หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 672 โลกียะโลก
ถึงแม้แขนและมือทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนจะขยับได้ แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ว่า พลังงานที่ปกป้องแผลที่บาดเจ็บนั่นมีจำนวนจำกัด อย่างน้อยที่สุดก็ไม่สามารถออกแรงที่แขนของตัวเองได้
ดังนั้นเยี่ยเทียนถึงอยากให้อวี๋ชิงหย่าลองประคองตัวเองให้ลุกขึ้นมา แต่ไม่คิดว่าเธอจะตื่นเต้น แล้วก็วิ่งไปบอกพ่อกับแม่ เหลือเยี่ยเทียนที่นอนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับใบหน้าที่จะร้องไห้ก็ไม่ได้จะหัวเราะก็ไม่ออก
“เสี่ยวเทียน ลูก…มือลูกขยับได้แล้วเหรอ?”
แค่เวลาเพียงครู่เดียว คนที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ทุกคนก็กรูกันเข้ามา ซ่งเวยหลันเข้าไปหาเยี่ยเทียนก่อนเป็นคนแรก เธอมีใบหน้าที่ตึงเครียด เพราะกลัวว่าอวี๋ชิงหย่าจะเข้าใจผิดและบอกข้อมูลผิดไปด้วย
“แม่ครับ แม่จะเครียดไปทำไม? แต่ก่อนมือของผมก็ขยับได้ไม่ใช่เหรอ!”
เยี่ยเทียนสามารถสัมผัสความตึงเครียดของแม่ได้ จึงรีบยิ้มพูด “อาการบาดเจ็บของผมสามารถฟื้นกลับมาเป็นเหมือนเดิม พวกคุณไม่ต้องเครียดขนาดนั้นหรอก อ้อใช่ เซี่ยวเทียน นายประคองฉันขึ้นมาหน่อย”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียที่ยังไม่ทันถามเยี่ยเทียนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อคืน จึงรีบพูดห้าม “ศิษย์น้องเล็ก จะประมาทไม่ได้ กระดูกสันหลังของเธอแตกหักสามส่วน ถ้าหากผิดตำแหน่งทั้งหมด เกรงว่าจะรักษาไม่ได้อีกแล้ว”
โก่วเซินเจียเดิมทีก็มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม เกี่ยวกับแพทย์แผนตะวันตก เขาแค่ดูผ่านๆ ตาก็เข้าใจภาพของเอ็กซเรย์พวกนั้นทั้งหมด เขารู้ว่าเยี่ยเทียนเจ็บหนักมาก ต่อให้มีจิตดั้งเดิมคอยปกป้องร่างกาย ก็ไม่ควรจะประมาทเลินเล่อแม้แต่นิดเดียว
“ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่เป็นไร ผมอยากลองดู และวางน้ำหนักอยู่ที่ตัวของเซี่ยวเทียน”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าเล็กน้อย ความจริงเขาก็มีความกลัวอยู่ในใจ กลัวว่าตัวเองจะไม่อาจลุกขึ้นได้อีก ดังนั้นถึงได้ยืนกรานอยากจะลองลุกขึ้นดู
“ก็ได้ เธอระวังหน่อยนะ!” โก่วซินเจียส่ายหน้าอย่างจนใจ แล้วจึงส่งสายตาให้โจวเซี่ยวเทียน
“อาจารย์ อาจารย์วางมือไว้บนไหล่ของผม”
เมื่อเดินมาถึงหน้าเปลหามของเยี่ยเทียน โจวเซี่ยวเทียนจึงใช้สองมือจับไปที่ซี่โครงล่างของเขา หลังจากค่อยๆ ยกร่างกายของเขาขึ้นมาแล้ว จึงรีบเอาตัวแนบเข้าไป ใช้ไหล่ขวาแบกเยี่ยเทียน ขณะเดียวกันก็ใช้มือขวาโอบไปที่หลังของเขา
“ในที่สุดก็ยืนได้แล้ว!”
เยี่ยเทียนคิดว่าบนตัวของเขาจะมีบาดแผลมากมาย ตอนที่เท้าทั้งสองเหยียบลงไปบนพื้น จึงอดมีสีหน้าที่ตื่นเต้นไม่ได้ ว่ากันว่าคนที่ป่วยหนักถึงจะรู้ถึงความสำคัญของสุขภาพที่แข็งแรง ตอนนี้เยี่ยเทียนก็มีอารมณ์เช่นนี้
เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงที่ไหล่ของโจวเซี่ยวเทียน เยี่ยเทียนจึงตบเขาเบาๆ พลางพูด “เซี่ยวเทียน นายทำตัวต่ำๆ หน่อย ให้ฉันได้เหยียบเต็มที่!”
“อาจารย์ จะไหวเหรอครับ?” โจวเซี่ยวเทียนได้ยินจึงสับสน พลางมองเยี่ยเทียนด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
“เหลวไหล มีหรืออาจารย์ของนายจะทำอะไรไม่ได้?” เยี่ยเทียนถลึงตามอง จะว่าไปแล้วถึงคนจะเต็มบ้าน แต่เขาก็สามารถใช้ลูกศิษย์คนนี้ได้คนเดียว
โจวเซี่ยวเทียนลดตัวต่ำลงเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยเต็มใจ สองเท้าของเยี่ยเทียนรู้สึกถึงความหนัก แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
“ยังไม่ได้ สงสัยจะต้องพักรักษาตัวอีกระยะหนึ่ง!”
น้ำหนักของร่างกาย ทำให้พลังของจิตที่อยู่ภายในร่างกายของเยี่ยเทียนไม่สามารถยึดกระดูกสันหลังที่หักของเขาได้ เยี่ยเทียนก็ไม่ดื้อดึง แล้วรีบย้ายน้ำหนักกลับไปบนไหล่ของโจวเซี่ยวเทียน
สำหรับเรื่องที่ลุกยืนไม่ได้ ตัวของเยี่ยเทียนก็พะว้าพะวงอยู่เหมือนกัน แต่เขากลับไม่รู้ว่า ถ้าหากหมอเวย์แมนมาเห็นสภาพของเขาในตอนนี้ จะต้องคิดว่าเยี่ยเทียนเป็นลูกนอกสมรสของพระเจ้าแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้รับการสนใจดูแลขนาดนี้
อาการบาดเจ็บบนตัวของเยี่ยเทียน อย่าว่าแต่ลุกขึ้นยืนเลย แม้แต่นั่งก็ยังนั่งไม่ได้ หนำซ้ำอาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังก็ยังมีผลต่อประสาทศูนย์กลาง ตามหลักแล้ว ร่างกายท่อนล่างของเยี่ยเทียนควรจะไม่มีความรู้สึก
ดังนั้นการแสดงออกของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ จึงมากพอที่จะล้มล้างความรู้เรื่องกระดูกสันหลังของมนุษย์ของพวกหมอฝีมือเยี่ยม และเกรงว่าองค์กรลึกลับของพื้นที่ Area 51 คงจะทำทุกวิถีทางเพื่อนำตัวเยี่ยเทียนไปทำการวิจัย
“แม่ครับ แม่เป็นอะไร?” ตอนที่เยี่ยเทียนกลับไปนอนในเปลอีกครั้ง กลับพบว่าแม่กำลังเช็ดน้ำตาอยู่
“ปะ…เปล่า แม่แค่ดีใจ!”
ถึงแม้ลูกชายจะก้าวไม่สำเร็จ แต่การลุกขึ้นของเขา ก็ทำให้ซ่งเวยหลันมองเห็นความหวังในการฟื้นฟูของเยี่ยเทียน เธอจึงร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ
“เฮ้อ ไม่รู้ว่าต้องนอนอีกนานแค่ไหน”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางพูด “ศิษย์พี่รอง รบกวนพี่กับเซี่ยวเทียนช่วยหามผมกลับไปที่ห้องที อีกเดี๋ยวพระอาทิตย์ส่อง จะอยู่ตรงนี้ไม่ไหวแล้ว”
ช่วงเดือนกันยายนของฮ่องกง กำลังเป็นช่วงที่ร้อนอบอ้าวที่สุดของปี ถึงแม้ค่ายกลชุมนุมพลังจะสามารถปรับอุณหภูมิในคฤหาสน์หลังนี้ได้ แต่ถ้าถูกแสงอาทิตย์ส่องมาที่ตัว ความรู้สึกแบบนั้นก็ไม่น่าสบายเท่าไร
หลังจากกลับเข้าไปในคฤหาสน์แล้ว ซ่งเวยหลันมีความปีติ เข้าครัวไปทำข้าวต้มให้ลูกชายด้วยตัวเอง เยี่ยตงผิงเห็นโก่วซินเจียและคนอื่นๆ คอยอยู่ไม่ห่างกายของเยี่ยเทียน เขาจึงดึงอวี๋ชิงหย่าให้ไปช่วยงานอย่างรู้จักกาละเทศะ
“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกพี่อย่ามองผมแบบนี้สิ”
เมื่อเห็นสายตาของโก่วซินเจียและคนอื่นๆ เยี่ยเทียนจึงยิ้มเจื่อนๆ “เมื่อคืนผมกำลังเข้าฌานระดับลึก เกิดเรื่องอะไรขึ้น ผมก็ไม่รู้เลยสักนิดและยังอยากจะถามพวกพี่อยู่เหมือนกัน”
“เธอไม่รู้สักนิดเลยเหรอ?”
จั่วเจียจวิ้นเกือบสะดุ้งโหยง เมื่อวานเขาเสียหายมากที่สุด เพราะปราณชีวิตที่อุตส่าห์ฝึกมานับแรมปี กลับถูกเยี่ยเทียนดึงดูดเข้าไปทั้งหมด ทำให้จั่วเจียจวิ้นเสียใจไม่หยุด
“ศิษย์น้องรอง เธออย่าเพิ่งร้อนใจ”
โก่วซินเจียโบกมือแล้วจึงพูดว่า “เยี่ยเทียน เมื่อวานจิตของเธอออกจากร่าง แล้วก็ดูดเอาพลังปราณชีวิตที่อยู่ในค่ายกลชุมนุมพลังจนหมดเกลี้ยง นอกจากนี้ปราณวิเศษที่อยู่ท่ามกลางภูเขาก็ถูกเธอดูดซับเข้าไปจนหมดเหมือนกัน ร่างกายของเธอตอนนี้รู้สึกอึดอัดตรงไหนบ้างไหม?”
พูดตามจริง โก่วซินเจียไม่เชื่อว่าพลังปราณชีวิตมหาศาลเหล่านี้จะถูกเยี่ยเทียนดูดซับไปทั้งหมด ด้วยพลังของคนคนเดียว จะรับเอาพลังปราณชีวิตมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร? จากความคิดของเขา บางทีอาจจะมีสาเหตุอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น
“พลังปราณชีวิตของค่ายกลชุมนุมพลังถูกผมดูดไปจนหมด?”
หลังจากได้ยินคำพูดของโก่วซินเจีย เยี่ยเทียนก็ตื่นตะลึงอยู่บ้าง เพราะเขาเป็นคนสร้างค่ายกลชุมนุมพลังมากับมือตัวเอง ซึ่งมันสามารถเปลี่ยนพลังปราณชีวิตของทะเลที่รุนแรงให้กลายเป็นปราณวิเศษได้ และความเข้มข้นของปราณวิเศษนี้ ค่ายกลชุมนุมพลังที่อยู่ปักกิ่งก็ยากที่จะเทียบได้
“ถูกแล้ว ตอนนี้ปราณวิเศษพวกนี้ เพิ่งจะแปรเปลี่ยนสภาพมา” โก่วซินเจียพยักหน้า
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้…”
เยี่ยเทียนใช้พลังจิต แล้วจึงตรวจพบปราณวิเศษภายในห้องที่มีอยู่อย่างเบาบาง จากนั้นจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ทั้งหลาย ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แต่จิตดั้งเดิมที่อยู่ภายในร่างกายของผมมันกระชับรวมกันไม่น้อย และมีประโยชน์ต่ออาการบาดเจ็บของผมมาก เมื่อครู่ที่ผมสามารถลุกขึ้นได้ สาเหตุก็มาจากเจ้านี่!”
ถึงแม้จะก้าวไม่ได้สักก้าว แต่เยี่ยเทียนเชื่อว่า ต่อไปถ้าใช้พลังจิตในการหล่อเลี้ยงทั้งวันทั้งคืน อาการบาดเจ็บจะต้องฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิมแน่นอน
กระทั่งเยี่ยเทียนยังมีความรู้สึกว่า การใช้พลังจิตในการหล่อเลี้ยงร่างกายตัวเองทุกวัน ได้ทำให้ร่างกายของเขาแข็งแรงมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าปราณชีวิตแท้ของตัวเองยังคงอยู่ได้อย่างไร และมันได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพไหม?
“แค่กระชับขึ้นแค่นี้?”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียและคนอื่นต่างก็ตกใจอ้าปากค้าง เมื่อวานก่อเรื่องจนใหญ่โต แต่พลังจิตของเยี่ยเทียนได้แต่กระชับตัวแน่น อย่างนั้นพลังแห่งฟ้าดิน ก็มีประโยชน์เพียงแค่นี้เองหรือ?
“ใช่ เป็นแบบนี้จริงๆ” เยี่ยเทียนพยักหน้าแล้วพูด “เมื่อครู่ผมลองตรวจสอบดูแล้ว ยังมีระยะห่างจากสภาพของจิตแห่งหยางอีกไกลมาก”
ตามบันทึกของคัมภีร์โบราณ จิตแห่งหยางในตอนแรก จะมีลักษณะเหมือนคนตัวขาว หน้าตาคล้ายกับตัวเอง แต่จิตของเยี่ยเทียนนั้นแตกต่างกันมาก แม้แต่รูปร่างมนุษย์ก็ไม่มี
หลังจากจิตแห่งหยางเป็นรูปเป็นร่างจริงๆ จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ดั่งใจนึก ทำให้คนรอบข้างสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เยี่ยเทียนในตอนนี้ไม่มีความสามารถแบบนั้น ได้แต่อาศัยสัญชาตญาณของพลังจิตที่บันทึกใว้ในคัมภีร์โบราณในการขยับเขยื้อนตัว
หนานไหวจิ่นถอนหายใจแล้วจึงพูดว่า “ไม่แปลกใจเลยที่ยอดฝีมือเหล่านั้นจะปลีกวิเวกอยู่อย่างสันโดษ น่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้!”
“ศิษย์น้องหนานไหว คำพวกนี้อธิบายว่าอย่างไร?”
โก่วซินเจียมองไปทางหนานไหวจิ่นแล้วจึงพูด “เกี่ยวอะไรกับการอยู่อย่างสันโดษในป่าลึก ถ้าหากยอดฝีมือวรยุทธสูงจริง พวกเขาก็ต้องสามารถสร้างค่ายกลแบบนี้ในโลกมนุษย์แล้วก็ฝึกวรยุทธได้เหมือนกัน!”
“พี่หยวนหยาง มันไม่เหมือนกัน”
หนานไหวจิ่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “คนที่บำเพ็ญเพียร ทุกคนต่างก็ตั้งมั่นพลังจิตไปที่สิ่งนี้ พวกเขาจะเอาเวลาที่ไหนไปสนใจเรื่องทางโลก และเรื่องของกำลังทรัพย์และเส้นสายเหมือนอย่างศิษย์น้องเยี่ย พวกเขาก็ทำไม่ได้”
หนานไหวจิ่นหยุดไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อ “เมื่อวานทุกคนก็เห็นแล้ว ตอนที่ศิษย์น้องเยี่ยกำลังฝึกวรยุทธก็เกิดเหตุการณ์ประหลาด หากถูกใครเห็นเข้าก็จะยุ่งยากมาก หรือบางทีนี่คงเป็นสาเหตุที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในป่าลึก!”
ถึงแม้หนานไหวจิ่นจะพูดไม่ถูกทั้งหมด แต่ก็ไม่ต่างกันมาก
คนที่ฝึกถึงขั้นจิตแห่งหยางออกจากร่างได้จริงๆ นั้น เวลาที่ฝึกฝนทั้งวันทั้งคืน พลังจิตจะออกจากร่างเพื่อดูดซับพลังแห่งฟ้าดิน จิตดั้งเดิมของพวกเขาเสมือนของจริง ก็คือคนธรรมดาสามารถมองเห็นได้
เหมือนกับในสมัยโบราณที่คนธรรมดาได้พบกับเซียน ส่วนใหญ่ก็เพราะได้เห็นพลังจิตของคนที่ฝึกฝนวิชาจนสามารถมุดดินบินไปบนท้องฟ้าได้ และสิ่งนี้ยังเป็นเทพนิยายในตำนานที่หลงเหลือไว้ให้คนรุ่นหลัง
หนานไหวจิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยพูด “ศิษย์น้องเยี่ย ต่อไปเวลาเธอฝึกวรยุทธก็อยู่ในบ้านเนี่ยแหละ ตอนนี้วิทยาศาสตร์มีความเจริญก้าวหน้ามาก ถ้าหากถูกคนจับตามอง คงจะยุ่งยากไม่น้อย!”
ความจริงไม่เพียงแต่ฐานทัพลึกลับที่วิจัยในพื้นที่ Area 51 ของอเมริกาเท่านั้น ประเทศอื่นๆ ก็มีหน่วยงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาศักยภาพของมนุษย์เช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้เปิดเผยความลับให้กับคนภายนอกได้ล่วงรู้เท่านั้นเอง
การแสดงความสามารถของเยี่ยเทียนก่อนหน้านั้น ถึงแม้จะน่าตื่นตามากพอ แต่ก็ยังไม่พอที่จะทำให้บางประเทศและกองกำลังมุ่งเน้นให้ความสนใจ แต่ถ้าหากเรื่องที่จิตดั้งเดิมของเขากลายเป็นรูปร่างได้ถูกเผยแพร่ออกไป เกรงว่าจะไม่มีความสงบสุขนับตั้งแต่บัดนี้
“ผมรู้แล้ว ขอบคุณศิษย์พี่หนานครับ”
เยี่ยเทียนได้ยินจึงพยักหน้า โบราณว่าเซียนของยุทธภพยิ่งแก่ก็ยิ่งขี้ขลาด นับตั้งแต่เข้ามาสู่โลกใบใหม่นี้ เยี่ยเทียนถึงได้พบว่าแต่ก่อนตัวเองเป็นเพียงกบในกะลา ที่ยังไม่รู้ความกว้างขวางของโลกภายนอก
ระบบทางลัทธิเต๋าหลังจากที่เหล่าจื่อขี่ควายออกด่านก็ได้เป็นตำนานแพร่หลายต่อมา เยี่ยเทียนไม่เชื่อว่ามีเพียงตัวเองที่โชคดีได้รับวิชาโดยบังเอิญ บนโลกใบนี้อาจจะมีคนที่เหมือนเขาอีก เพียงแต่หลบซ่อนตัวไม่ออกมาก็เท่านั้นเอง
“ศิษย์น้องเล็ก เธอก็รักษาตัวให้ดีๆ วันนี้ฉันจะกลับประเทศจีนเพื่อไปภูเขาชิงเฉิงสักรอบ หวังว่าท่านอาวุโสท่านนั้นจะยังมีชีวิตอยู่ แล้วช่วยถ่ายทอดระบบทางด้านความคิดของลัทธิขงจื้อ!”
ถึงแม้หนานไหวจิ่นจะปิดบังเรื่องในอดีตและไม่ยอมพูดมาตลอด แต่นันก็เป็นเพราะคำสาบานที่ได้พูดไว้ตอนนั้น ซึ่งไม่ได้มีเจตนาที่จะปิดบังทุกคนแต่อย่างใด
……………………………………………….