หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 608 มวยทงเป้ยและฝ่ามือสับงัด
“โอหัง!”
ไม่ใช่แค่เหลยเจิ้นเยวี่ยเท่านั้นที่รู้สึกว่าเยี่ยเทียนกำลังพูดเล่นอยู่ คนอื่นๆ อีกหลายร้อยคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็นึกถึงคำนี้ขึ้นมาในใจพร้อมกัน
เยี่ยเทียนมีอาวุโสสูงก็จริงอยู่ แต่การประลองฝีมือนั้นไม่ได้ตัดสินแพ้ชนะกันที่ลำดับอาวุโส และเหลยเจิ้นเยวี่ยที่กำลังมีความแค้นเคืองเป็นการส่วนตัวอยู่ในใจนั้น ก็ยิ่งไม่มีทางออมมือเพราะเห็นแก่ลำดับอาวุโสของเยี่ยเทียนแน่นอน
ในความคิดเห็นของเหล่าฝูงชน วิธีที่ฉลาดที่สุดที่เยี่ยเทียนจะทำได้นั้น ก็หนีไม่พ้นการประนีประนอม พูดไกล่เกลี่ยให้เรื่องนี้คลี่คลายไป ต่อให้ต้องสู้กันจริงๆ ก็ไม่ควรจะใช้วาจายั่วโทสะของเหลยเจิ้นเยวี่ยแบบนี้
ใครๆ ก็รู้กันว่า เหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นพวกบ้าการต่อสู้ ถ้าลงได้เริ่มสู้กับใครแล้ว ก็จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย ไม่อย่างนั้นด้วยมิตรภาพระหว่างเขากับบิดาของตู้เฟยแล้ว เขาก็คงไม่เหวี่ยงส้นเท้าใส่ตู้เฟยจนเจ็บหนักแบบนั้นหรอก
ตอนที่เยี่ยเทียนรับการคารวะจากฝูงชนเมื่อก่อนหน้านี้ เขาก็ดูอ่อนน้อมถ่อมตนมาก แต่คำพูดที่กล่าวออกไปเมื่อครู่กลับทำให้เหล่าฝูงชนต้องลอบส่ายหน้า สุดท้ายแล้วคนหนุ่มก็ยังควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้อยู่ดี
“ผู้อาวุโสเหลย วรยุทธของท่านฝึกจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว ผู้ที่จะสามารถฝึกวรยุทธพลังภายนอกจนถึงระดับเดียวกับคุณได้นั้น ในปัจจุบันนี้คงไม่มีใครอื่นทำได้อีกแล้ว ผมเองก็กำลังอยากจะขอรับการชี้แนะอยู่พอดี…”
เยี่ยเทียนไม่สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนเหล่านั้นเลย แต่มองไปที่เหลยเจิ้นเยวี่ย แล้วพูดเปลี่ยนเรื่องว่า “แต่เท้าของคุณก็เพิ่งจะก้าวเข้าสู่ขั้นสูงสุดไปแค่ข้างเดียว นอกจากนี้ภายในร่างกายก็ยังมีโรคบางอย่างที่ไม่ได้ขจัดอยู่ ผมจึงพอจะสามารถเป็นผู้ชี้แนะให้ได้อยู่!”
เยี่ยเทียนเข้าสู่วงการมาสิบกว่าปี มีเพียงครั้งที่ประลองกับอาจารย์มวยแปดทิศที่ชางโจวสมัยที่เขายังเด็กมากเท่านั้น ที่เขาพลาดท่าเสียทีไปเล็กน้อย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พลังฝีมือของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด และก็ไม่เคยเจอใครที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อีกเลย
แม้จะมีภาษิตว่า บัณฑิตไม่มีใครยอมเป็นที่หนึ่ง จอมยุทธไม่มีใครยอมเป็นที่สอง แต่สำหรับผู้ฝึกวิชายุทธบางคน การที่ไม่มีใครมาเป็นคู่ต่อสู้ได้เลยนั้นก็เป็นเรื่องน่ากลุ้มใจอยู่เหมือนกัน ดังนั้นหลังจากที่ประจักษ์ถึงพลังฝีมือของเหลยเจิ้นเยวี่ย ในใจเยี่ยเทียนจึงเกิดความฮึกเหิมอยากต่อสู้ขึ้นมา
ที่เยี่ยเทียนเดินทางมาอเมริกาครั้งนี้ นอกจากเพราะกลัวว่ามารดาจะเกิดเหตุแล้ว ยังมีสาเหตุอยู่อีกประการหนึ่ง ซึ่งก็คืออยากจะเห็นการชุมนุมที่องค์กรมวยใต้ดินโลกเป็นผู้จัดขึ้นสักหน่อย ดูว่าในโลกนี้มีนักสู้ฝีมือดีอยู่มากน้อยแค่ไหนกันแน่
แต่ที่เยี่ยเทียนคาดไม่ถึงคือ เขายังไม่ทันได้ไปร่วมงานชุมนุมมวยใต้ดินนั่นเลย ก็ได้พบกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจอย่างเหลยเจิ้นเยวี่ยที่สมาคมหงเหมินเสียก่อน
ก้าวสู่ขั้นสูงสุดไปครึ่งก้าวแล้ว ทั้งชีวิตมีประสบการณ์มานับร้อยนับพันศึก จิตสังหารไม่ได้อ่อนไปกว่าเขาเลยสักนิด กระทั่งยังคล้ายจะเหนือกว่าอีก คู่ต่อสู้แบบนี้ นอกจากศิษย์พี่ใหญ่และหนานไหวจิ่น นี่ก็เป็นคู่ค่อสู้ที่แกร่งที่สุดเท่าที่เยี่ยเทียนจะได้พบเจอแล้ว
แน่นอนว่า เยี่ยเทียนไม่มีความหวาดกลัวใดๆ ทั้งสิ้น พลังฝีมือของเขาเดิมก็สูงกว่าเหลยเจิ้นเยวี่ยอยู่แล้ว และเขาก็กำลังคิดจะใช้ศึกนี้ ทำให้คนในสมาคมหงเหมินยอมรับเขาอย่างแท้จริงอยู่พอดี
“หือ? แกรู้จักขั้นสูงสุดด้วยรึ?”
คำพูดของเยี่ยเทียนอยู่เหนือความคาดหมายของเหลยเจิ้นเยวี่ยมาก จึงอดหรี่ตามองอีกฝ่ายไม่ได้ แม้ว่าที่เขาฝึกมาจะเป็นมวยสายพลังภายนอก แต่ก็เคยพบปะครูมวยสายพลังภายในมาไม่น้อย จึงรู้เกี่ยวกับระดับขั้นต่างๆ ในวิชามวยพลังภายในเป็นอย่างดี
หลังจากพัฒนาฝีมือขึ้นได้เมื่อไม่นานมานี้ เหลยเจิ้นเยวี่ยรู้สึกว่าตัวเองได้เข้าสู่ระดับสูงสุดแล้ว แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจ ยามนี้เมื่อเยี่ยเทียนเอ่ยถึงขึ้นมา ในใจเหลยเจิ้นเยวี่ยจึงรู้สึกระแวงขึ้นมาทันที
คนฝึกวิชายุทธในยุคปัจจุบันมีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ แล้ว หลายคนถึงกับไม่รู้เลยว่าอะไรคือพลังปรากฏ พลังแฝงและพลังสับเปลี่ยน เพียงฟังจากสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดมานี้ ก็พอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่า เขาเป็นคนในวงการนี้จริงๆ
“พูดแล้วไม่ทำ ก็แค่ทักษะปลอมๆ น่ะ…”
เยี่ยเทียนหัวเราะฮ่าๆ “ผู้อาวุโสเหลย ที่นี่ยังมีคนตั้งมากมายกำลังรอไปกินข้าวดื่มเหล้าอยู่นะครับ พวกเราก็อย่าปล่อยให้คนอื่นต้องรอนานเลยนะ”
หลังจากพูดจบ เยี่ยเทียนก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว สองมือกุมอกเสื้อไว้ แล้วฉีกออกจากกัน ชุดคลุมยาวตลอดร่างขาดออกเป็นสองส่วน เผยให้เห็นร่างอันสูงชะลูดของเยี่ยเทียน
“วีรบุรุษมักปรากฏในคนรุ่นเยาว์จริงๆ ด้วยสิ ท่านเยี่ย เหล่าเหลยขอรับการชี้แนะ!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยเห็นการกระทำของเยี่ยเทียนแล้วตาลุกวาวขึ้นมาทันที เท้าซ้ายย่ำไปข้างหน้าอย่างหนักหน่วง อิฐเทาบนพื้นถูกกระทืบจนแตกเป็นชิ้นๆ ไปทันที
เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะเริ่มลงมือแล้ว บรรดาฝูงชนที่ล้อมดูอยู่ก็ทยอยกันถอยห่างออกไป เพื่อเว้นที่ให้เยี่ยเทียนและเหลยเจิ้นเยวี่ย
เวลาต่อสู้ไอ้เสือเหลยไม่เห็นใครหน้าไหนอยู่ในสายตาทั้งนั้น ถ้าเกิดโดนลูกหลงเข้าไปละก็ อาจต้องจบฉากโดยกล้ามเนื้อฉีกกระดูกหักเลยก็เป็นได้ ทุกคนจึงหลีกหนีราวกับไม่อยากสัมผัสถูกตัวเชื้อโรค
แต่ที่ทำให้ฝูงชนประหลาดใจกันก็คือ หลังจากเหลยเจิ้นเยวี่ยเริ่มก้าวออกไปหนึ่งก้าวอย่างดุดันแล้ว ทั้งร่างก็กลับยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว เพียงถลึงตาจ้องมองเยี่ยเทียนอย่างเกรี้ยวกราด
ภาษิตว่า คนวงในดูเคล็ดวิชา คนวงนอกดูความครื้นเครง อย่างพวกหลี่ซงชิวนั้นย่อมดูออกแล้วว่า ขณะนี้เหลยเจิ้นเยวี่ยกำลังเร่งพลังของตัวเองขึ้น หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นการข่มศัตรูให้แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มสู้
แต่พลังจิตสังหารที่เหลยเจิ้นเยวี่ยแผ่ออกไปคราวนี้ กลับใช้กับเยี่ยเทียนไม่ได้ผลเลยสักนิด เพราะร่างกายที่ดูเหมือนจะผอมและอ่อนแอของเยี่ยเทียนนั้น ก็ปล่อยพลังจิตสังหารที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าของเหลยเจิ้นเยวี่ยเลยออกมาเช่นกัน
แม้จะไม่เคยฆ่าคนเป็นจำนวนมากเท่าเหลยเจิ้นเยวี่ย แต่เยี่ยเทียนก็เคยปลิดชีวิตคนมาแล้วราวๆ ร้อยคนเหมือนกัน ปราณพิฆาตที่ก่อตัวขึ้นจากคนตายเหล่านั้นถูกเยี่ยเทียนสลายไปหมดแล้ว แต่พลังจิตสังหารนั้นเยี่ยเทียนกลับรักษาไว้คงเดิม
รัศมีพลังจางๆ แผ่ซ่านจากร่างของทั้งสอง อากาศโดยรอบราวกับแข็งตัวไปหมด แสงอาทิตย์จากบนฟ้าสาดส่องลงมาแล้วเหมือนจะเกิดการหักเหบิดเบี้ยว ทำให้ฝูงชนที่ล้อมดูอยู่ต่างมีความรู้สึกพิลึกๆ บางอย่างอยู่ในใจ
“ดี ได้สู้กับท่านเยี่ยหนึ่งครั้ง ผู้แซ่เหลยช่างมีวาสนานัก!”
ชีวิตนี้เหลยเจิ้นเยวี่ยผ่านศึกมานับร้อยพัน แต่หลังจากล่วงสู่วัยชรา ก็มีน้อยครั้งเหลือเกินที่จะได้ต่อสู้ ต่อให้มีคนมาขอท้าสู้ ก็จะทนต้านทานพลังจิตสังหารอันหนักหน่วงดั่งภูเขาศพทะเลเลือดจากร่างของเหลยเจิ้นเยวี่ยไม่ไหว และพ่ายแพ้ไปก่อนเสมอ
แต่เมื่อเหลยเจิ้นเยวี่ยคิดจะใช้ไม้นี้อีกครั้ง กลับพบว่าเยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้าเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนก็ไม่ปาน พลังจิตสังหารบนร่างของเขารุนแรงอย่างชนิดที่ไม่ได้เป็นรองเขาเลยแม้แต่น้อย ทำให้เหลยเจิ้นเยวี่ยตกตะลึงอย่างยิ่ง และก็รู้สึกยินดีเล็กน้อยด้วยเช่นกัน
ได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่ฝีมือสมน้ำสมเนื้อกันแล้ว เหลยเจิ้นเยวี่ยกำลังรู้สึกแบบนั้น ยามนี้เขาลืมความแค้นส่วนตัวระหว่างตนกับเยี่ยเทียนไปแล้ว คิดแต่จะลงมือต่อสู้อย่างเดียว
“ผมมีอาวุโสสูงกว่าท่าน ให้ท่านมือก่อนก็แล้วกันนะ!”
เยี่ยเทียนยิ้มน้อยๆ แล้วเก็บพลังจิตสังหารนั้นกลับไป แม้ว่าพลังของเหลยเจิ้นเยวี่ยจะพวยพุ่งออกมา แต่แรงกดดันที่เกิดจากพลังแบบนี้ กลับไม่อาจสร้างผลกระทบใดๆ ต่อเยี่ยเทียนได้เลย
“ได้ ท่านเยี่ยโปรดชี้แนะ!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยสองมือประสานกัน คารวะต่อเยี่ยเทียน เยี่ยเทียนสามารถปล่อยและเก็บพลังได้อย่างอิสระ ทำให้เหลยเจิ้นเยวี่ยรู้สึกน้อยหน้า ความจองหองที่อยู่ในใจก็ลดลงไป
“เชิญ!” เยี่ยเทียนพยักหน้า เท้าซ้ายถอยหลัง มือขวากางออกไปข้างหน้า เตรียมพร้อมอยู่ในท่าตั้งรับ
“ขอล่วงเกิน!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยตวาดออกไปหนึ่งคำ เส้นผมหนวดเคราชี้ชัน เท้าซ้ายแตะลงไปบนพื้นอย่างฉับพลัน ร่างอันใหญ่โตนั้นดูราวกับลิงค่าง เดินก้าวสั้นๆ ไปข้างหน้าสามก้าวอย่างปราดเปรียวเหนือธรรมดา
ระยะห่างสิบกว่าเมตร ภายในสามก้าวนั้นก็สั้นลงจนมาอยู่ตรงหน้าแล้ว เหลยเจิ้นเยวี่ยยกฝ่ามือข้างขวาขึ้นสูง แล้วฟาดลงไปที่ใบหน้าของเยี่ยเทียนอย่างหนักหน่วง
“มวยทงเป้ย? ฝ่ามือสับงัด?”
เยี่ยเทียนเห็นแขนทั้งสองข้างของเหลยเจิ้นเยวี่ยยาวอย่างยิ่ง เมื่อทิ้งแขนตรงแล้วเกือบจะถึงหัวเข่า จึงรู้ว่าเขาน่าจะฝึกมวยทงเป้ย
เพียงแต่ว่าที่เหลยเจิ้นเยวี่ยใช้ไปเมื่อครู่เป็นท่าก้าวของมวยทงเป้ย แต่ฝ่ามือที่ใช้ในระยะใกล้นี้กลับเป็นท่าหนึ่งในวิชามวยสับงัด ทำให้เยี่ยเทียนอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
มวยทงเป้ย (มวยที่เคลื่อนพลังผ่านหลัง) เป็นหนึ่งในวิชาหมัดมวยของจีน เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า มวยทงปี้ (มวยที่เคลื่อนพลังผ่านแขน) เน้นท่าร่างที่ใช้หลังแบบลิงหรือแขนแบบลิง จึงเรียกได้อีกอย่างว่า ‘มวยทงเป้ยวานร’ หรือ ‘มวยทงเป้ยชะนีขาว’
นอกจากนี้มวยสับงัดยังเป็นหนึ่งในแบบฉบับวิชามวยดั้งเดิมประเภทจู่โจมระยะไกลอีกด้วย วิชานี้สามารถแสดงให้เห็นทฤษฎีการจู่โจมในศิลปะการต่อสู้ของจีนที่กล่าวว่า ‘ยาวหนึ่งชุ่น ได้เปรียบหนึ่งชุ่น’ ได้อย่างชัดเจน
ในหนึ่งฝ่ามือที่ผ่าสับออกไปนั้น ด้านการควบคุมระยะโจมตีนั้นเน้นว่า ระยะไกลให้จู่โจมห่างๆ ระยะใกล้ให้สะบัดฟาด เก็บก็ได้ปล่อยก็ได้ ยาวก็ได้สั้นก็ได้ ในด้านอานุภาพนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชามวยแปดทิศเลย
มวยทงเป้ยและมวยสับงัดต่างให้ความสำคัญกับการนำไปใช้จริง ไม่เน้นการเรียงลำดับชุดกระบวนท่า แต่เน้นไปที่วิธีการใช้แต่ละท่า
อย่างเช่นเหลยเจิ้นเยวี่ยก็ใช้ท่าก้าวเดินแบบมวยทงเป้ย แต่ลักษณะการโจมตีกลับเปลี่ยนเป็นฝ่ามือสับงัด แสดงให้เห็นว่าเขามีประสบการณ์การเผชิญศัตรูมาอย่างโชกโชน สามารถเลือกใช้ชุดท่าโจมตีที่มีอานุภาพสูงสุดได้โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาหยุดคิดเลย
ท่าก้าวของมวยทงเป้ยนั้นปราดเปรียว ส่วนท่าฝ่ามือของมวยสับงัดนั้นก็เฉียบคม
เมื่อเหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นผู้ใช้ วิชาหมัดมวยทั้งสองประเภทนี้ก็ถูกผสานเข้าด้วยกันดั่งเสื้อสวรรค์ไร้ตะเข็บ ฝ่ามือใหญ่เหมือนใบลานข้างนั้นปกคลุมรอบร่างของเยี่ยเทียนไว้หมดแล้ว ทำให้เยี่ยเทียนจะถอยก็ถอยไม่ได้ เหลือเพียงทางเดียวคือตั้งรับซึ่งๆ หน้า
“เยี่ยมมาก!”
เมื่อรู้สึกได้ถึงกระแสลมแรงดั่งคมมีดพัดมาต้องใบหน้า เยี่ยเทียนก็หายใจเข้าลึกๆ เท้าซ้ายย่ำลงไปบนพื้นอย่างหนักหน่วง ฝ่ามือขวาพลิกหงาย แล้วผลักขึ้นสู่ด้านบนราวกับใช้มือค้ำฟ้าประคองเจดีย์
ในฐานะที่เป็นคนในวงการศาสตร์ลี้ลับ จึงมีอยู่น้อยครั้งที่เยี่ยเทียนจะปะทะกับผู้อื่นโดยตรงอย่างแข็งกร้าวเช่นนี้ แต่ยามนี้เขาถูกเหลยเจิ้นเยวี่ยยั่วยุจนรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา จึงใช้กระบวนท่า ‘ฌ้อปาอ๋องยกกระถางธูป’ นี้ออกไปโดยไม่หลบเลี่ยงแม้แต่ก้าวเดียว
หากกล่าวถึงด้านอานุภาพ ในบรรดาหมัดมวยชนิดต่างๆ ถือว่ามวยแปดทิศและมวยสับงัดรวดเร็วรุนแรงที่สุด แต่หากจะกล่าวถึงด้านพละกำลังละก็ มวยปาอ๋องที่ฌ้อปาอ๋องหรือพระนามเดิมคือเซี่ยงอวี่เป็นผู้คิดค้นขึ้นนั้นกลับเป็นอันดับหนึ่ง
หมัดหมวยชนิดนี้กร้าวแกร่งดุดัน น่าเกรงขามเหนือใดเปรียบ
ครั้งนั้นฌ้อปาอ๋องถูกล้อมที่ไก่เซี่ย ขณะที่กำลังต่อสู้ห้ำหั่นอยู่อาวุธยาวก็หักสะบั้นไป ข้าศึกนายหนึ่งกำลังหมายจะจับเป็นท่าน แต่ใครเลยจะคาดคิดว่า ฌ้อปาอ๋องกลับใช้ ‘มวยปาอ๋อง’ พลิกมือปล่อยหมัดใส่ฝ่ายนั้นจนกระโหลกศีรษะแตกละเอียด และบุกสังหารเข้าไปท่ามกลางกองทัพนับหมื่นจนโลหิตสาดเป็นทาง แล้วจึงฝ่าออกจากวงล้อมได้ แสดงให้เห็นอานุภาพของมวยปาอ๋องได้อย่างชัดเจน
หมัดมวยชนิดนี้หลี่ซั่นหยวนไม่ได้เป็นผู้สอนให้เยี่ยเทียน แต่เป็นโก่วซินเจียเป็นผู้ถ่ายทอด สมัยหนุ่มเขาได้รู้จักกับค่ายสำนักต่างๆ ในยุทธภพมากมาย และเห็นว่าหมัดมวยสายนี้มีความกร้าวแกร่ง สามารถเสริมจุดบกพร่องด้านวิชาโจมตีของสำนักเสื้อป่านได้ จึงไปเรียนวิชานี้มา
เมื่อเยี่ยเทียนผลักยันฝ่ามือขึ้นไป ฝ่าเท้าก็ยึดแน่นกับพื้น ทั้งร่างหนักอึ้งขึ้นมาสุดเปรียบปานราวกับขุนเขา ตอบโต้ฝ่ามือสับงัดของเหลยเจิ้นเยวี่ยที่โจมตีมาจากเบื้องบน
“ตึง!”
แรงที่ระเบิดออกมาจากการปะทะของทั้งสองฝ่าย ทำให้เกิดเสียงหนักๆ ขึ้นมาในอากาศรอบกายของทั้งสอง สะเทือนจนเกิดเสียงดังอื้ออึงขึ้นในแก้วหูของฝูงชนที่ล้อมดูอยู่
เมื่อเสียงหนักๆ นั้นดังขึ้น ร่างของเยี่ยเทียนก็ดูเหมือนจะเตี้ยลงไปเล็กน้อย แต่ฝ่ามือสับงัดของเหลยเจิ้นเยวี่ยนั้น กลับถูกเยี่ยเทียนผลักกระเด็นขึ้นไปสูงลิ่ว พาให้ร่างของเหลยเจิ้นเยวี่ยถอยหลังไปสามก้าวติดๆ กัน
ยามนี้ฝูงชนเพิ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่า พลังลมปราณที่ปะทุออกมาจากการโจมตีเมื่อครู่นั้น ทำให้แขนเสื้อข้างขวาของเยี่ยเทียนและเหลยเจิ้นเยวี่ยต่างขาดกระจายปลิวว่อนเหมือนผีเสื้อ คนที่ตาดีหน่อยก็จะเห็นว่า ที่ปลายแขนของทั้งสองต่างก็บวมแดงไปหมด
เยี่ยเทียนผ่อนลมปราณที่ปนเปื้อนออกมาทางปาก แล้วพูดขึ้นช้าๆ “วรยุทธเยี่ยม มวยสับงัดเยี่ยม!”
กล่าวตามตรง ในการต้านรับโดยตรงเมื่อครู่นี้ เยี่ยเทียนเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปเล็กน้อย แม้ว่าพลังลมปราณของเขาจะแข็งแกร่งกว่าเหลยเจิ้นเยวี่ย แต่อีกฝ่ายเคี่ยวกรำร่างกายมาทั้งชีวิต จึงฝึกแขนทั้งสองข้างจนแกร่งดั่งเหล็กกล้ามานานแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะตอนสุดท้ายเยี่ยเทียนใช้พลังสับเปลี่ยนช่วยถ่ายแรงอันมหาศาลนั้นลงไปที่พื้นละก็ เขาคงได้แสดงความน่าอับอายออกมาในระหว่างการปะทะนั้นไปแล้ว
………………………………………………………