หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 669 ความลับส่วนตัว
“ผมประมาทเอง พวกท่านอย่าทำตามผมเด็ดขาด!”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงยิ้มขึ้นมาอย่างสุดฝืน เขาคิดว่าตัวเองมีวรยุทธสูงส่ง แต่กลับไม่ได้นึกถึงตอนที่รอดตายหวุดหวิดขณะที่แข่งชกมวยใต้ดิน และหลังจากนั้นก็เกือบต้องตายจากภัยพิบัติในครั้งนี้อีก พอลองนึกดูแล้วเยี่ยเทียนจึงรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจอยู่บ้าง
คนโบราณกล่าวว่าถ้าอยากจะมองชีวิตและความตายให้ทะลุปรุโปร่ง ส่วนใหญ่ก็ต้องบวชเพื่อเป็นพระเป็นนักพรต และอยู่อย่างสันโดษตามภูเขาและแม่น้ำสายเพื่อกล่อมเกลาจิตใจ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการของพลังแห่งฟ้าดิน หรือไม่ก็เป็นเหมือนจางซานเฟิงกับตงฟางซั่วที่เล่นเกมชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ แต่ที่เหมือนกับเยี่ยเทียนนั้น กลับพบเห็นได้น้อยมาก
โก่วซินเจียก็เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวของเยี่ยเทียน ตัวเองและคนอื่นๆ ไม่สามารถทำได้ จึงรีบเอ่ยถามทันที “ศิษย์น้องเล็ก หลังจากที่จิตของเธอถึงขั้นฝึกสู่ความว่างเปล่าแล้ว มีอะไรตรงไหนที่ไม่เหมือนกันบ้าง?”
ทุกคนต่างก็มีความคิดและสติปัญญาเป็นของตัวเอง ความคิดแบบนี้คนทั่วไปจะเรียกว่ากาย ปราณและจิต แต่จากมุมมองทางด้านวิทยาศาสตร์แล้ว ความคิดก็คือคลื่นสมองนั่นเอง
ตอนที่คนเราใช้ความคิด สนามแม่เหล็กจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดเป็นกระแสไฟของสิ่งมีชีวิต ซึ่งตามหลักของลัทธิเต๋าแล้วก็คือจิตของคนอย่างหนึ่ง
การบำเพ็ญตบะตามลัทธิเต๋านั้น พิถีพิถันในเรื่องของกาย ปราณและจิต จุดตันเถียนบนอยู่จุดกลางระหว่างงเส้นลมปราณตูทั้งสองเส้น เป็นศูนย์รวมของการฝึกจิต จุดตันเถียนกลางอยู่ตรงจุดถันจงบริเวณทรวงอก เป็นศูนย์รวมพลังปราณ จุดตันเถียนล่างจุดกวนหยวนของเส้นลมปราณเริ่น ต่ำกว่าไต้สะดือลงมาสามนิ้ว เป็นศูนย์รวมของการเก็บพลังลมปราณ
ทั้งสามอย่างนี้ประกอบเสริมซึ่งกันและกัน กลายเป็นระบบของการฝึกฝนอย่างหนึ่งของร่างกายในลัทธิเต๋า หลังจากการฝึกฝนเข้าสู่ขั้นฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าแล้ว ความคิดของคนเรา ก็จะกลายเป็นจิตแห่งหยาง ซึ่งหมายถึงจิตวิญญาณนั่นเอง
ลัทธิเต๋ามีตำนานมากมายเกี่ยวกับจิตแห่งหยาง
อย่างเช่นเถี่ยไกว๋หลี่ หนึ่งในแปดเซียน เดิมทีเขาเป็นหนุ่มหน้าตาดี แต่เพราะถอดจิตออกจากร่างและกลับเข้าร่างไม่ทัน สุดท้ายจึงได้นำจิตมาอาศัยอยู่ในร่างของคนแก่พิการที่เพิ่งตายได้ไม่นาน ถึงได้มีท่าทางมอมแมมอย่างที่เห็น
และเหมือนอย่างศาสนาพุทธ ความจริงก็มีการฝึกจิตมาตลอด และตามตำนานเล่าขานการกลับชาติมาเกิดของพระดาไลลามะของพระพุทธศาสนาในธิเบตที่คนทั่วโลกไม่เคยรู้มาตลอด แท้จริงแล้วก็คือหลังจากที่คนเราตายแล้วจิตยังไม่ดับ จึงผ่านการเวียนว่ายตายเกิดในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเหมือนกับตำนานของเถี่ยไกว๋หลี่ ถึงวิธีการจะแตกต่างกันแต่ก็ได้ผลสรุปเหมือนกัน
เมื่อมาถึงยุคปัจจุบัน วิทยาศาสตร์มีความเจริญก้าวหน้า พลังแห่งฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง แม้ว่าคนที่มีพรสวรรค์ไม่เหมือนใครอย่างหลี่ซั่นหยวน ก็ยังฝึกได้เพียงขั้นหลอมปราณสู่จิตเท่านั้น จวบจนสุดท้ายของชีวิตก็ไม่สามารถข้ามด่านของการฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าได้
เยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้าโก่วซินเจียนี้สามารถพูดได้ว่าเขาคือคนเดียวที่สามารถฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าได้ ซึ่งมีความสำคัญมากสำหรับเขาที่จะสามารถเข้าไปสู่ขั้นนี้ได้หรือไม่ คนที่ไม่สนใจต่อเรื่องราวของโลกภายนอกอย่างเขาจึงมีสีหน้าที่ตื่นเต้นอยู่บ้าง
“ศิษย์พี่ใหญ่ จิตของผมนั้นยังมั่วกันอยู่เลย เมื่อเทียบกับจิตวิญญาณที่ออกจากร่างจริงๆ แล้วยังมีความแตกต่างกันมาก”
เยี่ยเทียนฝืนยิ้ม หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดต่อ “แต่การใช้จิตจะต้องใช้ปราณชีวิตแท้ในการใช้พลังปราณชีวิตต้นกำเนิดถึงจะยิ่งราบรื่น นอกจากนี้จิตไม่ได้ถูกจำกัดด้วยพื้นที่ สามารถทะลุผ่านกำแพงได้ ตรงจุดนี้ปราณชีวิตแท้นั้นยากที่จะทำได้…”
การสนทนาของเยี่ยเทียนในเวลานี้ ถ้าหากคนธรรมดาทั่วไปได้ยินเข้า ก็เหมือนกำลังฟังเรื่องของเทพนิยายอยู่ การเดินผ่านทะลุกำแพง ก็คือวิชาหายตัวเดินทะลุกำแพงไม่ใช่เหรอ? อย่าง ถู่สิงซุน ในเรื่องสถาปนาเทวดา ก็ถนัดใช้วิชานี้มากที่สุด
หลังจากฟังการอธิบายอย่างละเอียดของเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียจึงถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า “น่าเสียดาย การฝึกฝนวรยุทธจะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ปราณชีวิตแท้ของเธอสูญสิ้น เกรงว่าจะไม่สามารถเข้าไปสู่ขั้นฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าได้จริงๆ”
เส้นลมปราณของร่างกายคนเรา ทุกจุดจะมีบทบาทที่เกี่ยวข้องกัน สำหรับคนธรรมดาทั่วไปจะไม่เห็นชัดเจนขนาดนั้น แต่สำหรับคนที่ฝึกฝนวรยุทธ กลับให้ความสำคัญกับจุดนี้เป็นอย่างมาก
ก็เหมือนกับโก่วซินเจีย ก่อนหน้านี้ถึงแม้เขาจะเข้าสู่ขั้นหลอมปราณสู่จิตแล้ว แต่เขาได้สูญเสียแขนซ้ายไป ทำให้เขาไม่สามารถเดินวรยุทธให้ต่อเนื่องกันได้
หลังจากรู้จักกับเยี่ยเทียน โก่วซินเจียถึงได้หาเคล็ดวิชาลับจากอาจารย์ได้ เพื่อมาเสริมส่วนที่ขาดไป บวกกับผลที่เกิดขึ้นจากการวบรวมค่ายกลชุมนุมพลังเอาไว้ทั้งสองที่ ทำให้วรยุทธของเขามั่นคงได้ในที่สุด
ตอนนี้จุดตันเถียนทั้งสองของเยี่ยเทียนได้ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น ทำให้จิตของเขาก้าวหน้าเป็นอย่างมาก แต่กลัวว่าจะไม่สามารถเอาไปเทียบกับยอดฝีมือที่อยู่ขั้นฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าเหล่านั้นในสมัยโบราณได้จริงๆ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมเป็นคนเปิดเผยความลับของสวรรค์ก่อน สามารถรักษาชีวิตนี้ไว้ได้ ก็ถือว่าปรมาจารย์สูงสุดของลัทธิเต๋าได้คุ้มครองผมแล้ว”
ถึงแม้ตอนนี้เยี่ยเทียนจะรู้สึกเสียดาย แต่ก็เหมือนอย่างที่เขาพูด ครั้งนี้สามารถช่วยชีวิตแม่ให้ปลอดภัย เยี่ยเทียนก็พอใจมากแล้ว
ส่วนคนที่ต้องตายท่ามกลางภัยพิบัติ เยี่ยเทียนก็ได้แต่ใช้ข้อโต้แย้งที่ว่า “ฟ้าดินนั้นไร้เมตตา ปฏิบัติคล้ายดั่งสรรพสิ่งเป็นหุ่นฟาง” มาปลอบใจตัวเองให้รู้สึกสบายใจ และถือว่าในชีวิตคนเราก็ต้องเจอเรื่องยากลำบากสักครั้ง
โจวเซี่ยวเทียนที่ไม่ได้พูดมาตลอด จู่ๆ ก็เอ่ยถามว่า “อาจารย์ อาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังของอาจารย์จะทำยังไงครับ? สามารถใช้พลังจิตรักษาได้ไหมครับ?”
ถึงแม้จะมีอายุพอๆ กับเยี่ยเทียน แต่โจวเซี่ยวเทียนก็เป็นคนที่จริงใจมาก และเขาก็ได้ปฏิบัติกับเยี่ยเทียนเป็นอาจารย์จริงๆ ในใจจึงรู้สึกกังวลอาการบาดเจ็บของเขาอยู่ตลอดเวลา
“ใช่ๆ ศิษย์น้องเล็ก พลังจิตของเธอสามารถรักษาบาดแผลได้ไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเซี่ยวเทียน โก่วซินเจียและคนอื่นๆ จึงอดหน้าแดงไม่ได้ พวกเขามัวแต่สนใจโลกใบใหม่ของเยี่ยเทียนที่เพิ่งจะเข้าป จนลืมอาการบาดเจ็บของเขาไปเลย
“น่าจะได้นะ อย่างน้อยก็ใช้พลังจิตห่อหุ้มบาดแผลไว้ได้ ความเจ็บปวดแบบนั้นจึงสามารถลดลงไปได้มาก”
เยี่ยเทียนพยักหน้า พลางพูด “แต่จิตของผมยังฝึกไม่นิ่งพอ ตอนที่จิตออกจากร่างก่อนหน้านี้ก็ได้รับความเสียหายบางส่วน จึงยังไม่เข้าใจประโยชน์แท้จริงของมัน”
ขนาดคนโบราณที่มีความสามารถสูง หลังจากที่เข้าสู่ขั้นฝึกจิตสู่ความว่างเปล่า ก็ยังต้องเก็บตัวถือศีลเพื่อยังสภาพของจิตแห่งหยางเอาไว้ รอจนกระทั่งฝึกจิตแห่งหยางให้มั่นคง แล้วถึงลองถอดจิตออกจากร่าง
แต่ตอนนั้นเยี่ยเทียนยังไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ แล้วจึงเผลอถอดจิตออกร่างอย่างกะทันหัน ถ้าหากเขาเรียกกลับมาไม่ทันการ เกรงว่าคงจะกลายเป็นผู้ป่วยสภาพผักเรื้อรังไปแล้ว
“น่าเสียดาย อาจารย์ก็ไม่ได้มีหนังสือคัมภีร์โบราณของการฝึกจิตสู่ความว่างเปล่า ไม่อย่างนั้นพอถึงเวลาก็สามารถเอามาให้เธอทำความเข้าใจเสียหน่อย”
หนังสือคัมภีร์โบราณของเต๋าที่คนโบราณหลงเหลือเอาไว้ ถึงแม้จะอธิบายเรื่องจิตแห่งหยางออกจากร่าง แต่เรื่องการฝึกฝนกลับคลุมเคลือไม่ชัดเจนเป็นอย่างมาก จนมาถึงยุคหลังก็ยิ่งมีคนเข้าใจน้อยขึ้นเรื่อยๆ พอนานวันเข้าก็ขาดการสืบทอดในที่สุด
“ศิษย์พี่ใหญ่ รอให้อาการบาดเจ็บของผมดีขึ้นก่อน แล้วผมจะลองไปเดินเล่นแถวภูเขาและแม่น้ำดู บางทีที่นั่นอาจจะค้นหาระบบการถ่ายทอดทางด้านความคิดของลัทธิขงจื้อที่สูญหายไปเจอก็เป็นได้”
เยี่ยเทียนถอนหายใจ ถึงแม้ในหัวของเขาจะได้รับการสืบทอดวิชาที่ลึกซึ้งและมหัศจรรย์ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นวิชาการโจมตีแบบเต๋า แต่การฝึกฝนวิชายุทธกลับไม่มากพอให้เขาฝึกขั้นฝึกจิตสู่ความว่างเปล่า แต่ถ้าจะใช้วรยุทธให้มากกว่านี้ก็กลัวว่าจะถูกตัดขาดได้
เมื่อได้ยินคนสองสามคนพูดถึงการฝึกวรยุทธ หนานไหวจิ่นจึงรีบพูดอย่างกะทันหัน “ศิษย์น้องเยี่ย รอให้แผลของเธอดีขึ้นแล้ว ก็ลองไปเดินเล่นแถวภูเขาชิงเฉิงดูสิ บางทีอาจจะได้ประโยชน์อะไรกลับมา!”
“เอ๋? ศิษย์พี่หนาน เหตุใดถึงพูดเช่นนี้?” เยี่ยเทียนย้ายสายตามาที่หนานไหวจิ่น สำหรับคนคนนี้ เขาไม่เคยมองได้ทะลุปรุโปร่งเลย
ตอนที่เพิ่งรู้จักกันครั้งแรก เยี่ยเทียนเคยลองทำนายดวงชะตาให้เขา กลับพบว่าดวงชะตาของเขาคลุมเคลือเหมือนกับอวี๋ชิงหย่ามาก เหมือนกับถูกยอดฝีมือใช้วิชาตัดขาดความลับของสวรรค์ แสดงว่าแต่ก่อนคงจะไปเจอโชคอะไรมาแน่นอน
“แค่กๆ ศิษย์น้องเยี่ย เธออย่าถามให้มากเลย ฉันพูดมากกว่านี้ไม่ได้จริงๆ!”
หนานไหวจิ่นกระแอม แล้วจึงพูดว่า “ทุกท่านล้วนเป็นมิตรสหายของฉันผู้แซ่หนานคนนี้ ผู้แซ่หนานไม่ควรปิดบังเรื่องนี้ แต่ฉันรับปากผู้อาวุโสท่านนั้นไว้แล้ว ว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ไปตลอดชีวิต หวังว่าทุกท่านจะให้อภัย”
หนานไหวจิ่นในเวลานี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจ และยังไม่ต้องพูดถึงเขาที่ผูกมิตรกับโก่วซินเจีย ต่อให้ หลี่ซั่นหยวนที่มีบุญคุณกับเขาในตอนนั้น เขาเองก็ไม่ควรปิดบังอะไร เพียงแต่คำสาบานในตอนนั้น กลับบังคับให้เขาไม่อาจพูดความจริงออกมาได้
ทุกคนต่างก็มีความลับเป็นของตัวเอง เยี่ยเทียนก็ยังปิดบังเรื่องที่เขาสืบทอดวิชามาจากสำนักเสื้อป่านต่อศิษย์พี่พวกนี้เลย หลังจากได้ยินหนานไหวจิ่นพูดเช่นนี้ เขาจึงรีบพูดด้วยสีหน้าละอายใจทันที “ศิษย์พี่หนาน ศิษย์น้องผิดเอง งั้นเรื่องนี้ก็จะไม่พูดแล้ว!”
“เฮ้อ ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ผู้อาวุโสท่านนั้นก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน”
หนานไหวจิ่นส่ายหน้า พลางพูด “ช่างเถอะ รอกลับถึงฮ่องกง แล้วฉันจะไปเดินที่นั่นดูสักหน่อย ถ้าหากโชคดีหาผู้อาวุโสท่านนั้นเจอ ถึงตอนนั้นปัญหาก็จะคลี่คลายไปเอง”
“ดีขนาดนี้เชียว!” โก่วซินเจียลุกขึ้นยืนแล้วพูด “ได้เลย ศิษย์น้องเล็กเธอพักผ่อนเยอะๆ มีเรื่องอะไรรอให้ลงจากเครื่องบินก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เรื่องความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับหนานไหวจิ่น ทุกคนที่อยู่ในนี้จึงไม่มีใครถามอีก
แต่พวกเขาก็พอจะฟังออกอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสที่หนานไหวจิ่นรู้จัก จะมีวรยุทธในขั้นฝึกจิตสู่ความว่างเปล่า ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่พูดถึงผู้อาวุโสท่านนั้น แล้วก็คงไม่แนะนำให้เยี่ยเทียนไปเดินเล่นที่ภูเขาชิงเฉิง
ถึงแม้จะเป็นเครื่องบินเหมาลำ แต่จากนิวยอร์กไปฮ่องกงก็ต้องใช้เวลาสิบกว่าชั่วโมง
เนื่องจากช่วงเวลานี้เยี่ยเทียนกำลังใช้พลังจิตปกป้องอาการบาดเจ็บมาตลอดทาง พอตอนที่ลงจากเครื่อง ทั้งตัวของเขาจึงมีทีท่าอ่อนล้าเป็นอย่างมาก จึงถูกถังเหวินหย่วนส่งรถที่เตรียมอุปกรณ์การรักษาอย่างครบครันคันหนึ่งมาส่งเขาไปคฤหาสน์ที่อยู่บนไหล่เขาโดยตรง
เนื่องจากคฤหาสน์ของเยี่ยเทียนมีความแปลกประหลาดเกินไป รถพยาบาลจึงจอดแค่หน้าประตู แล้วโจวเซี่ยวเทียนกับจั่วเจียจวิ้นสองคนก็ได้หามเยี่ยเทียนเข้าไป
“หืม? เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?”
เยี่ยเทียนที่นอนอยู่บนเปลกว้าง พอเข้ามาในคฤหาสน์ สีหน้าก็เปลี่ยนทันที จั่วเจียจวิ้นที่อยู่ข้างหลังจึงรีบพูดทันที “ศิษย์น้องเล็ก เป็นอะไร? สะเทือนถึงแผลใช่ไหม?”
“เปล่า แผลของผมไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แล้วจึงพูดว่า “ศิษย์พี่จั่ว ปราณวิเศษในคฤหาสน์นี้มีประโยชน์ต่อผมมาก อย่าเพิ่งพาผมเข้าห้อง แต่พาผมไปอยู่ที่จุดชมวิวตรงนั้นก่อน!”
เมื่อเห็นท่าทางของลูกชายมีสภาพเป็นแบบนี้แล้ว ยังอยากจะไปที่จุดชมวิวอะไรอีก ซ่งเวยหลันจึงอดพูดไม่ได้ “เสี่ยวเทียน ลูกนั่งเครื่องบินมาสิบกว่าชั่วโมงแล้ว ต้องพักผ่อนทานอะไรเสียก่อนไม่ใช่เหรอลูก?”
“แม่ครับ พวกท่านเข้าบ้านไปก่อน คืนนี้อย่าออกมา ผมก็มีเหตุผลของผมครับ!”
เยี่ยเทียนไม่อยากให้แม่พูดมากกว่านี้ หลังจากสั่งไปหนึ่งประโยคแล้วจึงรีบพูดเร่งรัดว่า “ศิษย์พี่จั่ว เซี่ยวเทียน รีบหามฉันไปที่จุดชมวิว!”
หลังจากเพิ่งจะเข้ามาในคฤหาสน์ เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าจิตของตัวเองที่อ่อนแอมาก ดูเหมือนจะได้รับอาหารเสริมที่ล้ำค่าก็ไม่ปานกลืนกินปราณวิเศษที่อยู่ในบ้านหลังนี้อย่างบ้าคลั่ง
เพียงแค่ระยะเวลาสองสามนาทีสั้นๆ เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าจิตของตัวเองที่เดิมทีเหนื่อยล้าทนไม่ไหว ตอนนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางส่วนโดยที่เขาก็พูดไม่ถูก
……………………………………………..