หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 605 ตำหนักอาญา
“หนึ่ง หลังจากเข้าสู่สมาคมหงเหมินแล้ว บิดามารดาของท่านก็คือบิดามารดาของเรา พี่น้องชายหญิงของท่านก็คือพี่น้องชายหญิงของเรา ภรรยาของท่านก็คือพี่สะใภ้ของเรา บุตรของท่านก็คือหลานของเรา หากมีการฝ่าฝืน ขอให้ฟ้าผ่ามีอันเป็นไป”
“สอง กรณีที่มีพ่อแม่พี่น้องถึงแก่กรรม แล้วขาดเงินจัดพิธีฝัง หากผู้ใดพบเห็นผ้าแพรขาว จงประกาศข่าวขอความช่วยเหลือออกไปทันที มีเงินช่วยออกเงิน ไม่มีเงินช่วยออกแรง หากผู้ใดแสร้งว่าไม่รู้ ขอให้ฟ้าผ่ามีอันเป็นไป”
“สามสิบหก ไม่ว่าจะเป็นบัณฑิต ชาวนา ช่างฝีมือ หรือพ่อค้า เมื่อเข้าร่วมสมาคมหงเหมินแล้ว ก็จะต้องยึดถือความจงรักภักดีมาก่อนสิ่งอื่น ติดต่อสมาคมกับพี่น้องในทุกสารทิศ…”
“คำปฏิญาณมีผลต่อทั้งผู้ทรยศและผู้ภักดี พี่น้องทุกสารทิศใช้กฎเดียวกัน ผู้จงรักภักดีพึงมียศศักดิ์ ผู้ทรยศหักหลังพึงจบชีวิตใต้คมดาบ”
ตู้เฟยเป็นผู้นำในการท่องคำปฏิญาณสามสิบหกประการของสมาคมหงเหมิน สมาชิกของสมาคมหงเหมินที่อยู่ในสภาต่างก็ท่องตาม หลังจากท่องคำปฏิญาณข้อที่สามสิบหกจบแล้ว ตู้เฟยก็ตะโกนขึ้นว่า “ประหารพญาหงส์!”
ทันทีที่ตู้เฟยตะโกนขึ้น เจ้าตำหนักพิธีก็อุ้มไก่โต้งใหญ่ตัวหนึ่งซึ่งดูองอาจกว่าไก่ทั่วๆ ไปมาที่หน้าโถงพิธี มือขวาของตู้เฟยฟันดาบออกไป แล้วหัวของไก่ตัวนั้นก็ถูกฟันร่วงลงมา
บนโต๊ะบูชามีแก้วสุราที่รินไว้ครึ่งค่อนแก้ววางเรียงอยู่แถวหนึ่ง เจ้าตำหนักพิธีหยดเลือดที่หลั่งออกมาจากหัวไก่ลงไปในแก้วสุรา แล้วก็ยกแก้วสุราไปที่วางตรงหน้าเจ้าตำหนักทั้งแปดของสภาในและสภานอกของสมาคมหงเหมิน
“ขอปฏิญาณกราบกรานฟ้าดำดินเหลือง สร้างพันธมิตรอุทิศตนเพื่อชาติ!”
ภายใต้การนำของหลี่ซงชิว แต่ละคนดื่มสุราผสมโลหิตในแก้วลงไปจนหมดรวดเดียว หลังจากผ่านพิธีหยดโลหิตปฏิญาณตนนี้ไปแล้ว ก็จะถือว่าเยี่ยเทียนได้เข้าสู่สมาคมหงเหมินอย่างเป็นทางการ
หลี่ซงชิวประสานมือคารวะเยี่ยเทียน แล้วชี้ไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ด้านหน้าตำแหน่งของตน “ท่านเยี่ย เชิญนั่งเถิด!”
“เอ๋?” เมื่อเห็นตำแหน่งที่ตั้งของเก้าอี้ตัวนั้น เยี่ยเทียนก็เปลี่ยนสีหน้าไป รีบโบกมือแย้งว่า “ไม่ได้นะครับ ผมยังไม่ได้มีตำแหน่งฐานะอะไร รับเก้าอี้ตำแหน่งนี้ไม่ได้หรอกครับ”
หลี่ซงชิวมีตำแหน่งเป็นผู้นำของสมาคมหงเหมิน จึงมีสถานะสูงส่งอย่างที่ไม่มีใครในสมาคมเทียบได้อีกแล้ว แต่เก้าอี้ตัวนี้กลับวางอยู่ในตำแหน่งเหนือกว่าเขา จึงมีความหมายแฝงอยู่อย่างลึกซึ้ง
หากจะทำความเข้าใจอย่างง่ายๆ ก็คือ เพราะเยี่ยเทียนมีศักดิ์สูงมาก จึงให้เขานั่งตำแหน่งนี้เพื่อเป็นการให้เกียรติ แต่ถ้าจะมองให้ลึกกว่านี้ละก็ ไม่ได้แปลว่าบัดนี้สมาคมหงเหมินมีผู้อาวุโสเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งหรอกรึ?
สมาคมหงเหมินแม้จะมีอาณาเขตกระจายอยู่ตามถิ่นต่างๆ ทั่วโลก แต่ทุกที่ก็มีนายใหญ่เฝ้ารักษาการอยู่แล้ว แม้แต่นายใหญ่แต่ละคนในสภาหลักก็มีตำแหน่งหน้าที่ตัวเองกันทุกคน พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตอนนี้สมาคมหงเหมินไม่มีตำแหน่งว่างอยู่จะยกให้เยี่ยเทียนได้เลย
การที่หลี่ซงชิวทำเช่นนี้ เพราะอยากจะมีเยี่ยเทียนไว้เคารพบูชาดั่งบรรพบุรุษ หรือเพราะอยากให้เขากลายเป็นผู้อาวุโสมีอำนาจจริงๆ กันแน่ เรื่องนี้ค่อนข้างจะน่าขบคิดสงสัยอยู่เหมือนกัน
เมื่อหลี่ซงชิวเห็นเยี่ยเทียนปฏิเสธก็ส่ายหน้า ก็กล่าวว่า “ท่านเยี่ยมีศักดิ์อาวุโสสูงมาก ต่อให้เป็นสมัยก่อนสถาปนาประเทศก็ยังพบได้ยากอย่างยิ่งเลย แม้แต่ผู้แซ่ตู้กับผู้แซ่หวงก็ยังมีลำดับอาวุโสต่ำกว่าท่าน ท่านนั่งที่ตำแหน่งนี้ รับการคารวะจากพี่น้องทุกท่านเถอะ!”
พรรคชิงปังเน้นความเป็นอาจารย์และศิษย์ ส่วนสมาคมหงเหมินเน้นความเป็นพี่น้อง หลังจากชิงปังและหงเหมินรวมเข้าด้วยกัน ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันชัดเจนขนาดนั้นแล้ว เยี่ยเทียนย้ายจากชิงปังมาหงเหมิน หลี่ซงชิวจึงทำตามธรรมเนียมของพรรคชิงปัง
ตู้เฟยก็พูดขึ้นมาข้างๆ “นั่นสิครับ ท่านเยี่ย เราจะเสียมารยาทไม่ได้ โปรดรับการคารวะจากทุกๆ คนด้วยนะครับ!”
ถ้าเยี่ยเทียนสามารถวางรากฐานในสมาคมหงเหมินได้ ก็ย่อมจะเป็นผลดีต่อตู้เฟยอย่างยิ่ง
ในสมาคมแบบนี้ ลำดับอาวุโสแสดงถึงความสามารถในการมีสิทธิ์มีเสียง ต่อให้เยี่ยเทียนไม่มีอำนาจใดๆ เลยในสมาคมหงเหมิน แต่หากเขากล่าวอะไรออกไป คนอื่นก็ยังต้องนำไปพิจารณาอยู่ดี
“ขอท่านเยี่ยโปรดนั่งประจำตำแหน่งด้วย!”
ทันทีที่ตู้เฟยพูดจบ ฝูงชนในที่นั้นก็ส่งเสียงสนับสนุนขึ้นมาพร้อมๆ กัน พฤติการณ์ของเยี่ยเทียนในวันนี้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของทุกคนแล้ว อีกทั้งเขาก็ยังอายุน้อยเพียงเท่านี้ ไม่มีใครอีกแล้วที่จะสามารถสกัดขัดขวางเขาไม่ให้ก้าวหน้าในสมาคมหงเหมินได้
ดังนั้นต่อให้เป็นพวกที่เป็นมิตรกับตระกูลเหลย ก็คงไม่กล้าไปล่วงเกินเยี่ยเทียนตอนนี้ ได้แต่เทิดทูนบูชาเขาอย่างสูงส่งราวกับเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง
“ท่านเยี่ย ท่านก็นั่งไปเถอะครับ ไม่มีอะไรเสียหายหรอก!” ถังเหวินหย่วนแม้จะมีความสัมพันธ์กับเยี่ยเทียนอย่างค่อนข้างสนิทสนม แต่ยามนี้ก็ยังเรียกเขาว่า ‘ท่าน’ ด้วยเหมือนกัน
“ก็ได้ เคารพมิสู้ทำตามสั่ง!”
เยี่ยเทียนครุ่นคิดแล้วพูดขึ้นว่า “อันความเคารพรักจากทุกท่านนั้น ผมรู้สึกซาบซึ้งใจเหลือคณา และก็อยากจะทำความรู้จักกับนายใหญ่แต่ละท่านในสมาคมเสียหน่อย ผมขอไม่นั่งดีกว่า แต่จะยืนอยู่ที่ตำแหน่งนั้นแทนดีไหมครับ?”
ด้วยสถานะของเยี่ยเทียน เขามีสิทธิ์ที่จะนั่งรับการคารวะที่ตำแหน่งนั้นได้อยู่แล้ว แต่เขายืนกรานไม่ยินยอม อายุเยาว์ตำแหน่งสูง แต่ไม่เย่อหยิ่ง กลับทำให้เขาชนะใจของเหล่าสมาชิกไปได้หลายคนเลยทีเดียว
“ท่านเยี่ยครับ ผมเป็นทูตประจำอยู่ที่สมาคมหงเหมินสาขาลอสแอนเจลิส…”
“ท่านเยี่ยครับ ผมเป็นทูตประจำอยู่ที่สมาคมหงเหมินสาขามาเลเซีย…”
เยี่ยเทียนยืนอยู่ตรงนั้น แล้วบรรดาผู้อาวุโสจากสมาคมหงเหมินสาขาต่างๆ ทั่วโลกก็เรียงแถวกันเข้ามาแสดงความเคารพต่อเยี่ยเทียนตามลำดับ
แม้จะอายุน้อย แต่เยี่ยเทียนก็วางตัวได้เป็นผู้ใหญ่อย่างยิ่ง ทั้งการรับคารวะและคารวะตอบต่างก็ไม่มีจุดไหนที่เสียมารยาทไปเลย มิหนำซ้ำหลังจากได้ฟังชื่อของแต่ละคนไปครั้งเดียว ก็สามารถเรียกขานได้อย่างถูกต้องในทันที
การจดจำชื่อของผู้อื่นนั้นเป็นเครื่องมือวิเศษอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยในการเข้าสังคม ภาษิตว่า การแบกหามเกี้ยวนั้นคือคนอุ้มชูคน คนที่เยี่ยเทียนเรียกชื่อไปแต่ละคนต่างก็รู้สึกว่าตนเป็นที่ชื่นชอบ ในใจจึงรู้สึกเคารพเยี่ยเทียนขึ้นมามากในทันที
การพบปะคารวะกันครั้งนี้ใช้เวลาไปนานถึงครึ่งชั่วโมงกว่าๆ แต่ละคนต่างก็อยากจะพูดคุยกับเยี่ยเทียนอีกสักหน่อย ยิ่งบางคนที่ใจร้อนก็เปิดฉากซักถามเยี่ยเทียนเลยว่าจะเปิดรับลูกศิษย์หรือยัง?
สมาคมหงเหมินแตกต่างจากพรรคชิงปัง การเข้าสู่สมาคมโดยการกราบใครเป็นอาจารย์นั้นมีอยู่น้อยมาก ผู้อาวุโสหลายคนที่อยู่ในที่นั้นต่างก็จัดลำดับอาวุโสโดยตัดสินจากระยะเวลาที่ได้เข้าสู่สมาคม แม้แต่พวกหลี่ซงชิวก็เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ เยี่ยเทียนจึงกลายเป็นคนเนื้อหอมขึ้นมา เพราะถ้าสามารถกราบเขาเป็นอาจารย์ได้ อย่างนั้นลำดับอาวุโสในสมาคมก็จะเลื่อนสูงขึ้นมาทันที เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่การถูกเรียกด้วยคำว่า ‘ท่าน’ นี้ ก็ทำให้พวกนี้แห่แหนกันเข้ามาแย่งชิงเหมือนฝูงเป็ดแล้ว
“พับผ่าสิ มิน่าล่ะสมัยก่อนอาจารย์ถึงไม่ยอมอยู่ในพรรคชิงปังต่อ ที่แท้แต่ละคนก็มีแต่พวกชอบเซ้าซี้เกาะแกะนี่เอง”
หลังจากการคารวะของทุกคนเสร็จสิ้นไปได้ เยี่ยเทียนก็แอบปาดเหงื่อบนหน้าผาก
นึกดูเถิดว่า ตาแก่แต่ละคนที่อายุใกล้จะเจ็ดแปดสิบแล้วพวกนี้ กลับมาแสดงเจตนาต่อเยี่ยเทียนด้วยท่าทางเหนียมอายว่าอยากจะขอกราบเป็นอาจารย์ ทำเอาเยี่ยเทียนทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ
แต่เยี่ยเทียนก็รู้ว่า เรื่องแบบนี้เป็นที่พบเห็นได้บ่อยมากในสมาคมต่างๆ สมัยก่อนตู้เยวี่ยเซิงกับหวงจินหรงก็เค้นสมองหาวิถีทาง ไปกราบผู้อาวุโสคนสำคัญบางท่านเป็นอาจารย์ เพื่อพัฒนาลำดับศักดิ์ของตัวเองเหมือนกันไม่ใช่หรอกหรือ
สมาคมก็ได้เข้าแล้ว คารวะก็คารวะแล้ว ตามเหตุผลพิธีการในวันนี้ก็ควรจะยุติลงได้แล้ว แต่ฝูงชนที่อยู่ในเหตุการณ์กลับไม่มีใครแยกย้ายกันเลยสักคน สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่ใบหน้าของประธานสมาคมหลี่ซงชิว
เหลยหู่ที่กำลังสลบอยู่ และคนของตำหนักอาญาที่นั่งคุดคู้อยู่ที่มุมหนึ่งในสภาเหล่านั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้จัดการเลย นี่เป็นปัญหาร้อนๆ ที่หากจัดการพลาดไปแม้แต่นิดเดียว ก็อาจทำให้ตระกูลเหลยโกรธแค้นขึ้นมาได้
แม้ว่าเหลยหู่จะมีตำแหน่งสูงเป็นเจ้าตำหนักอาญา แต่ในสายตาของคนทั้งหลาย เหลยหู่ก็เป็นเพียงทายาทรุ่นหลังคนหนึ่งเท่านั้น เหลยเจิ้นเยวี่ยผู้ชราแต่มีจิตมั่นต่างหาก ถึงจะเป็นพยัคฆ์ร้ายเสาหลักของตระกูลเหลยที่แท้จริง!
“แค่ก…แค่กๆ…”
เสียงไอของหลี่ซงชิวฟังดูดังเป็นพิเศษภายในที่ประชุมอันเงียบสงบ เขาได้รับบาดเจ็บที่ปอดจากการต่อสู้เมื่อนานมาแล้ว และสามปีก่อนแผลเก่าก็กำเริบขึ้นมาอีก ที่ทนมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว
หลี่ซงชิวใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากไว้ หลังจากไออย่างหนักไปพักหนึ่ง เขาก็เห็นอย่างชัดเจนว่า บนผ้าเช็ดหน้าสีขาวราวหิมะมีคราบโลหิตสีแดงเข้มอยู่ ในใจจึงรู้สึกเศร้าหมองขึ้นมา
“ตระกูลเหลย ให้ฉันเป็นคนจัดการเองก็แล้วกัน!”
หลี่ซงชิวลอบตัดสินใจกับตัวเอง เขาเหลือเวลาที่จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่วันแล้ว ถ้าไม่จัดการกับตระกูลเหลยให้เรียบร้อยละก็ ไม่ว่าใครที่จะมานั่งตำแหน่งประมุขนี่ต่อจากเขา ก็คงจะอยู่ได้อย่างไม่มั่นคงนัก
“เซี่ยงจงถัง สมาชิกของตำหนักอาญาก่อความวุ่นวาย ทำร้ายผู้ร่วมสมาคม นี่คุณมาเป็นรองเจ้าตำหนักอาญาได้ยังไงน่ะ?”
แม้ว่าขณะนี้เหลยหู่จะเริ่มค่อยๆ ฟื้นสติขึ้นมาแล้ว แต่หลี่ซงชิวไม่ได้มองเขาเลย กลับเอ่ยปากพูดกับคนอื่นแทน เพราะคนที่ชื่อว่าเซี่ยงจงถังนี้ หลี่ซงชิวเป็นคนแต่งตั้งเขาเข้าไปในตำหนักอาญาเอง
“ท่านประธานใหญ่ ผมบริสุทธิ์นะครับ!”
เซี่ยงจงถังที่ตอนแรกกำลังนั่งยองๆ อยู่กับพื้นลุกขึ้นมา แล้วพูดเสียงดังว่า “ท่านประธานใหญ่ครับ ทั้งหมดนี้ท่านหู่เป็นคนจัดการเองทั้งหมด ท่านบอกว่าในพิธีการวันนี้ จะมีคนมุ่งร้ายต่อสมาคมหงเหมิน ให้พวกผมคอยฟังสัญญาณแล้วบุกเข้ามา ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ นะครับ!”
“นั่นสิ ท่านประธานใหญ่ครับ พวกผมเพียงแต่ทำตามคำสั่งของท่านหู่เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายผู้ร่วมสมาคมเลยนะครับ!”
ทันทีที่เซี่ยงจงถังพูดจบ คนของตำหนักอาญาหนึ่งร้อยกว่าคนเหล่านั้นก็ทยอยกันโวยวายขึ้นมาบ้าง ที่จริงแล้วคนสนิทที่รู้แผนของเหลยหู่จริงๆ ก็มีอยู่สิบกว่าคนเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ เพียงแต่ถูกเหลยหู่หลอกใช้โดยที่ไม่ได้รู้สถานการณ์แน่ชัด
“ท่านประธานใหญ่ครับ การที่พวกผมบุกรุกพิธีการนั้นแม้จะมีความผิด แต่พวกผมไม่ได้ลั่นไกปืนเลยนะครับ ขอให้ท่านประธานใหญ่โปรดพิจารณาด้วย สมาชิกของตำหนักอาญาไม่ได้มีความผิดกันหมดทุกคนนะครับ!”
เสียงของเซี่ยงจงถังพูดขึ้นมาอีกครั้ง โดยคราวนี้ชี้เป้าไปที่เหลยหู่โดยตรง ความหมายของเขาชัดเจนมาก เหลยหู่ลั่นไกปืนทำร้ายพี่น้องร่วมสมาคมจริง แต่นั่นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคนอื่นๆ ในตำหนักอาญาเลยนี่
“รองเจ้าตำหนักเซี่ยงพูดถูกแล้วครับ ขอท่านประธานใหญ่โปรดพิจารณาด้วย!”
บริวารของตำหนักอาญาพูดสนับสนุนกันขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาไม่อยากถูกกล่าวหาว่ามีความผิดฐานทำร้ายผู้ร่วมสมาคมหรอกนะ เพราะในคำปฏิญาณตนสามสิบหกประการที่เพิ่งกล่าวกันไปเมื่อครู่ก็ระบุไว้ชัดเจนแล้วว่า ทำร้ายผู้ร่วมสมาคม โทษคือแทงสามดาบหกรู!
หลี่ซงชิวโบกมือ “พาตัวเหลยหู่ขึ้นมา!”
เมื่อได้ยินคำสั่งของหลี่ซงชิว สมาชิกของสมาคมหงเหมินสี่คนก็พยุงเหลยหู่ซึ่งเพิ่งจะฟื้นและสติยังเลอะเลือนอยู่ขึ้นมา มือขวาของเขาพันผ้าพันแผลไว้เรียบร้อยแล้ว
“เหลยหู่ แกปกครองตำหนักอาญาอยู่ การทำร้ายผู้ร่วมสมาคมจะมีผลลัพธ์อย่างไร แกก็คงจะรู้ดีสินะ?”
ขณะที่มองดูเหลยหู่ หลี่ซงชิวเองก็รู้สึกลำบากใจอยู่ ถ้าเหลยเจิ้นเยวี่ยมาอยู่ที่นี่ เขาก็อาจจะใช้กฎของสมาคมลงโทษเหลยหู่ได้ แต่เหลยเจิ้นเยวี่ยก็ดันไม่อยู่ที่นี่ เขาจึงทำอะไรได้ไม่เต็มที่นัก
“นั่นมันเป็นอุบัติเหตุ ไม่นับว่าเป็นความผิด”
เหลยหู่เงยหน้าขึ้นมา แล้วจ้องเขม็งไปที่หลี่ซงชิว “ถ้าจะลงโทษเจ้าตำหนักของสภาฝ่ายใน ก็จะต้องมีรองประธานใหญ่มาอยู่เป็นพยานด้วยถึงจะทำได้ แกตัดสินลงโทษฉันไม่ได้หรอก!”
ในสมาคมหงเหมินนั้น ผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดย่อมเป็นท่านประธานใหญ่นั่นเอง และรองลงมาก็คือรองประธาน ซึ่งตำแหน่งรองประธานนี้ก็เป็นของเหลยเจิ้นเยวี่ย บิดาของเหลยหู่พอดี ปกติในสมาคมก็เรียกเขาว่าท่านผู้อาวุโสกันทั้งนั้น
“เอาเถอะ ในเมื่อแกพูดแบบนี้ ฉันก็จะไม่กดดันแกแล้ว”
หลี่ซงชิวมองดูเหลยหู่ซึ่งมีสีหน้าคับแค้น แล้วกล่าวขึ้นเสียงดัง “คณะทูตทุกท่านโปรดอยู่ที่นี่ต่ออีกหนึ่งวัน พรุ่งนี้สมาคมหงเหมินจะเปิดสภาตุลาการพิพากษากรณีนี้ ต้องขอเชิญทุกท่านมาเป็นสักขีพยานด้วย!”
“ไม่ต้องรอพรุ่งนี้แล้ว ตัดสินกันวันนี้เลยเถอะ!” หลี่ซงชิวพูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงอันดังกังวานเสียงหนึ่งก็ดังมาจากทางประตูใหญ่ ทำให้ฝูงชนต่างหันหน้าไปมองทางนั้น
“พ่อครับ!” เหลยหู่เงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และทันเห็นร่างอันสูงใหญ่ของเหลยเจิ้นเยวี่ยเดินเข้ามาในสภาพอดี
………………………………………………….