หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 618 เจ้าแห่งสังเวียน
“คุณระวังตัวเอาไว้เถอะ ชนะแล้วอะไรก็ดีหมด แต่ถ้าแพ้แล้วจะไม่เหลือแม้แต่อาชีพ!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ถ้าไม่เห็นว่าเป็นคนเชื้อสายจีนอีกทั้งยังเป็นสมาชิกในสมาคมหงเหมินเหมือนกัน เขาคงขี้เกียจเตือน นานแล้วที่เยี่ยเทียนไม่ได้ผูกดวงทำนายให้ใคร
“คุณต่ง คุณเซ็นชื่อได้แล้ว คุณเป็นอะไร ไม่กล้าแล้วหรือ?”
เยี่ยเทียนกำลังกระซิบเตือนต่งเซิงไห่อยู่ฝั่งหนึ่ง อีกทั้งฝั่งรูดอล์ฟก็คว้าเอาใบสัญญามาลงชื่อของตัวเอง เหลือบหางตามองต่งเซิงไห่
“ท่านเยี่ย คนเราต้องต่อสู้เพื่ออยู่รอด!” ต่งเซิงไห่ตอบอย่างหนักแน่นว่า “ผมจะไม่ยอมให้คนต่างชาติมาดูถูกคนจีนอย่างเราเป็นอันขาด?”
ความจริงแล้วต่งเซิงไห่ไม่ได้รักชาติเข้าสายเลือดขนาดนั้น เพียงแต่เดิมพันที่รูดอล์ฟเสนอทำให้เขาไม่กล้าปฏิเสธต่างหาก
ถ้าค่ายมวยใต้ดินในมาเลเซียกับอินโดนีเซียตกอยู่ในมือของต่งเซิงไห่ทั้งคู่ เขาจะได้เป็นเจ้าของค่ายมวยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
ยังมีหุ้นของโรงแรมลาสเวกัสอีกหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ถึงตอนนั้นฐานอำนาจในสมาคมหงเหมินของเขาจะสูงขึ้นมีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น เขาไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธชิ้นเนื้อก้อนใหญ่ที่กำลังส่งเข้ามาในปาก
ส่วนคำเตือนของเยี่ยเทียนนั้น ไม่ได้ต้องการสิ่งอื่นนอกจากความช่วยเหลือจากเยี่ยเทียนในยามคับขัน อย่างน้อยเยี่ยเทียนสู้ชนะเหลยเจิ้นเยวี่ยได้แสดงว่าฝีมือการต่อสู้ต้องเหนือกว่าอันเดรวิชแน่นอน
เยี่ยเทียนเป็นคนระดับไหน เมื่อได้ฟังคำตอบของต่งเซิงไห่ก็ทราบได้ทันทีว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงไม่ได้ออกความเห็นอีก ได้แต่โบกมือพูดว่า “เอาเถอะ แล้วแต่คุณแล้วกัน เดี๋ยวให้อันเดรวิชระวังตัวไว้หน่อย”
“ท่านเยี่ย คุณวางใจได้ นอกจากการแข่งขันในจีนครั้งนั้น อันเดรวิชก็ไม่เคยแพ้อีกเลยมายี่สิบแปดครั้งแล้ว คนของรูดอล์ฟไม่มีทางชนะได้หรอก!”
เห็นเยี่ยเทียนไม่ตอบรับเห็นด้วยกับตน ต่งเซิงไห่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ยังมีอันเดรวิชอยู่ทั้งคน เขายังมั่นใจในชัยชนะอย่างเต็มเปี่ยม
ในค่ายมวยใต้ดินนั้น ความพ่ายแพ้ย่อมหมายถึงความตาย นักมวยบางคนไม่เคยแพ้ในการต่อสู้มาเป็นร้อยครั้ง แต่เมื่อแพ้แค่ครั้งเดียว ก็จะมลายหายจากวงการตลอดไป
เมื่อสมัยก่อน ผู้ที่เป็นเจ้าครองค่ายมวยใต้ดินให้เป็นหนึ่งนั้นไม่ใช่คนยุโรป แต่เป็นคนจีนต่างหาก คนๆนั้นสร้างตำนานอันเลื่องลือในวงการมวยปล้ำ
เขาคนนั้นมีชื่อว่า ลินวิลล์ จาง เกิดในปี 1907 มีบันทึกไว้ว่าเขาได้ชนะการแข่งขันทั้งหมด 476 ครั้ง ในจำนวนนั้นมี 241 ครั้งที่เขาได้สังหารฝ่ายตรงข้ามทิ้ง
จางเกิดที่ประเทศจีน ส่วนสูง 182 เซนติเมตร น้ำหนัก 86 กิโลกรัม ยกลูกเหล็กท่านอนได้ 110 กิโลกรัม ยกน้ำหนักได้ 550 กิโลกรัม มีเทคนิคแพรวพราว แต่ไม่เผยแพร่ให้ใครรู้ การโจมตีด้วยท่อนขามีกำลังมาก
ในปี 1946 จางได้ออกจากวงการมวยใต้ดินโดยที่ไม่เคยพ่ายแพ้ ทำให้เกิดเป็นตำนานเรื่องเล่าสืบต่อกันมา
แต่ลินวิลล์ จางเสียชีวิตในปี 1971 ด้วยอายุเพียงหกสิบกว่าปีเท่านั้น คาดว่าน่าจะเกี่ยวกับชีวิตในวงการการต่อสู่มวยปล้ำของเขา
ยังมีแฟรงก์ เฉินที่เกิดในไต้หวัน เขาชอบให้คนอื่นเรียกว่าถังหลง(มังกรถัง) แต่คนที่เกรงกลัวเขาจะเรียกเขาว่าปลาฉลามมากกว่า
สมันนั้นไม่มีคำใดมาเปรียบเทียบความโหดเหี้ยมของเขาได้เลย ในยุคที่เขาขึ้นครองโลกแห่งมวยปล้ำ ถือเป็นยุคมืดที่สุดในประวัติศาสตร์มวยใต้ดิน
การผงาดขึ้นมาของแฟรงก์ เฉิน ถือว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในศตรวรรษที่ยี่สิบ ชัยชนะที่เขาได้รับมาทั้งหมดนั้น ใช้เวลาในการลงแข่งไม่ถึงสี่นาที แม้แต่นักมวยคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเมื่อมาเจอกับเฉินยังถึงกับอ่อนปวกเปียก
ถังหลงต่อสู้มาทั้งหมด 97 ครั้ง ชนะ 96 ครั้ง แพ้เพียงครั้งเดียว มี 95 ครั้งในนั้นที่เขาสังหารคู่ต่อสู้จนตาย ในบรรดานักมวยในยุคเดียวกัน เฉินมีฝันร้ายอยู่ครั้งหนึ่งคือการที่มีคู่ต่อสู้คนหนึ่งที่พ่ายแพ้ให้แก่เขาแต่มีชีวิตรอดลงจากเวทีไป
ในตำนานเล่าว่าถังหลงเคยสู้กับหลี่เสี่ยวหลง ทั้งสองประลองฝีมือกันแค่ห้าวินาที ถังหลงถูกหลี่เสี่ยวหลงซัดด้วยแรงขนาด 1600 ปอนด์จนกระเด็นออกไปนอกเวที ส่วนจะจริงหรือเท็จมีแต่คนทั้งสองเท่านั้นที่รู้
หลี่เสี่ยวหลงเคยแสดงภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงเรื่องหนึ่งชื่อ “พี่ใหญ่แห่งถังซาน” ในนั้นพระเอกชื่อถังหลงเหมือนกัน นี่เป็นการแสดงความเคารพยกย่องที่หลี่เสี่ยวหลงมีให้เป็นเกียรติแก่ถังหลงแห่งวงการมวยปล้ำ
แต่เมื่อการต่อสู้ครั้งที่ 97ของถังหลงนั้น เมื่อเขาเดินขึ้นไปบนเวทีแล้วก็ไม่ได้ลงมาอีกเลย คู่ต่อสู้ของเขาคือคริสตี้ พอลลีผู้มีฉายาว่า “รถกลบหน้าดิน”
ฝีมือของคริสตี้ พอลลีนั้นร้ายกาจเหลือเกิน พอเขาได้ขึ้นเวทีก็ใช้ความเร็วดังความเร็วแสงหลบการโจมตีของถังหลงได้ หลังจากนั้นสิบนาทีถังหลงหมดกำลังลง จึงถูกเขาลอบโจมตีจนเป็นจุดจบของราชาเจ้าเวทีอย่างถังหลง
หลังจากยุคปี 80 มา คนจีนที่เข้าร่วมแข่งขันในเวทีมวยปล้ำนั้นค่อยๆลดลง นอกจากเหลยเจิ้นเยวี่ยที่ชนะขาดลอยแล้วก็ไม่มีนักมวยจีนใดได้ตำแหน่งแชมป์มวยปล้ำอีกเลย
ในยุคปี 90 ตามการฝึกซ้อมด้วยกลวิธีต่างๆ ทำให้รูปแบบมวยใต้ดินเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง จนแทบไม่มีนักมวยคนไหนสามารถครองตำแหน่งเจ้าสังเวียนจนได้เป็นตำนานอีกเลย
ดังนั้นสำหรับต่งเซิงไห่แล้ว ขอแค่อันเดรวิชไม่เจอกับนักมวยสามอันดับแรกสุด โอกาสชนะก็ยังมีสูงมากอยู่
ต่งเซิงไห่ยื่นมือออกไปรับเอากระดาษสัญญามาจากรูดอล์ฟ เขากวาดสายตาดูเนื้อหารอบหนึ่ง นี่ไม่ได้เป็นแค่เรื่องล้อเล่น ถ้าเกิดถูกฝ่ายตรงข้ามเล่นตุกติก เขาจะไม่สามารถแก้ต่างได้เลย
ตรวจสอบเงื่อนไขการเดิมพันที่รูดอล์ฟลงเอาไว้เรียบร้อยต่งเซิงไห่จึงลงชื่อตัวเองลงไป ใบสัญญามีทั้งหมดสามฉบับ นอกจากเขากับรูดอล์ฟที่ถือกันคนละฉบับแล้ว ยังมีอีกฉบับที่ต้องเก็บรักษาไว้บนเรือสำราญควีนอลิซาเบธ
“เรียบร้อย สหายของผม งานประชุมใกล้จะเริ่มแล้ว”
มองดูทั้งสองเซ็นสัญญากันเสร็จสิ้น คลีเมตสันตบมือประกาศว่า “ผมขอรับรองว่าการประชุมวันนี้จะกินเวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง ตอน 11 โมงครึ่ง พวกคุณจะได้ลิ้มรสอาหารกลางวันกันอย่างอิ่มอร่อย
“คุณคลีเมตสัน มื้ออาหารกลางวันคงจะไม่มีการแบ่งโซนแล้วใช่ไหม?”
จู้เหวยเฟิงตั้งใจเอ่ยล้อเล่น เขาไม่เคยลืมว่าตนถูกจัดให้ไปอยู่ในห้องพักเขต C ซึ่งอย่างไรก็รู้สึกว่าถูกเลือกปฏิบัติอยู่ดี
“อ๋อ แน่นอนว่าไม่อยู่แล้ว”
คลีเมตสันหัวเราะออกมา ตอบว่า “พวกคุณอยู่ในโซน C รับประอาหารเช้าที่นั่นก็เพื่อความสะดวก ส่วนมื้อเที่ยงกับเย็นจะจัดงานเลี้ยงในห้องประชุมใหญ่
อีกอย่างหลังจากรับประทานอาหารเที่ยงกันแล้ว พวกคุณสามารถลงไปเล่นพนันได้ที่คาสิโน ที่นี่ยังออกแบบได้ดีกว่าที่ลาสเวกัสเสียอีก!”
ตามหลักแล้ว คลีเมตสันเป็นเพียงนักธุรกิจผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลัง การปฏิบัติที่ไร้มารยาทของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ คลีเมตสันยังเก็บอาการไม่พอใจเอาไว้
“คลีเมตสัน ห้ามคุณแย่งการค้าของผมนะ ระวังผมไปฟ้องแฮนส์ฟอร์ด!”
รูดอล์ฟหลังจากเซ็นสัญญาแล้วก็ดูหน้าตายิ้มแย้มระรื่นคุยพูดคุยหยอกล้อกับคลีเมตสัน ราวกับว่าไม่รู้อารมณ์ดีมาจากไหน
“ไม่อยู่แล้ว ผมจะแย่งทำธุรกิจกับเพื่อนได้อย่างไร? พวกคุณคุยกันไปก่อน ผมจะเข้าไปเตรียมตัวสักเล็กน้อย”
คลีเมตสันยักไหล่ แล้วเดินนำขบวนของเขาไปทางห้องหัวเรือ ในนั้นมีบุคคลผู้เป็นใหญ่รวมตัวกันอยู่หลายคน เขาไม่กล้าให้คนเหล่านั้นรอนาน
ส่วนรูดอล์ฟถอยหลังไปสองก้าว เข้ามาแนบชิดกับต่งเซิงไห่ ยิ้มอย่างเยือกเย็นพูดว่า “คุณต่ง ฉันจะเตือนอะไรคุณไว้อย่างนะ!”
ต่งเซิงไห่ตกใจ ละล่ำละลักถามว่า “รูดอล์ฟ มีเรื่องอะไร? อย่าบอกนะว่าคุณจะกลับคำน่ะ?”
“ไม่…ไม่ ผมต่างหากที่กลัวคุณเปลี่ยนใจ”
รูดอล์ฟยื่นริมฝีปากเข้าไปข้างหูของต่งเซิงไห่กระซิบว่า “ผมลืมบอกคุณไป เมื่อเดือนที่แล้วแอนโทนี่ มาร์คัสได้เข้าร่วมในสังกัดของผมแล้ว!”
“คุณว่าอะไรนะ?!”
ต่งเซิงไห่ตกใจจนหน้าถอดสี คว้ามือไปรวบคอเสื้อของรูดอล์ฟไว้ แล้วตะโกนใส่หน้าเขาว่า “แอนโทนี่ มาร์คัสจะไปอยู่ในสังกัดแกได้ยังไง? เขาไม่ได้อยู่ที่อังกฤษมาตลอดเหรอ?”
“คุณต่ง เราต่างเป็นคนมีวัฒนธรรม อย่าลงไม้ลงมือกันเลย ไม่อย่างนั้นจะดูไม่ดี!”
รูดอล์ฟออกแรงผลักต่งเซิงไห่ออกให้ห่างตัว เอ่ยต่อว่า “คุณต่ง คุณควรจะรู้ว่าแอนโทนี่ มาร์คัสน่ะ เกิดที่มาเลเซีย ผมเองก็อยู่ที่นั่นตอนที่มีการแข่งมวยพอดี!”
หลังจากพูดจบรูดอล์ฟหัวเราะอย่างสะใจเสียงดัง แล้วเดินเข้าไปในห้องโดยสารไม่หันกลับมามองต่งเซิงไห่อีกเลย ราวกับว่าได้กุมชัยชนะเอาไว้ทั้งที่การแข่งขันยังไม่ทันเริ่มขึ้น
“เหล่าต่ง เกิดอะไรขึ้นหรอ? เจ้าแอนโทนี่นั่นเป็นใครกัน?”
ต่งเซิงไห่ยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิมอย่างหมดอาลัยตายอยาก เยี่ยเทียนตะโกนเรียกอยู่หลายครั้งเขาถึงจะรู้สึกตัวขึ้นมา
“ท่านไห่ ครั้งนี้แย่แน่ ทำไมจู่ๆถึงไปเจอเข้ากับเจ้าปีศาจฆ่าคนคนนั้น?”
แม้ว่าค่ายมวยของจู้เหวยเฟิงสร้างขึ้นจะเป็นชั้นปลายแถว แต่เรื่องราวในวงการนั้น เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของแอนโทนี่ มาร์คัสมาบ้าง
เห็นได้ชัดว่าจู้เหวยเฟิงไม่สามารถฝากความหวังไว้ที่อันเดรวิชได้อีกแล้ว ตอนนี้เลยได้แต่โยกหัวไปมา เขาคิดว่ากิจการใหญ่โตที่ต่งเซิงไห่สร้างมาด้วยความยากเย็นกำลังจะถูกรูดอล์ฟชิงไปอย่างง่ายดาย
เยี่ยเทียนสนใจกับคำพูดของจู้เหวยเฟิงจึงถามอย่างฉงนใจว่า “เก่งขนาดนั้นเชียวเหรอ เขาเป็นใครมาจากไหนกัน?”
เยี่ยเทียนได้เห็นอันเดรวิชต่อสู้มากับตา แม้ว่าด้วยฝีมือของเขาจะกำราบอันเดรวิชลงได้ยังต้องลงแรงไปไม่น้อย แต่เมื่อได้ยินจู้เหวยเฟิงบอกว่าอันเดรวิชไม่ใช่คู่แข่งของคนๆนั้นเลย
จู้เหวยเฟิงส่ายหน้า ตอบว่า “เยี่ยเทียน เจ้านั่นมันไม่ใช่คน ถ้าจะบอกว่าตอนนี้มีใครที่เป็นเจ้าสังเวียนมวยได้ ก็คงมีแต่เขานี่แหละ!”
“คุณหมายถึงวงการมวยปล้ำนี่ล่ะสิ? คนที่เป็นเจ้าวงการมวยโลกต้องเป็นไทสันต่างหาก!” เยี่ยเทียนแก้คำพูดของจู้เหวยเฟิงใหม่ อาชีพนักมวยมืออาชีพกับมวยใต้ดินนั้นแตกต่างกันมาก
“ไทสัน? ไทสันกับแอนโทนี่เปรียบเทียบกัน เทียบกันได้ที่ไหน!”
ต่งเซิงไห่ผู้ที่ตอนแรกเหมือนหลุดภวังค์ไปครู่หนึ่งได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้วพลางตะโกนโพล่งออกมา “ไทสันตอนอยู่ในคุกน่ะ ยังสู้กับนักมวยปล้ำสามคนไม่ได้เลย มีสิทธิ์อะไรไปเทียบกับแอนโทนี?”
“เหล่าต่ง อย่าเพิ่งตื่นตระหนก ไทสันเคยสู้กับนักมวยใต้ดินด้วยเหรอ?”
เยี่ยเทียนไม่ค่อยได้สัมผัสรับรู้ความลับของวงการมวยเท่าไหร่ แต่เขาเคยดูถ่ายทอดการแข่งขันของไทสัน ด้วยความเร็วในการออกหมัดแล้ว ไทสันนับว่าฝีมือไม่เลวเลย
“เคยอยู่แล้วสิ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่พูดอย่างนั้นหรอก”
ต่งเซิงไห่แม้ว่าหน้าจะเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเทาแล้ว แต่ก็ดึงสติกลับมาได้ เล่าเรื่องที่ไทสันเคยถูกนักมวยปล้ำร่างยักษ์ซ้อมให้เยี่ยเทียนฟัง
…………………………………………………….