่ง ก็คือแม้ปฏิวัติสำเร็จแต่ประเทศชาติกลับไม่รวมเป็นหนึ่ง แล้วยังต้องมีปฏิวัติครั้งที่สอง ระลอกแล้วระลอกเล่า
ส่วนใต้เหนือไม่แยก พูดถึงช่วงแรกของการปฏิวัติ ประเทศชาติแบ่งเป็นเหนือใต้สองค่ายทัพ ด้านเหนือคือหยวนซื่อข่าย ด้านล่างคือซุนจงซาน แต่สุดท้ายเมื่อผ่านการเจรจาก็รวมเป็นหนึ่ง ท้ายสุดกลมกลืนร่วมกัน ก่อเกิดระบบชาติสาธารณรัฐ”
พอบรรยายคำทำนายภาพที่สามสิบเจ็ดแล้ว เยี่ยเทียนก็มองไปยังหนานไหวจิ่น ถามว่า “ศิษย์พี่หนาน ผมพูดถูกไหม?”
หนานไหวจิ่นพยักหน้ากล่าวว่า “ถูกต้อง ที่เธอพูดถึงก็คือ “ภาพดันหลัง” ที่อาจารย์จินเซิ่งทั่นกล่าวถึง และแพร่หลายที่สุดในปัจจุบัน”
“ศิษย์พี่หนาน ต้นฉบับคำอธิบาย “ภาพดันหลัง” ของอาจารย์จินเซิ่งทั่น น่าจะอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์กู้กงที่ไต้หวันหรือเปล่าครับ?”
เยี่ยเทียนถามขึ้นด้วยความสงสัย “หรือว่าภาพสัญลักษณ์ที่ชาวอังกฤษคนนี้วาดขึ้น แตกต่างจากในพิพิธภัณฑ์กู้กง?”
หนานไหวจิ่นส่ายหน้ากล่าวว่า “ภาพสัญลักษณ์ต่างกันไม่มาก แต่ยุคสมัยนั้นคุ้มค่าพอที่จะตรวจสอบ…”
ชาวอังกฤษคนนั้นแม้จะเชี่ยวชาญวัฒนธรรมฮั่น แต่สำหรับตำราพยากรณ์พิสดารอันดับหนึ่งของจีน ยังมะงุมมะงาหราไม่รู้ความหมายของมัน ราวกับอ่านตำราสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น
แต่ว่าฝรั่งทำงาน มักตรงไปตรงมาอย่างมาก เพื่อให้คัดแยกได้สะดวก ศาสตราจารย์ชาวอังกฤษจึงทำการทดสอบค่าคาร์บอนสิบสี่เพื่อหายุคสมัย
ผลการทดสอบยืนยันว่า ยุคสมัยของตำราโบราณม้วนนั้นคือช่วงคริสต์ศักราชที่หกร้อยกว่า เวลานั้นเป็นช่วงต้นราชวงศ์ถังพอดี ดังนั้นศาสตราจารย์ชาวอังกฤษจึงจำแนกไปอยู่ยุคราชวงศ์ถัง
“ถึงกับเป็นตำราโบราณราชวงศ์ถังอีก?” เยี่ยเทียนได้ยินเข้าก็ตื่นเต้นขึ้นมา จดจ้องหนานไหวจิ่น ระล่ำระลักว่า “ศิษย์พี่หนาน พี่ได้เห็นต้นฉบับมันไหมครับ?”
ยุคสมัยที่ “ภาพดันหลัง” แพร่หลายไปทั่วคือราชวงศ์ซ่ง ฉบับปลอมแปลงมากมายก็ปรากฎขึ้นในยุคนั้นเช่นกัน หากจะพูดอีกอย่างก็คือ ยุคราชวงศ์ถังยังไม่มีฉบับพิมพ์เถื่อนนั่นเอง
หนานไหวจิ่นได้ยินก็แค่นยิ้มออกมา กล่าวว่า “ฉันก็อยากเห็น แต่ว่าทางนั้นปฏิเสธเสียงแข็งว่าพวกเขาต้องการเก็บรักษาตำราฉบับนี้ไว้ ฉันติดต่อพวกเขาไปหลายต่อหลายครั้ง ก็ยังไม่ได้ผล”
ด้วยเหตุนั้นหนานไหวจิ่นจึงสงสัยว่า “ภาพดันหลัง” ม้วนนั้นจะเป็นต้นฉบับ เนื่องจากยุคสมัยของมัน แต่ว่าตอนที่เขาไปยังพิพิธภัณฑ์ใหญ่ในอังกฤษเพื่อขอตรวจสอบตำราฉบับนี้ กลับถูกอีกฝ่ายแจ้งว่าในห้องเก็บของของพวกเขาไม่มีตำราโบราณฉบับนี้
หนานไหวจิ่นยังคงไม่ยอมแพ้ เขาติดต่อคนรู้จักมากมาย อยากโน้มน้าวให้ทางประเทศอังกฤษยอมให้เขาได้เห็นตำราโบราณฉบับนี้ แต่ล้วนถูกปฏิเสธ แม้หลายปีที่ผ่านมาเขาจะพยายามมาตลอด แต่ความหวังกลับเลือนรางลงทุกที
“บางทีของชิ้นนั้นอาจจะเป็น “ภาพดันหลัง” จริง ๆ สินะครับ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วนิ่งเงียบไปสักครู่ “ภาพดันหลัง” เป็นของต้องห้ามที่สุดสำหรับฮ่องเต้ในบุคโบราณ หากว่ากันโดยทั่วไปจะต้องถูกเก็บรักษาไว้ในมือฮ่องเต้ อีกทั้งในอดีตอังกฤษปล้นสมบัติทางวัฒนธรรมจากจีนไปเป็นจำนวนมหาศาล บางทีอาจหลุดรอดไปในครั้งนั้น
เห็นเยี่ยเทียนนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง หนานไหวจิ่นก็ถามขึ้นทันที “จริงสิ ศิษย์น้องเยี่ย ฉันได้ยินมาว่าคุณหยิงซ่งเวยหลันเป็นแม่ของเธอ ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า?”
ระหว่างทางที่เถาซานอี้รับอาจารย์มา ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในงานชุมนุมให้ฟังคร่าว ๆ และเพราะเหตุนั้น หนานไหวจิ่นจึงรู้ว่าซ่งเวยหลันผู้ทรงอิทธิพลในอเมริกาและยุโรป มีความสัมพันธ์กับเยี่ยเทียนถึงขั้นนี้
“เป็นความจริงครับ ทำไมหรือ?” เยี่ยเทียนมองหนานไหวจิ่นอย่างสงสัย
หนานไหวจิ่นยิ้มตอบ “คุณหญิงซ่งเวยหลันมีอิทธิพลมากในอเมริกาและยุโรป ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีกับราชวงศ์อังกฤษ ฉันคิดว่าเธออาจให้คุณหญิงซ่งช่วยเหลือ ดูว่าจะสามารถเข้าไปสังเกตภายในห้องเก็บของพิพิธภัณฑ์ใหญ่ของอังกฤษได้ไหม?”
ถึงแม้ปัจจุบันราชวงศ์อังกฤษจะคงอยู่ในฐานะสัญลักษณ์เท่านั้น แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่า ราชวงศ์ยังคงมีอิทธิพลใหญ่หลวงต่อประเทศอังกฤษ ที่หนานไหวจิ่นว่ามาจึงนับเป็นวิธีที่น่าเลือกใช้
“เหรอครับ? งั้นปีหน้าผมจะลองไปถามดู”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ในเมื่อรู้ตำแหน่งสิ่งของ ภายหน้าย่อมมีโอกาส เยี่ยเทียนสูดลมหายใจลึก ให้สติอารมณ์สงบลง
สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงบนร่างกายเยี่ยเทียนได้ หนานไหวจิ่นก็เอ่ยชื่นชมเสียงดัง “ดี เดิมทีนึกว่าศิษย์น้องเยี่ยมีวิชาสูงส่ง จิตใจคงไม่เทียบเท่า แต่กลับกลายเป็นฉันที่มองพลาดไป”
เยี่ยเทียนยิ้มแย้ม ลุกขึ้นยืนตอบว่า “ศิษย์พี่หนานชมเกินไปแล้ว วันนี้ผมหุนหันใช้พลังลมปราณชีวิตแท้มากไปหน่อย ขอไปจัดการสักครู่ พี่กับศิษย์พี่ใหญ่คุยกันให้สนุกเถอะครับ”
ถึงแม้ตัวอยู่ภายในคฤหาสน์หลังนี้แล้ว จะสามารถดูดซับพลังลมปราณเหล่านั้นเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ก็ไม่ได้ผลดีเท่าออกกำลังเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ เยี่ยเทียนทำหน้าที่เจ้าบ้านเสร็จแล้วก็เอ่ยปากขอตัว
……
หลายวันต่อมา เยี่ยเทียนเก็บตัวรักษาอาการบาดเจ็บมาตลอด กระทั่งไช่หยางชิวเลี้ยงสุราเพื่อขอขมา ยังให้จั่วเจียจวิ้นไปออกงานแทน
ทีแรกไช่หยางชิวออกจะรู้สึกตะขิดตะขวง แต่เมื่อได้ยินข้อความ “ไม่ถือโทษอดีต” สี่คำของเยี่ยเทียนที่ฝากมา ไช่หยางชิวก็สบายใจได้ในที่สุด
ราวกับดูออกถึงเจตนาว่าเยี่ยเทียนไม่อยากออกสู่สายตาประชาชน ไช่หยางชิวจึงไม่ถือสถานะอาวุโสของตนเช่นกัน ชื่นชมจั่วเจียจวิ้นต่อหน้าคนในวงการมากมาย และประกาศขึ้นอีกครั้งว่าในอนาคตสำนักเจ็ดดาวจะดำเนินตามแนวทางสำนักพยากรณ์เสื้อป่าน
นับจากนี้สำนักพยากรณ์เสื้อป่านนับว่าตั้งรากฐานอยู่ในฮ่องกงแล้ว พวกที่ได้ชื่อว่าพยากรณ์เสื้อป่านเหล่านั้นต่างเปลี่ยนป้ายกันไปตาม ๆ กัน ด้วยเกิดความกลัวจะฝ่าฝืนข้อห้ามของ “ปรมาจารย์จั่ว” ทำเอาจั่วเจียจวิ้นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน อาการบาดเจ็บของเยี่ยเทียนก็หายสนิท เมื่อผ่านเหตุการณ์ฝืนธรรมชาติครั้งนี้ วรยุทธของเขาก็บางเบาและบริสุทธิ์ขึ้นขั้นหนึ่ง หลังจากพลังลมปราณชีวิตแท้ลดลง ยังทำให้เวลาที่โก่วซินเจียและหนานไหวจิ่นมองไปที่เยี่ยเทียนก็เกิดความรู้สึกลึกล้ำไร้ก้นบึ้ง
อีกทั้งเยี่ยเทียนยังสัมผัสได้ว่า ตนเองเข้าใจในกฎแห่งธรรมชาติล้ำลึกยิ่งขึ้น ขอบเขตแห่งการฝึกจิตกลับสู่ความว่างเปล่า ราวกับได้เปิดประตูบานใหญ่ให้แก่เขา บางทีการตื่นรู้หนึ่งครั้ง อาจทำให้ตัวเขาเข้าไปสู่ฟ้าดินแห่งใหม่
แต่ว่าเรื่องแบบนี้พบเจอได้ด้วยดวงชะตา หลังจากอาการบาดเจ็บหายดีแล้ว เยี่ยเทียนก็แกะสลักจี้ห้อยคอหยกติดค่ายกลเจ็ดแปดชิ้น แบ่งให้ทางพ่อกับแม่ แล้วให้พวกเขาย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์
จี้หยกเหล่านั้นถึงแม้จะสามารถป้องกันพลังลมปราณซึมซาบเข้าสู่ร่างกายได้ แต่เวลาทั่วไปกลับสูดพลังลมปราณที่ซึมซับได้ไม่จำกัด ในร่างกายของคนทั่วไปได้รับพลังลมปราณหล่อเลี้ยงอยู่เสมอ จึงมีคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่ต่อร่างกายของเยี่ยตงผิงและภรรยา
ช่วงเวลานี้เยี่ยเทียนเองก็ถามแม่ว่าสามารถเข้าไปยังห้องเก็บของในพิพิธภัณฑ์ใหญ่ของอังกฤษได้หรือไม่ หลังจากซ่งเวยหลันติดต่อไปทางอังกฤษแล้ว กลับได้รู้ว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องปรึกษาทางรัฐบาลอังกฤษก่อน อีกอย่างภายในพิพิธภัณฑ์มีสิ่งของมากมายที่ไม่สามารถเปิดเผยต่อสายตาสาธารณชนได้
เมื่อรู้ว่าเรื่องนี้พอมีหวัง เยี่ยเทียนก็ไม่กังวลอีก เขาออกจากเมืองหลวงมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ค่อนข้างคิดถึงอวี๋ชิงหย่าและเรือนสี่ประสานหลังนั้นเช่นกัน คฤหาสน์หลังนี้แม้หรูหรา แต่กลับขาดแคลนกลิ่นอายของผู้คนหนาแน่นอย่างในเมืองหลวง
ในเดือนกรกฎาคมอันร้อนที่สุดของเมืองหลวง ครอบครัวของเยี่ยเทียนจึงนั่งเครื่องบินส่วนตัวของซ่งเวยหลันกลับสู่ปักกิ่ง
ส่วนคฤหาสน์ที่ฮ่องกง ก็ทิ้งไว้ให้ศิษย์พี่ทั้งสองและหนานไหวจิ่นกับลูกศิษย์อยู่อาศัย เยี่ยเทียนมีความรู้สึกว่า ครั้งหน้าเมื่อเขามีความจำเป็นต้องกลับคฤหาสน์ที่ฮ่องกง อาจเป็นโอกาสที่วรยุทธ์ข้ามไปสู่อีกขั้น
นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวภายในเรือนสี่ประสาน ฟังเสียงนกและแมลงบนต้นไม้ เยี่ยเทียนหรี่ตาลงอย่างพึงพอใจ เจ้าขนฟูนอนอย่างเกียจคร้านในอ้อมอกของเยี่ยเทียน แน่นอนว่าเป็นเพราะเยี่ยเทียนป้อนด้วยรากโสมร้อยปีถึงสามารถกลับกลายนิ่งสงบลง
สิ่งเดียวที่ยังไม่พอก็คือ พลังลมปราณในเรือนสี่ประสานหลังนี้เบาบางลงมากแล้ว คุณป้าและคุณอาสองสามคนของเยี่ยเทียนล้วนย้ายเข้ามาอยู่กันหมดแล้ว พลังลมปราณระดับนี้จึงมีคุณประโยชน์ต่อพวกเธออย่างมาก
“เยี่ยเทียน เธอดูสิว่าฉันใส่ชุดนี้แล้วสวยไหม?” อวี๋ชิงหย่าเปลี่ยนเป็นชุดเดรสสีขาวทั้งตัว เดินออกมาจากห้อง เห็นเยี่ยเทียนเบิ่งตาโต
อวี๋ชิงหย่าหน้าตาสดใสบริสุทธิ์ ผิวขาวราวหิมะเข้ากับชุดกระโปรงสีขาวเป็นอย่างดี ท่อนขาเรียวยาววับแวมภายใต้กระโปรง ช่างกระตุ้นไอร้อนภายในโพรงจมูก
“สวย สวยดี…”
เยี่ยเทียนพยักหน้าอย่างดาราไต้หวันจูเกอ อดพูดความในใจออกมาไม่ได้ “ถ้าไม่ใส่อะไรเลย คงจะยิ่งสวย!”
“นายอยากตายหรือไง!”
อวี๋ชิงหย่าเดินมาข้างตัวเยี่ยเทียนด้วยความโมโห หยิกเอวเขาอย่างแรงทีหนึ่ง กล่าวว่า “เธอคิดว่าของขวัญเล็กน้อยชิ้นนี้ก็จะเอาใจฉันได้แล้วเหรอ? คราวหน้าจะหายตัวไปอีกกี่เดือนล่ะ?”
เยี่ยเทียนยิ้มตอบพลางแลบลิ้น “จะไปไหนได้? นับจากวันนี้จนถึงวันแต่งงาน เอาเชือกล่ามคอฉันไว้ ไปห้องน้ำก็ให้ฉันตามไปด้วยเลยดีไหม?”
“ตาบ้านี่!” อวี๋ชิงหย่าถูกเยี่ยเทียนหยอกล้อจนยิ้มออกมา
………………………………………………..