หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 580 กุญแจ
“ช่วงเวลาที่ผ่านมาขอโทษนะ …”
มือขวาของเยี่ยเทียนโอบเอวของอวี๋ชิงหย่าอย่างแผ่วเบา ดึงตัวเธอเข้ามาในอ้อมอกของตน มือซ้ายจับขนบนหัวเหมาโถวโยนข้ามหลังไป
“จี ๆ!”
เหมาโถวที่เดิมทีกำลังสัมผัสพลังลมปราณชีวิตแท้ในตัวเยี่ยเทียนอย่างเป็นสุข กระโจนขึ้นมาจากพื้นอย่างโมโห พอปรี่มาถึงหัวเยี่ยเทียน ก็ตะกุยผมเขาจนยุ่งเหยิง อวี๋ชิงหย่าเห็นเข้าก็หัวเราะออกมา
“อย่ายุ่งน่า โสมครึ่งต้น!” ดึงเหมาโถวลงมาจากหัวไหล่แล้ว เยี่ยเทียนก็ยื่นข้อเสนอ
“จี…จี ๆ!” ดวงตาราวกับอัญมณีของเหมาโถวหมุนวนรอบหนึ่งแล้ว ส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ ยื่นกรงเล็บเล็กข้างหนึ่งกวาดไปมาไม่หยุด
“เจ้าหนูแกมันเจ้าเล่ห์เหลือเกิน ต้นนึงก็ต้นนึง ไปเล่นตัวเดียวก่อนไป!”
หลังจากรอให้เหมาโถวตื่นเต้นดีใจจากไป เยี่ยเทียนกระซิบบอกว่า “เดี๋ยวจะเอาโสมกองนั้นให้แกกินจนพอใจเลย”
ถึงอย่างไรตนเองก็อนุญาตเพียงโสมต้นหนึ่งเท่านั้น ภายในโกดังยังมีโสมแดงที่ปลูกเองอีกไม่น้อย เยี่ยเทียนทำอย่างนี้แค่เพื่อแกล้งเหมาโถว
“เธอนี่ ชอบหาเรื่องกับสัตว์ ห้ามแกล้งเหมาโถวนะ” อวี๋ชิงหย่าเจอเยี่ยเทียนหยอกล้อจนหัวเราะออกมา ไม่เคยเห็นผู้ชายที่ไหนอันธพาลอย่างนี้
“งั้นฉันแกล้งเธอแทนเอาไหม?”
เยี่ยเทียนยิ้มร้ายกาจพลางสอดมือเข้าไปภายในชุดกระโปรง ยังไม่ทันรอให้อวี๋ชิงหย่าร้องออกมาอย่างตกใจ ก็ใช้ริมฝีปากประกบปิดจากด้านหน้า
หลังผ่านไปสักพักหนึ่ง เสียงหอบหายใจดังขึ้นจากคนทั้งสอง ใบหน้าขาวใสของอวี๋ชองหย่านั้นแดงซ่าน ดูท่าเยี่ยเทียนแทบจะสงบใจไม่อยู่แล้ว
“ดีที่ลัทธิเต๋าไม่ห้ามแต่งภรรยา ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องสึกแน่!” เยี่ยเทียนมีบัตรประจำตัวนักพรตเต๋าอย่างเป็นทางการ ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ เขาก็อดดีใจไม่ได้
“มา เมื่อกี้ยังชิมไม่ได้รสชาติ เราจูบกันอีกครั้งเถอะ!” เยี่ยเทียนดึงตัวอวี๋ชิงหย่าเข้ามากอด ขณะที่กำลังจะลองลิ้มรสอีกครั้ง ในหูก็ได้ยินเสียงคน จึงปล่อยอวี๋ชิงหย่าที่กำลังสะบัดตัวดิ้นหลุดไป
“เยี่ยเทียน ขืนเธอยังทำตัวแย่อีก ฉัน…ฉันจะ…”
ตอนที่อวี๋ชิงหย่ากำลังจะก้าวขาถอย เงยหน้าขึ้นเห็นซ่งเวยหลันเดินมาหาจากเรือนกลาง สีหน้าจึงยิ่งแดงก่ำ “คุณน้า มาได้อย่างไรคะ?”
“เยี่ยเทียน ลูกแกล้งอวี๋ชิงหย่าอีกแล้วหรือ?”
ซ่งเวยหลันคือคนที่เข้ามาเห็นสีหน้าของอวี๋ชิงหย่า ไหนเลยจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น? จึงก้าวไปข้างหน้าฉุดมืออวี๋ชิงหย่า กล่าวว่า “ชิงหย่า ถ้าเขาแกล้งหนูอีก บอกน้าได้เลยนะ น้าจะสั่งสอนเขาเอง!”
“เฮ้อ คุณพ่อที่น่าสงสาร!”
ได้ยินคำพูดของแม่แล้ว เยี่ยเทียนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ขืนอวี๋ชิงหย่าถูกแม่สั่งสอนให้กลายเป็นอย่างเธอล่ะก็ อนาคตของตัวเองคงไม่มีทางรอด
“พูดอะไรน่ะ เจ้าตัวร้าย?”
ซ่งเวยหลันถูกลูกชายแซวจนหน้าแดง เธอรู้ว่าความดุดันของเธอตอนอยู่กับสามีล้วนถูกลูกชายสังเกตเห็น แต่ว่าคนนอกหรือจะเคยสัมผัสและล่วงรู้ว่านั่นคือความสุขระหว่างสามีภรรยาอย่างพวกเขา
“เอาเถอะ คุณนั่งสิ…”
เยี่ยเทียนลุกขึ้นย้ายเก้าอี้ตัวหนึ่ง กล่าวว่า “คุณคงไม่ได้มาเพื่อชี้แนวทางลูกสะใภ้ปกครองสามีใช่ไหม? มีเรื่องอะไรพูดมาเลย”
“เยี่ยเทียน ห้ามก้าวร้าวนะ” คราวนี้อวี๋ชิงหย่าไม่อาจมองข้ามได้ จึงหยิกเอวเยี่ยเทียนอย่างแรงหนึ่งที
ซ่งเวยหลันกล่าวว่า “แม่จะออกไปข้างนอกสักหน่อย สักประมาณสามสี่เดือนถึงจะกลับ”
“หือ? ออกไปตอนนี้ แล้วพ่อไปหรือเปล่า?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วชะงักไปชั่วครู่ สายตาพิจารณาใบหน้าของแม่
“พ่อของลูกไม่ได้ไป เขาจะเตรียมงานแต่งให้ลูก แล้วแม่จะกลับมาก่อนงานแต่งงานแน่นอน”
งานแต่งงานของเยี่ยเทียนกำหนดวันที่หนึ่งเดือนมกราคมปี คศ.2000 ซึ่งเป็นวันแรกของการเปลี่ยนศักราช วันนี้เยี่ยเทียนเลือกด้วยตัวเอง คนอื่นต่างก็รู้ถึงความสามารถของเขา จึงตัดสินให้เป็นวันนี้เช่นกัน
ก่อนจะถึงวันนั้นยังมีเวลาเหลืออีกห้าเดือนกว่า หากพูดถึงเบื้องหลังครอบครัวของอวี๋ชิงหย่ากับเยี่ยเทียนทั้งสองคน ก็จำเป็นต้องเริ่มเตรียมการเสียตั้งแต่ตอนนี้ เนื่องจากการเลือกภาพถ่ายงานแต่งอีกทั้งเครื่องประดับหลากหลายชนิด ล้วนจำเป็นต้องใช้เวลาทั้งสิ้น
เดิมทีหน้าที่เตรียมการเครื่องประดับเหล่านี้ ล้วนควรเป็นหน้าที่ของซ่งเวยหลันผู้เป็นแม่กระทำ เพียงแต่ทางยุโรปเกิดเหตุไม่คาดฝันบางอย่าง เธอจำเป็นต้องกลับไปจึงจะสะสางได้ เรื่องนี้ทำให้ซ่งเวยหลันรู้สึกผิดต่อลูกชายมากนัก
“คุณรอสักครู่นะ!”
เยี่ยเทียนหลับตา ทำนายการเดินทางไปยุโรปครั้งนี้ของแม่อยู่ในใจ หลังจากเขาบาดเจ็บคราวนี้ ทักษะการทำนายก็พัฒนายิ่งขึ้นเช่นกัน จนสามารถอนุมานดวงชะตาดีร้ายบางส่วนของคนใกล้ตัวได้อย่างคร่าว ๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็ลืมตาขึ้น กล่าวว่า “พาแอนนากลับไปด้วยเถอะครับ แต่ว่าการเดินทางในอนาคตสองสามปีของคุณไม่ดีนัก วันปกติออกไปไหนต้องระวังให้มาก แล้วก็ ต้องกลับมาให้ได้ภายในครึ่งปีล่ะ!”
เยี่ยเทียนพบว่า การเดินทางทำธุรกิจของแม่ดีมาก แต่การเดินทางในเรื่องอื่นค่อนไปทางแย่เล็กน้อย อีกทั้งหลังจากนี้หนึ่งปี ดูเหมือนจะมีภัยใหญ่หนึ่งครั้ง แต่ว่าเวลานั้นซ่งเวยหลันควรจะกลับมาแล้ว เยี่ยเทียนจึงพอมีวิธีคลี่คลายด้วยตัวเอง
“ไม่ต้องถึงครึ่งปีหรอก แม่จะต้องกลับมาภายในสามสี่เดือนแน่”
ซ่งเวยหลันพยักหน้า มองไปทางอวี๋ชิงหย่าอย่างละอายใจ กล่าวว่า “ชิงหย่า น้าจะต้องจัดเตรียมของขวัญที่ดีที่สุดให้กับหนูอย่างแน่นอน”
“คุณไม่ต้องกังวลไปหรอก ผมเตรียมเอาไว้นานแล้ว อีกอย่างงานแต่งงานของเราจัดง่าย ๆ เท่านั้น ไม่ต้องสิ้นเปลืองขนาดนั้นหรอกครับ!”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมา กำไลหยกจักรพรรดิ์เขียวกับหยกแดงชั้นเลิศของเขานั้น เวลานี้ถูกเก็บอยู่ภายในตู้เซฟด้านหลังตู้หนังสือเรือนด้านข้างแล้ว
อีกทั้งเยี่ยเทียนปรึกษากับอวี๋ชิงหย่าเรียบร้อยแล้ว ว่างานแต่งของพวกเขาจัดภายในเรือนสี่ประสานเพียงไม่กี่โต๊ะ เชิญครอบครัวพ่อตาอวี๋เฮ่าหรานจากเซี่ยงไฮ้มาร่วมงานก็เพียงพอ
และนี่ก็เป็นเหตุให้เยี่ยเทียนใช้คาถาปกปิดดวงชะตาของอวี๋ชิงหย่าเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่กล้าจัดงานแต่งครั้งนี้เช่นกัน ห้าขาดตกสามบกพร่องที่ปรมาจารย์ฮวงจุ้ยนับแต่โบราณเคยว่าไว้นั้นมีอยู่แท้จริง
“ของลูกก็คือของลูก ที่แม่เตรียมให้เป็นเจตนาของแม่ อย่าพูดจาเหลวไหล”
ซ่งเวยหลันจ้องลูกชายของตนเองอย่างโกรธ ๆ กล่าวว่า “แค่งานแต่งงานของลูกนั่นก็ผิดต่ออวี๋ชิงหย่าแล้ว แม่จะเตรียมของขวัญให้เขาบ้างไม่ได้หรือไง?”
“ก็ได้ครับ ผมไม่ยุ่งล่ะ คุณเตรียมเถอะ จริงสิ ของชิ้นนี้คุณเก็บเอาไว้ เดี๋ยวค่อยหาเชือกสีแดงแขวนไว้ที่คอ ห้ามถอดออกเป็นอันขาดนะครับ!”
เยี่ยเทียนคิดอยู่สักครู่ แล้วหยิบของสองชิ้นออกมาจากกระเป๋าเสื้อ นำเหรียญทองแดงโบราณในนั้นมอบให้กับแม่ กล่าวว่า “นี่เป็นของที่อาจารย์ผมมอบให้ แม่ห้ามทำหายเป็นอันขาดล่ะ!”
เพราะเป็นซ่งเวยหลัน หากว่าเป็นคนอื่น เยี่ยเทียนคงนึกเสียดายไม่หยิบเหรียญทองแดงโบราณออกมา
ของชิ้นนี้เป็นหนึ่งในเครื่องรางสองชิ้นที่หลี่ซั่นหยวนมอบให้แก่เขา แต่ไม่ได้บอกคุณสมบัตินำโชคเลี่ยงภัยของมัน เพียงแค่ความหายากของตัวเหรียญทองแดงโบราณนี้ เปรียบเป็นมูลค่ามหาศาลก็ยังไม่พอ
แต่ซ่งเวยหลันกลับไม่รู้คุณค่าของเหรียญทองแดงนี้ สายตาจดจ้องไปยังอีกชิ้นที่อยู่บนฝ่ามือของเยี่ยเทียน เอ่ยปากว่า “ลูกแม่ นั่นมันของอะไรน่ะ ขอแม่ดูสักหน่อยได้ไหม?”
“นี่เหรอครับ? แหะ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร ได้รับมาจากคนอื่นอีกที!”
เยี่ยเทียนมองมือพลันยิ้มขึ้นมา ที่ซ่งเวยหลันพูดถึงที่จริงแล้วก็คือของที่เขาชิงมาจากคนญี่ปุ่นที่พม่าคราวก่อนนั่นเอง
โลหะชิ้นนี้ไม่ใช่ทองแดงไม่ใช่เหล็กไม่ใช่ทองคำและไม่ใช่เงิน เยี่ยเทียนเองก็ไม่รู้ว่าใช้วัตถุดิบอะไรสร้างขึ้น แต่มีความแข็งแกร่งอย่างมาก กระทั่งเยี่ยเทียนใช้วิชากดผิวด้านบนให้เป็นรอยยังทำไม่ได้
แต่ว่าของชิ้นนี้สร้างขึ้นอย่างละเอียดประณีต ฟันเฟืองแต่ละแถวภายในงดงามอย่างเหลือเชื่อ เยี่ยเทียนจึงเก็บติดตัวไว้ เวลาว่างก็หยิบมันออกมาเล่น
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะไม่รู้ว่าของชิ้นนี้ซุกซ่อนความลับอะไรเอาไว้ แต่ว่าเขาเคยถามผู้คนมากมาย กระทั่งศิษย์พี่ใหญ่และหนานไหวจิ่นก็ยังไม่รู้จัก ดังนั้นจึงกลายเป็นเพียงของเล่นอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง
“เยี่ยเทียน ลูก…ลูกเอาของชิ้นนี้มาจากไหน?”
ซ่งเวยหลันหยิบของโลหะขนาดประมาณนิ้วมือขึ้นมา พิจารณาเล็กน้อย ใบหน้าก็มีอาการตกตะลึง
“ทำไมหรือครับ? ของชิ้นนี้มีอะไรแปลกหรือ?”
เยี่ยเทียนสะดุ้งในใจ เขารู้ว่าชีวิตแม่ของเขาผ่านคลื่นลมพบเห็นมาหลายสิ่ง สิ่งที่ทำให้เธอมีสีหน้าตกใจ จึงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“นี่…ที่มันกุญแจตู้นิรภัยระดับSSSของธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์นี่นา!”
ซ่งเวยหลันมองลูกชายอย่างไม่เชื่อสายตา “ลูกไปเอาของชิ้นนี้มาจากไหน? นี่เป็นของที่ทำขึ้นอย่างประณีตรุ่นแรก ทั้งโลกนี้ผลิตออกมาเพียงสิบชิ้นเท่านั้น แล้วลูกมีได้อย่างไร?”
ไม่แปลกที่ซ่งเวยหลันจะตกใจ นั่นเป็นเพราะกุญแจชนิดนี้เป็นกุญแจพิเศษที่ใช้วิทยาการสมัยปัจจุบันประยุกต์สร้างขึ้นเป็นชุดแรกของธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งหมดมีเพียงสิบชิ้น ทุกชิ้นล้วนใช้กับตู้นิรภัยขนาดใหญ่กว้างถึงสิบตารางเมตร
หลังจากกุญแจสร้างเสร็จสิ้น แบบแปลนของกุญแจก็ถูกทำลายในทันที นั่นจึงหมายความว่า กุญแจสิบชิ้นนี้ล้วนมีเพียงหนึ่งเดียว ต่อให้เป็นตัวธนาคารเอง ก็ไม่สามารถเปิดตู้นิรภัยสิบใบนั้นได้
อีกทั้งช่วงเวลาเก็บรักษาของตู้นิรภัยเหล่านี้ไม่มีกำหนด ต่อให้ธนาคารถูกล้มละลายขายเปลี่ยนมือ ตู้นิรภัยก็จะได้รับที่จัดเก็บอันเหมาะสม ขอเพียงคุณมีกุญแจดอกนี้ ก็จะสามารถเปิดตู้นิรภัยได้อย่างสะดวกสบาย
ด้วยชื่อเสียงระดับโลกด้านความน่าเชื่อถือของธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ โดยทั่วไปแล้วนักการเมืองและมหาเศรษฐีของแต่ละประเทศล้วนนำเงินสดหรือของสำคัญของพวกเขาเก็บรักษาไว้ภายใน แต่ตู้นิรภัยระดับระดับSSS กลับมีเพียงคนพิเศษที่ครอบครองได้
ภายในกุญแจนี้ใส่โลหะอันหาได้ยากชนิดหนึ่ง เนื่องจากขาดแคลนวัตถุดิบ ภายหลังจึงไม่มีการสร้างกุญแจตู้นิรภัยชนิดนี้อีก
กุญแจตู้นิรภัยรุ่นแรกสิบชิ้นที่ถูกผลิตออกมานั้น ต่างไม่มีใครรู้ว่าไปตกอยู่ที่ไหน หรืออยู่ในมือใคร
ทางธนาคารเองก็เก็บข้อมูลของผู้ถือไว้เป็นความลับเช่นกัน ดังนั้นจึงมีมหาเศรษฐีระดับโลกมากมาย ถึงขั้นไม่รู้ว่าธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์เคยสร้างตู้นิรภัยมาตรฐานระดับนี้
ซ่งเวยหลันเองก็ไม่เคยเห็นกุญแจชนิดนี้ แต่ตอนที่เธอจัดการธุรกิจกับตู้นิรภัยที่ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ครั้งหนึ่ง ได้เห็นรูปภาพของกุญแจชนิดนี้จากมือของพนักงานรักษาความปลอดภัยผู้มีผมสีดอกเลาทั้งหัวหนึ่งครั้ง
พลิกพิจารณาดูอยู่ในมือรอบหนึ่ง ซ่งเวยหลันก็พูดว่า “ไม่ผิดแน่ ลูกดูสิตรงนี้มีอักษรเลขหกภาษาอังกฤษ แสดงว่านี่คือกุญแจลำดับที่หก ลูกแม่ ลูกได้รับของชิ้นนี้มาจากไหนกันแน่?”
ยิ่งรู้จักเยี่ยเทียนนานเข้า ซ่งเวยหลันก็ยิ่งคาดเดาลูกชายไม่ออกขึ้นทุกที
ที่สำคัญ กระทั่งสถานะตระกูลของเธอไปจัดการเรื่องตู้นิรภัยธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ อย่างมากที่สุดก็เอามาได้เพียงตู้นิรภัยระดับ2Sเท่านั้น
………………………………………………..