หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 645 ดวงจิต
“นี่…นี่มันสุดยอดไปเลย เก่งกาจที่สุด!”
จู้เหวยเฟิงเดินตามหลังเยี่ยเทียน รับรู้ความรู้สึกของการเป็นผู้ถูกเหล่ามหาเศรษฐีทั้งหลายจับจ้องเป็นตาเดียว ราวกับอยู่ในฝันก็ไม่ปาน จนเมื่อบริกรเดินนำเข้าไปในลิฟต์ เขาถึงร้องออกมา
แม้ในประเทศจีนเขาเป็นคนที่มีพื้นฐานครอบครัวดีมาก แต่คุณชายจู้เมื่ออยู่นอกประเทศบ้านเกิดกลับไม่ได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดี นี่ถึงทำให้เขารู้สึกคึกคักฮึกเหิม ปากบ่นสบถคำหยาบออกมา
“ความเคารพน่ะพวกเขาให้ผม เกี่ยวอะไรกับคุณด้วยเล่า?”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว ชำเลืองมองดูจู้เหวยเฟิง ตอบกลับอย่างเนือยๆว่า “ครั้งนี้ผมไม่ได้ช่วยพวกคุณนะ แต่ผมกำลังช่วยตัวเองต่างหาก ค่ายมวยเหล่านั้นจะรักษาไว้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับพวกคุณแล้ว!”
เป้าหมายที่ทั้งจู้เหวยเฟิงและต่งเซิงไห่ได้มอบเงินจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ให้แก่ตนนั้น เยี่ยเทียนเข้าใจดี
หากวันหน้าพวกเขามีเรื่องเดือดร้อนอะไรก็หวังให้เยี่ยเทียนช่วยออกหน้า แต่เยี่ยเทียนจะไม่ก้าวก่ายในกิจการมวยใต้ดินอีก เพราะเขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว
ยิ่งกว่านั้น การปรากฏตัวของเยี่ยเทียนทำให้เหล่าบรรดาเถ้าแก่ทั้งหลายในวงการมวยปล้ำแต่ละประเทศนั่งกันไม่ติด ไม่แน่ว่าบางคนที่มีตาแต่ไร้แวว วางแผนลอบทำร้ายเขา เยี่ยเทียนต้องป้องกันไว้ก่อน
“เยี่ยเทียน ท่านเยี่ย นาย…นายทำแบบนี้ไม่ได้นะ ฉัน…ฉันคนเดียวดูแลค่ายมวยทั้งสองแห่งไหวที่ไหน?”
ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว จู้เหวยเฟิงอึ้งไป ค่ายมวยในประเทศไทยมีฟรุสเป็นผู้ดูแล เขาไม่ต้องกังวล
แต่ค่ายมวยทั้งในจีนและญี่ปุ่น กลับต้องให้จู้เหวยเฟิงเป็นผู้จัดการ ถ้าไม่มีคนมีฝีมือคอยดูแลควบคุม ไม่แน่ว่าการแข่งมวยใต้ดินปีหน้า พื้นที่ทั้งสองแห่งอาจจะถูกชิงไปก็ได้
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ตอบว่า “วางใจเถอะ ภายในปีสองปีนี้ ไม่มีใครกล้าออกมาท้าทายคุณหรอก หลังจากสองปีไปแล้ว ถ้าค่ายมวยของคุณยังพัฒนาไม่ขึ้น ฝืนทำต่อไปคงไม่มีประโยชน์แล้ว น่าจะต้องเปลี่ยนคนดูแลใหม่เสียที”
ศึกครั้งนี้ของเยี่ยเทียนเป็นการตัดสินตำแหน่งฐานะของเขาในวงการมวยใต้ดิน ถ้ามีคนกล้าท้าทายค่ายมวยของจู้เหวยเฟิง ควรจะต้องพิจารณาถึงเยี่ยเทียนด้วย ดังนั้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ จู้เหวยเฟิงถึงไม่ควรกังวล
แต่ถ้าในสองปีนี้เยี่ยเทียนไม่ปรากฏตัวในวงการมวยปล้ำเลย เกรงว่าคนอื่นอาจจะสงสัย แน่นอนว่าเยี่ยเทียนไม่ต้องออกมาลงสนามแข่งอีกครั้ง เพียงแต่อาศัยจู้เหวยเฟิงตัวคนเดียวแล้ว
จู้เหวยเฟิงเป็นคนฉลาด เข้าใจความหมายที่เยี่ยเทียนต้องการจะบอก จึงตอบรับอย่างยอมรับชะตากรรมว่า “เอาเถอะ ฉันจะพยายามก็แล้วกัน!”
บริกรเดินนำทั้งสองกลับถึงห้องพัก เมื่อเดินพ้นประตูห้อง ร่างกายของเยี่ยเทียนโคลงเคลง พูดเสียงต่ำสั่งว่า “ปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
เห็นใบหน้าที่เคยเป็นสีชมพูระเรื่อตอนนี้เปลี่ยนเป็นขาวซีด จู้เหวยเฟิงรีบเข้าไปประคอง ถามอย่างร้อนรน “เป็นอะไรไป นายได้รับบาดเจ็บหรือ? เมื่อกี้ทำไมไม่ให้ตามหมอเล่า?”
เยี่ยเทียนโบกมือ ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ไม่เป็นไร คุณเข้าไปในห้องน้ำเปิดน้ำลงไปในอ่างอาบน้ำให้เต็ม ต้องน้ำร้อนนะ ยิ่งร้อนยิ่งดี!”
ตอนที่ต่อสู้กับแอนโทนี มาร์คัส เยี่ยเทียนไม่ได้ดูสบายๆเหมือนท่าทีที่แสดงออกมา ภายในเวลาสิบนาที เขาได้รับการโจมตีอย่างหนักหน่วงจนเกือบถึงชีวิตหลายครั้ง ร่างกายบอบช้ำสาหัส
ไหล่ซ้ายของเยี่ยเทียนผิดรูปอย่างรุนแรง กระดูกน่องที่ขาซ้ายหัก ซี่โครงด้านขวาหักไปหนึ่งท่อน อวัยวะภายในบอบช้ำ อวัยวะสำคัญเกือบจะเคลื่อนตำแหน่ง เขาสามารถเดินกลับมาถึงห้องพักด้วยตัวเองได้ต้องใช้พลังชีวิตเพื่อพยุงไว้
อาการบาดเจ็บเก่าของแอนโทนี มาร์คัสถูกกระตุ้นให้แสดงออกมา พลังชีวิตของเยี่ยเทียนสูญเสียไปถึงเจ็ดแปดส่วน สติเริ่มจะหลุดลอย ร่างทั้งร่างแทบล้มทั้งยืน
รอจนจู้เหวยเฟิงเปิดน้ำเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนเดินกลับเข้าห้องนอนของตน หยิบเอายาสูตรลับของสำนักออกมา เขาเคยคิดจะพกยาขึ้นไปต่อสู้ด้วย แต่ในใจกลัวพะวักพะวง สุดท้ายจึงไม่ได้นำติดตัวไป วางทิ้งไว้ในห้อง
“เยี่ยเทียน เสร็จแล้ว!” ผ่านไปไม่กี่นาที จู้เหวยเฟิงเดินออกมาพยุงเยี่ยเทียนเข้าไปในห้องอาบน้ำ
เปิดขวดยาออก เยี่ยเทียนหยิบยาเม็ดแรกโยนเข้าปาก แล้วเทยาออกมาอีกเม็ดบดให้แตกแล้วโรยลงในอ่างอาบน้ำ ทำให้ทั้งห้องอาบน้ำอบอวลไปด้วยกลิ่นฉุนๆของยา
เยี่ยเทียนใช้มือกวนคนน้ำในอ่างเพื่อให้ฤทธิ์ยากระจาย แล้วถอดชุดฝึกวิชาที่ขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดีออก จู้เหวยเฟิงมองดูเยี่ยเทียนถอดเสื้อผ้าเหมือนปกติ แล้วจู่ๆก็ตะลึงตาค้าง เพราะตามผิวขาวๆของเยี่ยเทียนมีร่องรอยบาดเจ็บเต็มตัวไปหมด
ไหล่ซ้ายของเยี่ยเทียนบวมนูนออกมามาก แขนซ้ายเกือบจะบิดผิดรูป ที่กระดูกซี่โครงตรงหน้าอกมีรอยเขียวช้ำดวงโต น่องด้านซ้ายยิ่งบวมใหญ่ขนาดเท่าต้นขา ผิวหนังเกือบจะเปลี่ยนเป็นสีดำ แค่เพียงดีดเบาๆก็แตกได้
“ออกไป ถ้าผมไม่เรียกไม่ต้องเข้ามา!”
เมื่อไม่มีพลังชีวิตควบคุมบาดแผล หน้าผากของเยี่ยเทียนมีเหงื่อเม็ดเล็กเม็ดใหญ่ผุดออกมา เขายกขาซ้ายขึ้นอย่างยากลำบาก ค่อยๆวางลงในอ่างอาบน้ำ
“ซี้ด….”
เมื่อขาข้างซ้ายเข้าไปในอ่างอาบน้ำได้แล้ว ความเจ็บปวดที่ถูกกระดูกแทงโลดแล่น ทำเอาเยี่ยเทียนหน้าเปลี่ยนสี เขาสูดลมหายใจเข้า สีหน้าที่เคยซีดขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เหงื่อเหนียวๆผุดขึ้นมาบนใบหน้าไหลหยดลงเป็นทาง
“ให้ตายเถอะ ครั้งนี้เล่นเอาบาดเจ็บถึงเอ็นถึงกระดูกเลย!”
เยี่ยเทียนกัดฟัน ค่อย ๆ ย้ายร่างกายลงไปอยู่ในอ่างอาบน้ำ ทุกครั้งที่ส่วนที่บาดเจ็บถูกน้ำ ทำให้เขาเจ็บปวดจนต้องกัดริมฝีปากไว้แน่นจนมุมปากมีเลือดไหลออกมา
“ฮู่….”
ในที่สุดก็นำร่างทั้งตัวลงมาอยู่ในอ่างได้แล้ว เยี่ยเทียนผ่อนลมหายใจออกยาว การกระทำง่ายๆแค่นี้ยังกินเวลาตั้งห้านาที
ร่างทั้งร่างที่แช่อยู่ในน้ำร้อนจัด เยี่ยเทียนรู้สึกถึงฤทธิ์ของยา ที่กำลังซึมซาบเข้าสู่ผิวหนัง แม้จะทั้งชาทั้งคันเหลือทน แต่อาการบาดเจ็บกำลังค่อยๆดีขึ้น
สูดลมหายใจเข้าลึก เยี่ยเทียนดึงพลังขึ้นมาจากจุดตันเถียน หมุนเวียนลมปราณในร่างกาย ครบหนึ่งรอบแล้ว จิตของเยี่ยเทียนดิ่งลึกลงสู่ฌาน ความเจ็บปวดบนร่างกายไม่อาจรบกวนเขาได้อีก
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง บนศีรษะของเยี่ยเทียนมีไอร้อนพุ่งออกมา ผิวหนังที่อยู่เหนือน้ำเปลี่ยนเป็นสีแดง รูขุมขนตามผิวหนังมีเลือดคั่งซึมออกมา น้ำยาในอ่างเกิดเป็นกลิ่นคาวคลุ้ง
“ดูท่าจะไม่เหลืออาการบาดเจ็บภายใน ให้ตายเถอะ ลูกเตะของแอนโทนี มาร์คัส ร้ายกาจจริงๆ!”
เยี่ยเทียนฟื้นขึ้นจากฌาน ถูกกลิ่นคาวเลือดของน้ำยาที่ตัวเองแช่อยู่สะดุ้งโหยงกระโดดออกมาจากอ่าง เปิดพัดลมระบายอากาศแล้วดึงเอาจุกยางใต้พื้นอ่างออกปล่อยน้ำเสียลงท่อ
แม้จะรู้สึกอ่อนเพลียเต็มกำลัง แต่ดวงตาของเยี่ยเทียนกลับเห็นชัดขึ้นมาก ยิ่งกว่านั้นยังรู้สึกถึงประกายบางอย่างในดวงตาที่บอกไม่ถูก ทำให้คนอื่นไม่กล้าสบตาด้วย
อาการบาดเจ็บดีขึ้นมาก รอยช้ำเลือดที่น่องจางลงจนเกือบหายสนิท แต่ในเมื่อบาดเจ็บถึงกระดูกก็ต้องพักรักษาตัวสักระยะ
ส่วนรอยช้ำที่กระดูกซี่โครงตรงหน้าอกก็จางลงเช่นกัน เหลือเพียงความยุ่งยากอีกอย่างนั่นคือหัวไหล่ซ้าย นอกจากกระดูกข้อไหล่ที่ถูกเตะจนข้อแตกแล้ว กระดูกท่อนแขนยังหักเป็นสองท่อน
ใช้น้ำร้อนจากฝักบัวชะล้างคราบเลือดคั่งออกแล้ว เยี่ยเทียนเปิดน้ำร้อนลงในอ่างอาบน้ำอีกครั้ง น้ำร้อนจะสามารถกระตุ้นผิวหนังของเขา ช่วยให้พลังชีวิตที่มีอยู่ไปขับเอาเลือดคั่งที่ค้างอยู่ตามเส้นลมปราณออกไป
จนถึงตอนนี้ เยี่ยเทียนพอมีเวลาคิดใคร่ครวญถึงผลได้ผลเสียจากการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในวันนี้ เขาค่อยๆหลับตาลง ภาพการต่อสู้กับแอนโทนี มาร์คัสปรากฎขึ้นเป็นฉากๆในสมอง
“วัฏจักรชีวิตมนุษย์ กล่าวคือชาติที่แล้วชาตินี้และชาติหน้า หนีไม่พ้นอารมณ์กิเลสและห้วงทุกข์ทั้งปวง”
ในหัวของเยี่ยเทียนคิดถึงคำสอนในตำรา 《เปิ่นอวี้เซิงจิง》 ที่ได้กล่าวไว้ เมื่อเขาได้เผชิญกับศึกแห่งความเป็นความตาย จึงได้เข้าใจความหมายของคำสอนประโยคนี้อย่างลึกซึ้ง
เยี่ยเทียนนึกทบทวนความรู้สึกของชีวิตในจุดวิกฤตชนิดเส้นยาแดงผ่าแปดนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลมหายใจผ่อนคลายลึกยาว น้ำร้อนที่โอบอุ้มร่างกายเขาเอาไว้ ราวกับเป็นครรภ์ของมารดาที่ปกป้องเลี้ยงดูบุตร
จู่ๆก็เกิดความเจ็บปวดแทรกขึ้นมาในห้วงความคิด แต่ความเจ็บปวดนั้นก็สลายไปอย่างรวดเร็วเหมือนตอนมา ตามด้วยความรู้สึกราวกับตัวเองลอยอยู่ในความมืด ความสุขสบายค่อยแผ่ซ่านปกคลุมตัวเขาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
อยู่ในความมืดมิดที่เป็นอนันต์ เมื่ออยู่ในนี้ เยี่ยเทียนปราศจากความรู้สึกและอารมณ์ใดๆ จิตใจสงบสุขเหนือคำบรรยาย
ทันใดนั้นเองเยี่ยเทียนรู้สึกถึงแสงสว่างจากเบื้องบน ตัวของเขาพุ่งสูงขึ้น ล่องลอยอยู่กลางอากาศ แต่เมื่อเยี่ยเทียนมองลงดูด้านล่างกลับพบว่า ร่างกายยังคงนอนแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำ
“ถอดจิต?”
ในสมองเยี่ยเทียนผุดคำๆนี้ขึ้นมา แล้วคิดพิจารณาอีกครั้ง พบว่าเขาจิตของเขาอยู่ในอีกดินแดนหนึ่ง ไม่ได้รวมเป็นหนึ่งกับร่างกาย
“หรือว่าเราบรรลุถึงขั้นเปลี่ยนจิตให้ว่างได้แล้ว?”
เยี่ยเทียนไม่ได้เกิดความหวาดกลัว แต่กลับปิติลิงโลด แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ซึมซาบความสุขนั้น ด้านล่างเกิดมีแรงดึงดูดมหาศาลที่รั้งให้ดวงจิตของเขากลับเข้าสู่ร่างกาย
“บ้าเอ๊ย จะให้ฉันอยู่ต่ออีกนิดไม่ได้หรือไง?”
เมื่อเห็นว่าตัวเองถูกดึงกลับเข้าสู่ความมืดมิดนั้นอีกครั้ง เยี่ยเทียนอดไม่ได้ตะโกนด่าออกมา เขาเกือบจะแน่ใจแล้วว่า เมื่อครู่ตนได้ถอดจิตออกจากร่าง ได้สัมผัสกับภาวะการเปลี่ยนจิตให้เป็นความว่างเปล่าได้แล้ว
การฝึกจิตให้ว่างนั้นเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าด่านเก้าปี เมื่อฝึกกำลังภายไปจนถึงขั้นสูง สามารถเปลี่ยนพลังให้เป็นจิต แล้วฝึกให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นได้
ขั้นตอนการฝึกนี้คือการฝึกฝนกฎแห่งความว่างเพื่อเข้าสู่สมาธิอันยิ่งใหญ่ ใช้การทำสมาธิเพื่อหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและให้ความอบอุ่นแก่พลังหยางที่บริสุทธิ์
หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ การอาศัยร่างกายฝึกจิต เปลี่ยนจิตให้เป็นเต๋า อาศัยการหล่อเลี้ยงจิตใจของตนเองเพื่อได้บรรลุขั้นถอดจิตออกจากกาย
ในตำราของลัทธิเต๋า เมื่อได้เข้าสู่ภาวะปล่อยจิตให้ว่างได้แล้ว นั่นคือเส้นทางแห่งความสำเร็จและบรรลุธรรมชั้นเซียนได้เลย
ในตำนานพวกเก๋อหงและลวี่ต้งปิงได้ฝ่าด่านนี้ได้ในที่สุดแล้วทะยานขึ้นบนฟ้ากลายเป็นเทพเทวา เหลือทิ้งไว้เพียงกายเนื้อ ส่วนจิตวิญญาณได้ล่องลอยไปสู่ดินแดนอีกแห่ง
เยี่ยเทียนไม่เคยเชื่อตำนานนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เมื่อดวงจิตออกจากร่าง กลับทำให้เขาเห็นโลกที่แตกต่างออกไป ความรู้สึกในการปล่อยวางอิสระจากร่างกายนั้นยอดเยี่ยมมาก จนตัวเบาเหมือนเทวดาที่ลอยได้
……………………………………………