หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 651 เงินฉาบฉวยเก็บได้ไม่นาน
“เวยหลัน คุณอยากจะโอนหุ้นทั้งหมดให้เยี่ยเทียนผมไม่มีข้อคิดเห็น แต่ตอนนี้บริษัทกำลังอยู่ในขั้นวิกฤต คุณทำแบบนี้ มันไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นะ?”
หลังจากซ่งเวยหลันแนะนำเยี่ยเทียนจบ ในที่ประชุมเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจู่ๆมีเสียงคนๆหนึ่งดังขึ้น
แม้จะพูดภาษาอังกฤษ แต่ผู้พูดกลับเป็นคนเชื้อสายจีนอายุประมาณห้าสิบกว่า ใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ของคนจีน ทำให้คนอื่นรู้สึกเกรงขาม
“พี่หวา ฉันไม่ได้บอกว่าจะยกหุ้นทั้งหมดให้เยี่ยเทียนสักหน่อย!”
ซ่งเวยหลันถอนใจ ชายคนนี้ชื่อจ้าวหวา เป็นหนึ่งในผู้ร่วมบุกเบิกบริษัทมาพร้อมกับเธอ และเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่ง ถ้าเขามีความคิดเห็นแบบนี้ เกรงว่าคนอื่นๆในบริษัทเริ่มใจไม่ดีแล้ว
“ลูกชายของฉันเก่งมาก เขาเก่งกว่าฉันหลายเท่า กิจการแค่นี้ เขาไม่ได้เห็นมันอยู่ในสายตาเลย”
สายตาของซ่งเวยหลันกวาดตามองลูกหลานตระกูลซ่งคนอื่นๆแล้วพูดต่อว่า “วันนี้ที่ฉันเรียกประชุมก็เพื่ออยากประกาศเรื่องๆหนึ่ง”
ซ่งเวยหลันพูดจบ จ้าวหวาก็ยืนขึ้น แสดงความขอโทษแก่ซ่งเวยหลัน แล้วพูดว่า “ท่านประธาน ขอโทษครับ ผมคิดมากเกินไปแล้ว”
“พี่หวา นั่งลงก่อน”
ซ่งเวยหลันโบกมือ พูดต่อว่า “ ช่วงเวลานี้ทุกคนเหน็ดเหนื่อยกันมาก บริษัทเราสถานการณ์ก็ดีขึ้นแล้ว ตอนนี้แค่รอเงินทุนก้อนนั้นถอนคืนมาได้ ความยากลำบากของบริษัทก็จะผ่านพ้นไป”
“ท่านประธาน เรื่องนี้พวกเรารู้ดี แต่เงินทุนก้อนนั้นถูกรัฐบาลอเมริกันอายัติไว้ จะเอาออกมาเลยก็ไม่ได้ แต่ทางแอฟริกากลางนั้นขาดเงินทุนมากพวกเรายังเผชิญกับภาวะเงินทุนขาดแคลนอยู่”
ผู้ที่เข้าร่วมประชุมต่างเป็นลูกน้องเก่าแก่ที่ซ่งเวยหลันไว้ใจ รู้ซึ้งถึงปัญหาของบริษัทในตอนนี้เป็นอย่างดี ช่วงก่อนที่กลุ่มผู้ดูแลการเงินโจมตีบริษัทของพวกเขาอย่างหนักจนเกือบไม่รอด
ซ่งเวยหลันพยักหน้า ตอบว่า “เรื่องเงินทุนนั้นฉันจะเป็นคนคิดหาทางออกเอง ช่วงนี้ทุกคนเหนื่อยกันมามากแล้ว ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะให้พนักงานในสำนักงานใหญ่ทั้งหมดไปพักร้อนที่บราซิลเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์!”
“พักร้อน?”
“ตอนนี้พักร้อนได้ที่ไหน?”
พอได้ยินคำประกาศของซ่งเวยหลันแล้ว ทั้งที่ประชุมตกตะลึง พวกเขาคิดไม่ถึงว่า ท่านประธานจะมาประกาศเรื่องแบบนี้
กลุ่มบริษัทข้ามชาตินั้นมีเงินกำไรจากผลประกอบการดีมาก ปกติแล้วทั้งบริษัทจะได้ออกไปเที่ยวพักผ่อนกันอยู่บ่อยๆ แต่ตอนนี้ทุกคนไม่มีกะจิตกะใจจะไปเที่ยวเลย
“ความจริงแล้วฉันเองก็เห็นแก่ตัว…”
เมื่อได้ยินเสียงคัดค้านจากทุกคน ซ่งเวยหลันเหลือบมองเยี่ยเทียนแล้วชี้แจงต่อว่า “ทุกคนก็รู้ เยี่ยเทียนแยกกับฉันตั้งแต่ยังเล็ก ฉันติดค้างเขามากมายเหลือเกิน ฉันเลยอยากถือโอกาสนี้ อยู่กับลูกฉันมากๆ”
“ผู้หญิงนี่เป็นนักแสดงโดยกำเนิดจริงๆ!”
เยี่ยเทียนที่นั่งฟังอยู่ด้านข้างกลั้นยิ้มไว้จนปากกระตุก เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน คุณแม่ยังให้เขาไปเที่ยวคนเดียว ไม่ให้มารบกวนเวลางานของเธออยู่เลย!
“ท่านประธาน คุณไปเที่ยวกับคุณเยี่ยเถอะ พวกเราไม่ต้องหยุดงานหรอก!”
“นั่นน่ะสิ ท่านประธานควรพักผ่อนสักช่วงหนึ่งก็ดี พวกเราจะดูแลงานให้เอง!”
เหตุผลของซ่งเวยหลันทำให้คนอื่นๆในที่นี้ไม่อาจปฏิเสธได้ เธอต้องการจะไปเที่ยวกับลูกชาย ก็เป็นเหตุผลที่สมควรอยู่ อีกทั้งในมุมมองของคนอเมริกันครอบครัวย่อมสำคัญกว่างานเสมอ
“ขอบคุณทุกคนที่เข้าใจ แต่ช่วงนี้ทุกคนก็เคร่งเครียดกันมาก ฉันคิดว่า….ทุกคนควรจะได้พักผ่อนเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นฉันได้พักอยู่คนเดียว รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่….”
ซ่งเวยหลันยิ้มออกมา “เอาตามนี้ก็แล้วกัน การท่องเที่ยวครั้งนี้ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ฉันจะเป็นคนรับผิดชอบเอง นอกจากนี้ พนักงานที่ทำงานเกินสามเดือนขึ้นไปจะได้สิทธิ์การไปเที่ยวครั้งนี้ด้วย
ท่านประธานอย่างเธอจะให้ย้ายบริษัทนั้นคงไม่มีทางทำได้ง่ายๆ แต่ถ้าเสนอโบนัสให้ทุกคนในบริษัททั่วกัน เธอยังพอตัดสินใจได้อยู่ ยิ่งกว่านั้นคือเธอจะควักเงินออกค่าใช้จ่ายให้เอง
“งั้น….ถ้างั้นก็ได้ ช่วงนี้พวกเราเครียดกันมากเกินไป!”
ซ่งเวยหลันประกาศจบ ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย
อย่างน้อยถือเป็นโบนัสอย่างหนึ่งที่บริษัทมอบให้ ถ้ายังดื้อดึงปฏิเสธพวกพนักงานระดับล่างรู้เข้าจะไม่พอใจ สู้ออกไปพักผ่อนให้สบายใจไม่ดีกว่าหรือ
บริษัทดำเนินการมาได้ถึงทุกวันนี้ ในแต่ละปีจะมีวันหยุดพักร้อนสิบวัน สิบวันดังกล่าวไม่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท ยิ่งกว่านั้นช่วงวันหยุดบางคนยังคงทำงานต่อไป
“ได้เลย เดี๋ยวจะให้อลิซแจ้งไปอีกที หนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้…”
ซ่งเวยหลันมองดูเยี่ยเทียน แล้วพูดต่อว่า “หนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้ แต่ละแผนกทำงานกันตามปกติ สำนักงานใหญ่หยุดงานสิบวัน ทุกคนรีบจัดการงานในมือให้เสร็จเรียบร้อยภายในหนึ่งสัปดาห์!”
“รับทราบ ท่านประธาน!”
อำนาจของซ่งเวยหลันแสดงออกมาตอนนี้ ทำให้ทุกคนตอบรับคำอย่างนอบน้อม การประชุมจบลง แต่ละแผนกทยอยออกจากห้องประชุม กลับไปที่แผนกของตัวเองเพื่อประกาศข่าวดี
“เวยหลัน ข่าวลือช่วงก่อนไม่คิดว่าจะเป็นความจริง ลูกชายเธอโตขนาดนี้แล้วหรือ?”
ตาแก่ที่ชื่อจ้าวหวาไม่ได้ออกไป แต่เดินเข้ามาใกล้ซ่งเวยหลัน ผายมือออกไปทางเยี่ยเทียน “หนุ่มน้อย แม่ของเธอปิดบังพวกเราไว้ตั้งยี่สิบกว่าปีแหนะ!”
“พี่หวา พูดเรื่องนี้กับเด็กทำไม?”
ซ่งเวยหลันยิ้ม แล้วดึงลูกชายเข้าไปบอกว่า “เยี่ยเทียน นี่คือคุณลุงจ้าว เป็นผู้ดูแลฝ่ายการเงินของบริษัท ตอนที่แม่ตั้งบริษัทนี้ขึ้น ลุงจ้าวก็เข้ามาทำงานแล้ว!”
“ลุงจ้าวสวัสดีครับ!” เยี่ยเทียนทักทายอย่างมีมารยาท ในใจแอบเดาว่า ลุงจ้าวคนนี้คงเป็นหนึ่งในชายหนุ่มที่เคยตามจีบแม่ของเขาแน่นอน?
“ดี เจ้าหนุ่มดูหน้าตาฉลาดหลักแหลม ดูดีกว่าซ่งเสี่ยวหลงตั้งเยอะ…”
จ้าวหวายิ้มพยักหน้า หันไปทางซ่งเวยหลันพูดว่า “เวยหลัน เรื่องหุ้นเมื่อกี้น่ะ ฉันไม่ได้จะเพ่งเล็งไปที่เยี่ยเทียนนะ ตอนนี้บริษัทเรารองรับความสั่นคลอนไม่ได้อีก!”
ไม่ว่าบริษัทใด แผนกการเงินเป็นแผนกสำคัญที่สุด จ้าวหวาเป็นลูกน้องสายตรงของซ่งเวยหลัน เมื่อก่อนเขาไม่ค่อยชอบใจซ่งเสี่ยวหลงเท่าไหร่ เพียงเพราะซ่งเสี่ยวหลงเป็นหลานชายของซ่งเวยหลัน เขาจึงไม่อาจพูดอะไรได้มาก
“พี่หวา ฉันรู้”
ซ่งเวยหลันถอนใจ บอกว่า “เด็กคนนี้ไม่อยากได้หุ้นเลยสักนิด ไม่อย่างนั้นฉันคงยกบริษัทให้เขาไปแล้ว แล้วก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ด้วย”
“แม่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผมนะ แม่อย่าโยนมาให้ผมสิ” เยี่ยเทียนเหลือกตามองบน ทำไมพูดไปพูดมากลายเป็นเขาต้องเป็นฝ่ายผิดเสียอย่างนั้น?
จ้าวหวามองเยี่ยเทียนอย่างคิดไม่ถึง เขาคิดว่าซ่งเวยหลันพูดพอเป็นพิธี แต่ไม่คิดว่าเจ้าหนุ่มตรงหน้านี้ไม่ต้องการรับช่วงต่อทรัพย์สินกิจการใหญ่โตของมารดาจริงๆ
“ช่างเถอะ พี่หวา ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว”
ซ่งเวยหลันโบกมือ “พี่หวา ฉันอยากรู้เรื่องเงินลงทุนที่แอฟริกากลาง ว่ายังขาดอีกเท่าไหร่ นอกจากนี้เงินทุนที่ถูกกักเอาไว้ เมื่อไหร่ถึงจะได้กลับคืนมา?”
ความจริงแล้วปัญหาในบริษัทไม่ได้ใหญ่โต แต่ช่วงก่อนนี้คนของซ่งเสี่ยวหลงใช้ช่องโหว่ของบริษัทควบคุมการเงินนำเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์ไปลงทุนในโครงการว่างเปล่าแห่งหนึ่ง
แม้ซ่งเวยหลันจะใช้วิธีการบางอย่างทำให้เงินทุนก้อนนั้นถูกอายัติไว้ แต่เธอก็ไม่มีทางนำเงินออกมาได้เช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทประสบปัญหาใหญ่ หลายโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่เมื่อไม่มีเงินทุนก็ไม่อาจเดินต่อไปได้
“ท่านประธาน ทั้งในแอฟริกา อาหรับและรัสเซีย มีทั้งหมดหกโครงการที่ต้องหยุดชะงักลง….”
พอพูดถึงเรื่องนี้ คำเรียกของจ้าวหวาเปลี่ยนไป เขาคิดคำนวณในใจแล้วยิ้มแห้งตอบว่า “ถ้าจะให้งานเดินต่อ เกรงว่าจะต้องใช้เงินอย่างน้อยหกพันกว่าล้าน และเงินที่ถูกอายัติไว้นั้น เกรงว่าภายในหนึ่งปีนี้จะไม่สามารถถอนคืนมาได้!”
“หกพันล้าน? ต้องใช้เยอะขนาดนั้นเชียว?”
ซ่งเวยหลันที่ได้เตรียมใจไว้แล้วยังต้องตกใจกับจำนวนตัวเลขมหาศาล เธอสามารถดึงเงินมาจากกิจการอื่นในประเทศจีนได้พันกว่าล้าน แต่ยังไงจำนวนที่ขาดก็ยังมากอยู่ดี
“อย่างน้อยต้องหกพันล้าน”
จ้าวหวาถอนใจ “ทางรัสเซียได้ออกใบเตือนครั้งสุดท้ายมาแล้ว ถ้าท่อน้ำมันดิบยังไม่เปิดดำเนินการต่อ พวกเขาจะริบกิจการกลับคืนให้คนญี่ปุ่นแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นเงินลงทุนสามพันกว่าล้านของเราคงจะละลายน้ำหายไป!”
“พี่หวา ฉันไม่ปิดบังพี่นะ ถ้าเงินแค่พันกว่าล้านน่ะฉันพอจะมีวิธี แต่หกพันกว่าล้านนี้ ฉันไม่มีทางไปรวบรวมเงินมาได้มากขนาดนั้น!”
ซ่งเวยหลันขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด ใบหน้าปรากฏสีแดงจากความวิตกกังวล ระยะนี้เธอทำงานหักโหมเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ
“แม่ ปัญหาหนักมากเลยหรือ?” เยี่ยเทียนที่เงียบมานานเอ่ยปากขึ้น เขาทนเห็นคนที่รักลำบากไม่ได้ จากตอนแรกที่คิดว่าจะไม่สนใจแล้ว สุดท้ายอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“อืม ความเสียหายใหญ่หลวงเป็นไปได้มากว่าบริษัทอาจจะไม่รอด” ซ่งเวยหลันพยักหน้าอย่างช้ำใจ หยาดเหงื่อแรงกายยี่สิบกว่าปีของเธอกำลังจะดับสูญ
“ได้ ผมมีอยู่ห้าพันกว่าล้าน แม่เอาไปใช้ก่อนเถอะครับ!”
เห็นท่าทางมารดาใจสลาย เยี่ยเทียนหยิบเอาบัตรธนาคารออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เอ่ยอย่างเสียดายว่า “แม่ เราตกลงกันไว้ก่อนนะครับ เมื่อไหร่แม่มีเงินแล้วค่อยคืนให้ผม ต้องคืนให้ผมทันทีนะครับ คือ…เงินนี่แลกมาด้วยชีวิต!”
ซ่งเวยหลันมองดูบัตรธนาคารในมือเยี่ยเทียนแล้วตาโต “ห้าพันกว่าล้าน? เยี่ยเทียน ที่ลูกพูดคือเงินดอลลาร์หรือเปล่า ลูก…อย่าล้อเล่นกับแม่แบบนี้นะ!”
“ผมจะไปล้อเล่นกับแม่ทำไม? เงินนี่เป็นดอลลาร์ทั้งหมด แม่จะเอาไหม ถ้าไม่เอาผมเก็บแล้ว!” เยี่ยเทียนบ่นอย่างไม่สบอารมณ์ “มีแต่คนบอกว่าเงินที่ได้มาอย่างฉาบฉวยมักจะเก็บไว้ได้ไม่นาน เงินก้อนนี้ผมยังไม่ได้ใช้เลยสักแดง!”
เมื่อก่อนในสำนักวิชาต่างๆมีกฎที่ไม่ได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร กล่าวว่าเงินที่เก็บได้หรือชนะพนันนั้นต้องรีบใช้ออกไปให้เร็ว ไม่เช่นนั้นจะนำภัยมาสู่ตัว
เหมือนคนในสำนักวิชาเมื่อยุคก่อนการปฏิวัติวัฒนธรรม เมื่อได้เงินมาจะรีบนำเงินไปกินเที่ยวดื่มเล่นพนันเต็มที่ เพื่อสามารถมีชีวิตอิสระอยู่ได้ไปวันๆ ก็ด้วยเหตุผลนี้นี่เอง
………………………………………………….