หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 613 เรือสำราญควีนอลิซาเบธ
เยี่ยเทียนพยักหน้า ในใจกลับเบาใจลง มีสำนวนที่ว่าชะตาฟ้าลิขิต เรื่องบางเรื่องหมอดูสามารถทำนายอนาคตได้ แต่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ได้
อย่างเช่น “ภาพดันหลัง” ถูกสืบทอดมาเป็นพันปี ในระหว่างพันปีนี้ยังไม่มีใครสามารถไขความลับของมันได้ ทั้งยังเป็นที่สนใจของเหล่าบรรพกษัตริย์อีกหลายพระองค์
แต่ประวัติศาสตร์อันยาวนานจนมาถึงวันนี้ สิ่งที่ต้องการพิสูจน์ก็ได้พิสูจน์หมดแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ล่วงรู้ชะตาฟ้าอย่างเยี่ยเทียนที่ถึงรู้แต่ทำอะไรไม่ได้
รูปลักษณ์ของเหลยหู่เป็นลักษณะอัปมงคล อายุไม่ยืนยาว ภายในสามปีห้าปีนี้จะต้องพบจุดจบแน่นอน เยี่ยเทียนพิจารณดูใบหน้าของเขาแล้ว เอ่ยเตือนผ่านเหลยเจิ้นเยวี่ย ถือว่าได้ทำในสิ่งที่ตนควรทำแล้ว
พอเช็ดน้ำจากมือจนแห้งแล้วถือว่าพิธีล้างมือในอ่างทองคำเป็นอันเสร็จสิ้น ตั้งแต่นี้ไป เหลยเจิ้นเยวี่ยจะออกจากยุทธภพ ไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องความแค้นในอดีตอีก
“ลุงเหลย ยินดีด้วย!”
“ผู้อาวุโสเหลย ยินดีด้วยครับ!”
“น้องสาม ต่อไปดูแลตัวเองด้วย!”
คนรอบข้างต่างเดินเข้าไปแสดงความยินดี ศิษย์ในสมาคมหงเหมินคนอื่นๆได้เห็นผู้ใหญ่แห่งยุคคนหนึ่งอยู่จนลงจากตำแหน่ง พวกเขาต่างรู้สึกสะท้อนใจ โบราณว่าไว้ คนในยุทธภพต่างไม่มีอิสระ ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าอนาคตของตนจะมีจุดจบอย่างไร
เยี่ยเทียนกับซ่งเวยหลันแอบหลบออกมาจากกลุ่มคน ให้คนไปบอกลาตู้เฟยกับเหลยเจิ้นเยวี่ยแทน แล้วออกมาจากสถานที่แห่งนั้น
“แม่ จะพาผมไปไหนหรือครับ?”
เยี่ยเทียนขึ้นนั่งบนรถ แอนนาไม่ได้บอกอะไรก็ออกรถเลย เยี่ยเทียนจึงถามด้วยความแปลกใจ
“ลูกไม่อยากไปนิวยอร์ค แม่เลยหาที่อยู่ให้ลูก”
ซ่งเวยหลันยิ้มแล้วโยนกุญแจพวงหนึ่งให้เยี่ยเทียน บอกต่อว่า “เมื่อก่อนแม่ได้ซื้อบ้านไว้หลังหนึ่งแถวนี้ เวลามาที่ซานฟรานซิสโกแม่จะไปพักที่นั่น ปกติจะมีคนคอยดูแลทำความสะอาดไว้ ลูกเข้าไปอยู่ได้เลย”
ก่อนเกิดเรื่อง ซ่งเวยหลันกับสมาคมหงเหมินมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ทุกปีเธอจะต้องมาซานฟราซิสโกอย่างน้อยปีละห้าหกครั้ง ดังนั้นจึงได้ซื้อบ้านเอาไว้
“ดีเลยครับ ผมกำลังอยากย้ายออกอยู่พอดี”
เยี่ยเทียนพยักหน้า เขาเข้าร่วมพิธีในตำหนักสุคนธ์ด้วยเพราะต้องทำอย่างเสียไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกดีกับสมาคมหงเหมินเลย ยิ่งได้พักอยู่กับตู้เฟยยิ่งรู้สึกไม่อิสระ
บ้านวิลล่าของซ่งเวยหลันอยู่ใกล้กับบ้านของเหลยเจิ้นเยวี่ยมาก ขับรถไม่ถึงห้านาทีก็ถึงแล้ว
บ้านวิลล่าเป็นตึกสองชั้น พื้นที่แม้ไม่ใหญ่มาก แต่ร่มรื่นเขียวชอุ่ม รอบบ้านมีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นล้อมไว้ ยังมีเครือไม้เถาวัลย์พันเกี่ยวสูงขึ้นไปตามตัวตึก ให้ความรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวา
“สภาพแวดล้อมมีผลกับพลังงานจริงๆ!”
เมื่อมาถึง เยี่ยเทียนพูดลอยๆออกมา ในบรยากาศของบ้านอบอวลไปด้วยพลังธรรมชาติอันอุดม ดีกว่าอากาศอับทึบในปักกิ่งเสียอีก ที่นี่มีพลังงานดีสะสมอยู่มากเทียบเท่ากับพลังงานบนภูเขาสูงที่หาได้ยากด้วย
เย็นวันนั้นซ่งเวยหลันร่วมรับประทานอาหารกับเยี่ยเทียนแล้วก็กลับไปนิวยอร์คอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
ช่วงนี้ซ่งเวยหลันทำหน้าที่เหมือนเป็นน้ำทิพย์ที่คอยดับไฟ ไม่ว่าจะเป็นการปลอบโลมพนักงานเก่าแก่ ทั้งยังต้องติดต่อกับส่วนราชการในอเมริกาเพื่อรีบดำเนินการนำเงินก้อนนั้นกลับมาให้เร็วที่สุด
เมื่อส่งมารดาออกไปแล้ว เยี่ยเทียนโทรศัพท์กลับไปที่บ้าน พรรณนาถึงความคิดถึงต่ออวี๋ชิงหย่าจบถึงวางสาย แล้วกดไล่หาเบอร์โทรศัพท์ไปอีกเบอร์หนึ่ง
“ฮัลโหล ผมเยี่ยเทียนนะ!”
เบอร์โทรนี้เป็นเบอร์ปักกิ่งเหมือนกับของเยี่ยเทียน ซึ่งได้เปิดเป็นเบอร์สากลที่ใช้ได้ทั่วโลก ในปี 2000 คนที่จะเปิดเบอร์โทรศัพท์ประเภทนี้ได้มีไม่มาก
“เยี่ยเทียน ในที่สุดนายก็โทรมาเสียที? ฉันนึกว่านายจะไม่ไปงานมวยใต้ดินระดับโลกเสียแล้ว”
น้ำเสียงของจู้เหวยเฟิงทั้งร้อนรนและดีอกดีใจ “นายยังอยู่ที่ไชน่าทาวน์ ซานฟรานซิสโกใช่ไหม? ฉันจะไปรับนายเอง”
“หืม? ประธานจู้ ทำไมถึงรู้ว่าผมอยู่ที่ไชน่าทาวน์ล่ะ?” เยี่ยเทียนงุนงง เก็บความไม่พอใจไว้ คนอย่างเขาไม่ชอบการถูกสอดแนมเป็นที่สุด
“อะแฮ่ม นายอย่าเข้าใจผิดนะ ฉันไม่ได้ไปเฝ้าติดตามนายสักหน่อย!”
จู้เหวยเฟิงรีบบ่ายเบี่ยงอธิบายว่า “นายเข้าร่วมประชุมในตำหนักสุคนธ์น่ะ เรื่องนี้คนเชื้อสายจีนเขาลือกันทั้งเมือง ฉันไม่อยากจะรู้แต่ก็ต้องรู้นะสิ”
สมาคมหงเหมินมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับคนระดับสูงของประเทศจีน แล้วยังถูกให้ความสำคัญมาเป็นอันดับต้น แค่มีเรื่องหรือเหตุกาณ์อะไรเกิดขึ้น ก็จะมีข่าวลือแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว
คนอย่างจู้เหวยเฟิงมีภูมิหลังลึกซึ้ง ข่าวคราวพวกนี้แน่นอนว่ารวดเร็วอยู่แล้ว เรื่องที่เยี่ยเทียนกำราบเหลยเจิ้นเยวี่ยในตำหนักสุคนธ์นั้น เขารู้หลังคนอื่นบางคนแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
แต่จู้เหวยเฟิงก็ไม่กล้าสั่งให้คนติดตามเยี่ยเทียนจริงๆ ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนเร่วมพิธีล้างมือในอ่างทองของเหลยเจิ้นเยวี่ยแล้วจะไม่กลับไปที่สมาคมหงเหมินอีก
“คุณอยู่ที่ซานฟรานซิสโกใช่ไหม? ผมไม่ได้อยู่แถวไชน่าทาวน์ คุณมาที่แถวชานเมือง….”
จากคำพูดของจู้เหวยเฟิงคล้ายกับว่าอยู่ไม่ห่างจากไชน่าทาวน์เท่าไหร่ เยี่ยเทียนคิดเล็กน้อยแล้วบอกที่อยู่ของตนแก่เขา
“ได้ อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงฉันจะไปถึง!” จู้เหวยเฟิงจดที่อยู่ แล้ววางสายทันที
ยี่สิบนาทีต่อมา เยี่ยเทียนได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถดังมาจากด้านนอกบ้านวิลล่า จู้เหวยเฟิงเดินนำชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำอีกสองคนลงจากรถ
“เยี่ยเทียน นายทำเอาฉันรอแทบไม่ไหวแล้ว!”
จู้เหวยเฟิงโอบกอดเยี่ยเทียนเข้าทีนึงอย่างสนิทชิดเชื้อ เงยหน้ามองดูบ้านวิลล่าของเยี่ยเทียนแล้วถึงกับตาลุกวาว “เยี่ยเทียน นายใช้ชีวิตสุขสบายดีจริง บ้านวิลล่าหลังนี้ทั้งร่มรื่นและทันสมัยแบบนี้ ในอเมริกากำลังเป็นที่นิยมเลย!”
จู้เหวยเฟิงเดินทางมาต่างประเทศบ่อย เขารู้ว่าบ้านวิลล่าแบบนี้ไม่ค่อยเข้าตาเขา แต่ราคาของมันสูงลิบลิ่ว ทั้งยังมีเจ้าของโครงการที่คอยมาดูแลสวนหลังบ้านให้อยู่เสมอ คนธรรมดาในอเมริกาสู้ราคาไม่ไหวหรอก
“ของแม่ผมน่ะ ไม่เกี่ยวกับผม เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ!”
เยี่ยเทียนกวาดตามองดูคนที่เดินตามหลังจู้เหวยเฟิงแล้ว เอ่ยขึ้นว่า “สองท่านนี้เราเคยพบกันมาก่อน เข้ามาด้วยกันเถอะ”
ความจำของเยี่ยเทียนดีมาก ทั้งสองคนนี้เยี่ยเทียนเคยพบที่เวทีมวยใต้ดินในปักกิ่ง ซึ่งพวกเขาเป็นคนคุ้มกันของจู้เหวยเฟิงชนิดไม่ห่างกาย เยี่ยเทียนมองแวบเดียวก็รู้ได้ทันที
“ท่านเยี่ย สวัสดีครับ!” คนทั้งสองไม่กล้าทำตัวสนิทสนมเหมือนจู้เหวยเฟิง จึงได้แต่ทำมือคารวะเยี่ยเทียน
“หืม เป็นคนของสมาคมหงเหมินหรือ?” เยี่ยเทียนอึ้งไปครู่หนึ่ง เพราะมีแค่สมาชิกของสมาคมหงเหมินเท่านั้นที่จะเรียกเขาแบบนี้
“พวกเขาเคยอยู่ในแผนกพิเศษหนึ่งของอเมริกา เป็นคนของสมาคมหงเหมินจริงนั่นแหละ ตอนหลังถึงค่อยมาติตตามผม”
จู้เหวยเฟิงยิ้มอธิบายให้เยี่ยเทียนฟังอย่างกระจ่าง คนที่ร่ำรวยมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษอย่างเขา ตอนนี้เป็นทายาทรุ่นที่สามแล้ว จึงมีเครือข่ายครอบครัวไปตามต่างประเทศ
“อืม เข้ามานั่งข้างในก่อน!” เยี่ยเทียนพยักหน้า หมุนตัวกลับเข้าไปในห้องรับแขก พูดต่อว่า “ในห้องครัวมีกาแฟ ถ้าอยากดื่มชาก็ชงเองตามสบาย…”
“ไม่กล้ารบกวนท่านเยี่ยหรอกครับ!”
ชายวัยกลางคนทั้งสองกุลีกุจอเข้าไปหาใบชาและชุดชงชาในห้องครัว เพื่อจัดการชงชาให้ทั้งเยี่ยเทียนและจู้เหวยเฟิง ทั้งสองคนนี้หากแม้ไม่ได้ติดตามจู้เหวยเฟิงเข้ามา ด้วยฐานะสมาชิกสมาคมหงเหมินแบบเขาไม่มีทางได้ใกล้ชิดเยี่ยเทียนแบบนี้แน่นอน
เมื่อนั่งลงแล้ว เยี่ยเทียนมองดูจู้เหวยเฟิง ถามต่อว่า “ประธานจู้ คุณบอกว่าการประชุมมวยใต้ดินนั่น น่าจะจัดขึ้นในอีกสามสี่วัน? ผมไม่ได้พลาดไปใช่ไหม?”
“นายไม่ได้พลาดไปหรอก แต่สถานที่จัดงานเปลี่ยนไป ไม่ได้จัดที่ซานฟรานซิสโกแล้ว”
จู้เหวยเฟิงส่ายหัว ยื่นมือออกไปรับแก้วชากระดาษที่บอบบางนำมาลิ้มรส แล้วเอ่ยปากชม “ชารสชาติดี เป็นชาทิกวนอิมแท้ๆ ชาแบบนี้ผมเพิ่งเคยดื่มเป็นครั้งที่สอง”
“เอาล่ะ อย่ามัวแต่ลีลาอยู่เลย การประชุมมวยใต้ดินนั่นจัดขึ้นที่ไหนกันแน่? ถ้าคุณไม่บอก ผมก็ไม่ไปแล้ว!”
เยี่ยเทียนเหลือบมองจู้เหวยเฟิงอย่างไม่สบอารมณ์ ตอนนั้นเขาขโมยชาต้าหงเผามาจากอาจารย์ ชาชนิดนั้นต่างหากถึงจะเรียกว่าชาดี ชาทิกวนอิมนี้ถือว่าเป็นชาพื้นๆทั่วไป
“จัดที่นอกชายฝั่ง ถ้าฉันไม่ต้องรอนายฉันคงจะนั่งเรือออกไปแล้ว!”
จู้เหวยเฟิงถูกเยี่ยเทียนตวัดสายตาใส่แล้วก็ไม่กล้าอ้อมค้อมอีก ถ้าไม่มีเยี่ยเทียนไปด้วย เขาคงไม่ค่อยมีความมั่นใจนัก ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ไปร่วมงานเลยก็เป็นได้
“นอกชายฝั่ง? ทำไมต้องเป็นนอกชายฝั่งด้วย?”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว เอ่ยต่อว่า “กลางมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง ถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้น อยากจะหนีคงหนียาก สถานที่จัดงานแบบนี้ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่?”
เวลาเยี่ยเทียนจะทำอะไร ไม่ชอบให้เกิดเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุม
อย่างเช่นที่เขาต้องนั่งเครื่องบินหรือนั่งเรือพวกนี้ เขาต่างไม่ชอบทั้งนั้น เพราะว่าหากเกิดอันตรายไม่ว่าจากคนหรือจากธรรมชาติ ต่อให้เขามีความสามารถล้นเหลือแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้
จู้เหวยเฟิงรู้ว่าเยี่ยเทียนคิดอะไร หัวเราะตอบกลับว่า “เยี่ยเทียน ความปลอดภัยน่ะรับประกันอยู่แล้ว เรือสำราญเที่ยวนี้คือเรือสำราญควีนอลิซาเบธ ไม่มีใครกล้าลงมือทำอะไรบนเรือลำนี้หรอก!”
“เรือสำราญควีนอลิซาเบธ?”
เยี่ยเทียนถลึงตาทีหนึ่ง “คุณจะบอกว่าประเทศอังกฤษเป็นผู้สร้างเรือลำนี้น่ะหรือ หรือว่าเป็นเรือสำราญส่วนตัวของราชินีแห่งประเทศอังกฤษกันแน่?”
การใช้ชื่อเรือสำราญว่าควีนอลิซเบธได้มีอยู่สองกรณีนี้เท่านั้น
เรือส่วนตัวของราชินีนั้นมีชื่อว่า “เรือที่ไม่มีวันวันจม” อีกอย่างประเทศอังกฤษกำลังมีการคิดค้นพัฒนาเรือเหาะ แต่ต้องรอจนปี 2014 จึงจะได้ลงมือสร้าง
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง…”
จู้เหวยเฟิงยิ้มอย่างได้ใจ ตอบว่า “เรือลำนี้สร้างในปี1921 ตอนนั้นเคยไปเทียบท่าที่เซี่ยงไฮ้ มันมีความเกี่ยวพันกับประเทศอังกฤษหรือไม่นั้นผมไม่รู้ แต่ที่ใช้ชื่อนี้เพราะเบื้องหลังมีผู้อำนาจหนุนอยู่
จู้เหวยเฟิงไม่ได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรือสำราญควีนอลิซาเบธลำนี้มากนัก แต่เขากลับรู้ว่า เรือสำราญลำนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังพอตัว มีความเกี่ยวข้องกับเหล่าเจ้าของธุรกิจสินค้ารายใหญ่จากหลายประเทศอย่างแน่ชัด
ครึ่งศตรวรรษหลังมานี้ เป็นเรือสำราญที่พาเหล่าเศรษฐีออกท่องเที่ยวรอบโลก
พอมาถึงช่วงปี 80 มีกลุ่มอิทธิพลทางการเงินใหญ่เข้าแทรกแซงภายใน ทำให้เรือสำราญควีนอลิซาเบธกลายเป็นเรือที่ใช้จัดการประชุมมวยใต้ดินระดับโลก และกลายเป็นสวรรค์ของบรรดาผู้คลั่งไคล้มวยใต้ดิน
แน่นอนว่าคนที่มีสิทธิ์เข้าร่วมการประชุมมวยใต้ดินบนเรือสำราญควีนอลิซาเบธนี้จะต้องเป็นระดับยอดฝีมือแห่งวงการทั้งนั้น
……………………………………………………….