หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 676 ความทรงจำในอดีต
“เยี่ยเทียน เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ นะ!” ถังเหวินหย่วนหยุดฝีเท้าลง ร้องอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“เหล่าถัง เรื่องนี้ของผมสำคัญกว่า คุณเดินเล่นอยู่ในสวนก่อน เดี๋ยวผมก็มาแล้วครับ!”
เยี่ยเทียนเวลานี้ไหนเลยจะมีใจหยุดคุยกับถังเหวินหย่วน จึงโบกมือแล้วเดินเข้าห้องรับแขก ถึงแม้บาดแผลบนกระดูกสันหลังจะยังคงเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่ถ้าไม่เดินเร็ว ก็จะไม่กระทบต่อร่างกายเยี่ยเทียนมากนัก
” นี่… เฮ้อ! “
แม้ถังเหวินหย่วน จะเป็นมหาเศรษฐีมีชื่อเสียงชาวจีน อีกทั้งยังมีสถานภาพสูงส่งในสำนักหงเหมิน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียน เขากลับไม่มีความหมายอะไรเลย
พูดถึงเรื่องความร่ำรวย เยี่ยเทียนกวาดเงินสี่ห้าร้อยล้านดอลลาร์อเมริกาจากบนเรือสำราญควีนอลิวาเบธ ตอนนี้สถานะจึงสูงกว่าถังเหวินหย่วน
พูดถึงเรื่องเบื้องหลัง สถานะของเยี่ยเทียนในสำนักหงเหมิน ยังเหนือกว่าถังเหวินหย่วน ดังนั้นผู้เฒ่าถังที่ทุกคนเคารพนบนอบภายนอก จึงต้องยอมจำใจรออยู่ด้านนอกประตู
ดีที่คฤหาสน์หลังนี้ของเยี่ยเทียน มีพลังปราณอุดมสมบูรณ์ ถังเหวินหย่วนจึงไม่รู้สึกหงุดหงิดมากนัก รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของเขาลดหายไปไม่น้อย
พอมาถึงห้องรับแขก เยี่ยเทียน ก็เห็นทุกคนนั่งอยู่กับที่แล้ว จึงร้องว่า “เซี่ยวเทียน เอาชาต้าหงเพ่าจากปักกิ่งไปชง!”
“ศิษย์น้องเยี่ย เธอนี่ใจดีจริงๆ ฉันยังไม่เคยดื่มชาต้าหงเพ่าของเธอเลย คงไม่ใช่เก็บมาจากบนต้นไม้ที่เชิงเขานั่นหรอกนะ? “
ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียก็ยิ้มออกมา ผู้เฒ่าอย่างพวกเขาล้วนเปี่ยมประสบการณ์ ความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายต่างจากคนหนุ่มนัก จึง ไม่มีใครรีบร้อนไต่ถามเรื่องการเดินทางไปเขาชิงเฉิงของหนานหวยจิ่น
” ศิษย์พี่ใหญ่ครับ ชานี้ผมกับท่านอาจารย์ เก็บมาจากต้นชาสามต้นนั้น เหลือเพียงแค่สิบกว่าใบ ตอนนั้นท่านอาจารย์เก็บเองกับมือเชียวนะ ทีแรกผมตั้งใจจะเก็บเป็นที่ระลึกเฉยๆ”
เยี่ยเทียนได้ยินเข้าก็ตัดพ้อออกมา ตอนที่อาจารย์ไปสู่สวรรค์ นอกจากมอบเข็มทิศและตำแหน่งเจ้าสำนักให้เขาแล้ว ที่เหลือก็ไม่มีสิ่งใดอื่นนอกจากตำราคาถาจำนวนหนึ่ง และใบชาเหล่านี้
อย่างไรเสียเยี่ยเทียนยังมีนิสัยอย่างวัยรุ่น เมื่อหลายปีก่อนจึงไม่ชอบดื่มชา เป็นเพราะคราวก่อนกลับไปไหว้อาจารย์ แล้วค้นขึ้นมาได้จากภายในบ้าน จึงเก็บไว้ด้วยความเสียดายไม่กล้าดื่ม
“เซี่ยวเทียน เธออย่าชงมาเลย” หนานไหวจิ่นร้องห้ามโจวเซี่ยวเทียน มองมายังเยี่ยเทียนแล้วบอกว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ชานี้ฉันดื่มแล้วจะรู้สึกละอายใจน่ะ!”
“ไม่ต้องหรอกครับ เจตนาของศิษย์พี่หนาน คู่ควรต่อชานี้แล้ว!”
เยี่ยเทียนแม้จะปวดใจ แต่ใบหน้ายังยิ้มออก “ศิษย์พี่ทุกท่านล้วนเป็นผู้เข้าใจเรื่องชา วันนี้มาลิ้มลองชาที่อาจารย์เก็บเองกับมือกันเถอะ เซี่ยวเทียน รีบไปยกมาเร็ว! “
” ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้!” โจวเซี่ยวเทียนรับคำ แล้วหันร่างขึ้นชั้นบนไป
เวลานี้ในห้องรับแขกเหลือเพียงศิษย์พี่ศิษย์น้องเยี่ยเทียนสามคนและหนานไหวจิ่น โก่วซินเจียเอ่ยปากถามว่า “น้องไหวจิ่น ผู้อาวุโสท่านนั้นจากไปแล้วหรือไม่?”
ว่ากันตามตรง เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องและเยี่ยเทียนถึงแม้คาดหวังกับการเดินทางครั้งนี้ของหนานไหวจิ่น พวกเขาก็เตรียมใจสำหรับความผิดหวังไว้เช่นกัน
ตอนนี้หนานไหวจิ่นอายุกว่าแปดสิบปีแล้ว ตอนที่เขาปลีกวิเวกไปขอฝากตัวเป็นศิษย์อยู่บนเขาชิงเฉิง อายุเพียงยี่สิบต้นๆ เท่านั้น ห่างจากปัจจุบันมามากกว่าหกสิบปี
คนที่ถูกหนานไหวจิ่นเรียกขานว่าท่านอาวุโส อีกทั้งยังฝึกวิชาในระดับสูงจนถึงขั้นหลอมจิตกลับสู่ความว่าง อายุอานามในเวลานั้น เกรงว่าน่าจะเกินเจ็ดถึงแปดสิบปี
เมื่อรวมสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน ถ้าหากผู้อาวุโสคนนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ เกรงว่าตอนนี้อย่างน้อยน่าจะมีอายุถึงหนึ่งร้อยสามสิบถึงสี่สิบปี คนผู้นี้จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ พวกเยี่ยเทียนเองก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก
“เฮ้อ ฉันค้นหาทั่วเขาชิงเฉิง แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยของผู้อาวุโสท่านนี้ ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ฉันเองก็ตอบไม่ได้“
หนานไหวจิ่นถอนหายใจ กล่าวว่า “แต่ฉันเห็นลายมือที่ผู้อาวุโสท่านนั้นทิ้งเอาไว้ ฉันกับเขาไม่มีสัมพันธ์ต่อกันแล้ว เรื่องเมื่อในอดีตจึงสามารถเล่าให้พวกเธอฟังได้”
“อ้อ งั้นอย่าเพิ่งพูดถึงลายมือของผู้อาวุโสท่านนั้นเลย น้องไหวจิ่น เล่าเรื่องในอดีตมาก่อนเถอะ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหนานไหวจิ่นแล้ว พวกเยี่ยเทียนก็ตื่นเต้นขึ้นมา พวกเขาสงสัยมาตลอดว่า คนแบบไหนกันที่สามารถทำให้หนานไหวจิ่นมีสีหน้าเทิดทูนบูชาจนไม่กล้าพูดอะไรมากยามเอ่ยถึง
“พี่หยวนหยาง ความจริงตอนฉันอายุสิบสองขวบ ก็เคยพบผู้สูงส่งท่านนี้ ภายหลังปลีกวิเวกบนเขาชิงเฉิงในยุคปลดแอก เพียงหวังอยากจะค้นหาร่องรอยของท่านเซียนอีกครั้ง แต่วาสนาของฉันมีไม่เพียงพอ ถึงแม้ได้พบผู้อาวุโสท่านนั้น แต่กลับไม่ได้ให้เขารับเป็นศิษย์ในสำนัก!”
เมื่อหนานไหวจิ่นเล่าเรื่องในอดีตที่เกิดขึ้นเมื่อเจ็ดถึงแปดสิบปีที่แล้ว ภาพเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งต่อหน้าพวกเยี่ยเทียน
เดิมทีหนานไหวจิ่นเกิดในวงศ์ตระกูลเหล่าบัณฑิต พ่อของเขามีความรู้กว้างขวางรอบด้าน ตอนที่หนานไหวจิ่นยังเด็ก เคยพาเขาไปยังเขาชิงเฉิง
หนานไหวจิ่นในวัยเด็กมีนิสัยไม่ชอบอยู่นิ่ง วันหนึ่งขณะที่พ่อและสหายอยู่ในอารามเต๋าบนเขาชิงเชิงดื่มเหล้าสนทนากันเรื่องปรัชญา หนานไหวจิ่นแอบหนีออกมาจากภายในอารามเต๋า
หนานไหวจิ่นเติบโตมาในเมือง จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นในภูเขาใหญ่ เห็นกระต่ายป่าผีเสื้อจึงวิ่งไล่ตามไป โดยไม่ทันรู้ตัว เขาก็เข้ามายังส่วนลึกของเขาชิงเฉิงเสียแล้ว
หนานไหวจิ่นมีนิสัยใจคอกล้าหาญมาแต่เด็ก ถึงแม้อายุเพียงสิบเอ็ดสิบสองปี แต่เขาก็ไม่ร้อนรนเท่าไหร่ ขนาดท้องหิวยังเก็บผลไม้ป่าจากต้นไม้บนเขามาเติมท้อง
เลิ่กลั่กลนลานในเขาตลอดทั้งบ่าย หนานไหวจิ่นกลับยิ่งห่างไกลจากอารามเต๋ามากขึ้นทุกที ตอนที่เขาเดินทางมาถึงภูเขาอันมีน้ำตกสาดกระเซ็น ก็พบว่าด้านล่างสุดของน้ำตกนั้น มีนักพรตเต๋าผมเคราขาวผู้หนึ่งนั่งอยู่
หนานไหวจิ่นในเวลานั้นดีใจมาก เดินตามทางลงมายังหุบเขา แต่ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูดนั้นกลับตกใจ เพราะเขาเห็นว่าเหนือหัวของนักพรตเต๋าผู้ชราในระยะสามฉือ มีคนตัวเล็กล่องลอยอยู่ในอากาศ
คนตัวเล็กนี้เปลือยทั้งร่าง ใบหน้าเหมือนนักบวชเต๋าผู้นั้นทุกกระเบียดนิ้ว เพียงแต่ร่างกายค่อนข้างโปร่งใส ถ้าหากไม่เดินเข้าไปใกล้ หนานไหวจิ่นคงมองไม่เห็น
ขณะที่หนานไหวจิ่นไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่นั้นเอง คนตัวเล็กนั้นก็พลันเปิดตาขึ้น หลังจากเห็นเขาแล้ว ก็ผลุบหายเข้าไปในเหนือหัวของนักพรต และในขณะเดียวกัน นักพรตผู้นั้นก็ลุกขึ้นยืน
“เทพเซียน? ท่านผู้เฒ่าเป็นเทพเซียนหรือ?” ในบ้านของหนานไหวจิ่นเก็บสะสมหนังสือไว้มากมาย เขาเคยเห็นภาพเทพเซียนและสัตว์ประหลาดที่ถูกบันทึกไว้ในตำรามาไม่น้อย เวลานั้นสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาในความคิด จึงเป็นตัวเองได้พบเจอกับเทพเซียนแล้ว
“เจ้าหนูคนนี้ ช่างใจกล้าเสียจริง”
นักพรตเต๋าผู้ชรายื่นมือมาดึงตัวหนานไหวจิ่น หลังจากจับต้องเนื้อตัวของเขาแล้ว ก็กล่าวว่า “เอาเถอะ เธอเห็นฉันได้ ก็นับว่ามีวาสนาต่อกัน ฉันจะให้ตำราเธอม้วนหนึ่ง ภายหลังถ้าหากเธอฝึกฝนได้สำเร็จ ก็สามารถกลับมาหาฉันที่นี่ได้!”
“ท่านอาจารย์ ได้โปรดรับไหวจิ่นเป็นศิษย์ด้วยเถิด!”
หนานไหวจิ่นเองก็เป็นเด็กฉลาดเฉลียวไม่ธรรมดา เมื่อได้ยินคำพูดของนักพรตเต๋าแล้ว ก็คุกเข่าลงร้องเรียกอาจารย์ แต่นักพรตยื่นมือมาแตะ ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถงอเข่าลงไปได้
“ภายหลังหากเธอฝึกฝนตำรานี้สำเร็จ บางทีอาจารย์และศิษย์อย่างพวกเราคงมีวาสนาต่อกัน แต่ตอนนี้นั้นยังเร็วเกินไป” นักพรตเต๋าหัวเราะตอบ “ฉันจะส่งเธอกลับไปล่ะ สิบห้าปีให้หลัง เธอค่อยกลับมาที่นี่อีกครั้ง!”
ระหว่างที่พูด หนานไหวจิ่นก็พบว่า ใต้ร่างของนักพรตเต๋าบังเกิดหมอกควันกลุ่มหนึ่ง พยุงร่างของเขาให้ลอยขึ้น แต่ว่าขณะที่หนานไหวจิ่นคิดจะมองให้ชัดเจนขึ้นนั้น กลับรู้สึกวิงเวียนศีรษะ สูญสิ้นสติสัมปชัญญะไป
เมื่อหนานไหวจิ่นรู้สึกตัว ร่างของเขาก็อยู่ห่างจากอารามเต๋าไม่ไกล ไม่นานก็ถูกพ่อที่ตามหาจนทั่วของเขาเจอตัว แต่ว่าในอ้อมอกของหนานไหวจิ่น กลับมีตำราเพิ่มมาอีกหนึ่งเล่ม
นับจากตอนนั้น หนานไหวจิ่นก็ฝึกฝนตามเนื้อหาในตำราอย่างหนัก ทั้งยังเสาะหาทั้งอาจารย์และสหายจากทั่วทุกทิศเพื่อร่ำเรียนวิชาอันบริสุทธิ์
และในช่วงเวลาหลายปีที่หนานไหวจิ่นศึกษาอ่านตำราเต๋า ก็เข้าใจถึงสถานะของนักพรตเต๋าในเวลานั้น อันเป็นสภาวะจิตแห่งหยางออกจากร่างกายที่กล่าวขานในตำนาน จากสายตาของคนทั่วไปจึงถือเป็นเทพเซียนอย่างสมบูรณ์
นั่นยิ่งทำให้เขามั่นใจในความคิดจะขอตัวเป็นศิษย์ ดังนั้นไม่ว่าหลี่ซั่นหยวนจะมีความคิดอยากรับเขาเป็นลูกศิษย์กี่ครั้งกี่หน กลับถูกหนานไหวจิ่นปฏิเสธอย่างสุภาพ
หลังยุคปลดแอก หนานไหวจิ่นก็เข้าไปยังกลางภูเขาชิงเฉิงอีกครั้ง พลิกแผ่นดินตามหาหลายต่อหลายครั้ง จึงพบสถานที่ซึ่งมีน้ำตกแห่งนั้น
หลังจากเฝ้ารอนานถึงสามวัน ในที่สุดหนานไหวจิ่นก็ได้พบกับนักพรตเต๋า
เพียงแต่ว่าหลังจากกนักพรตเต๋ามองเขาเพียงแวบหนึ่ง ใบหน้าก็แสดงให้เห็นถึงความผิดหวัง เอ่ยปากว่าช่วงเวลาสิบห้าปีหนานไหวจิ่นยังไม่อาจสามารถเข้าถึงขั้นหลอมปราณสู่จิต วาสนาของทั้งสองจึงสิ้นสุดลง และอนาคตก็ไม่อาจเล่าให้คนอื่นล่วงรู้เรื่องของนักพรตเฒ่า
หลังจากหนานไหวจิ่นเฝ้าวิงวอนแต่ไม่สำเร็จ ทั้งยังไม่เห็นนักพรตเต๋าผู้นั้นแสดงท่าทีใดๆ เพียงหายตัวไปต่อหน้าเขา หนานไหวจิ่นเศร้าโศกจนถึงที่สุด ยังคงรั้งอยู่บนเขาชิงเฉิงต่ออีกสามปี แต่ก็ไม่อาจพบเจอคนผู้นั้นอีก สุดท้ายจึงได้แต่จากมา
“น้องไหวยจิ่น ที่…ที่แท้น้องมีวาสนาถึงเพียงนี้!” โก่วซินเจียรู้จักหนานไหวจิ่นมาหกถึงเจ็ดสิบปี เพิ่งมารู้เรื่องเอาในวันนี้ จึงรู้สึกประหลาดใจอย่างที่สุด
“พี่หยวนหยาง หากมีโอกาส วาสนาก็ไม่จำเป็น”
หนานไหวจิ่นแค่นหัวเราะออกมา กล่าวว่า “ฉันตากตรำฝึกฝนสิบกว่าปี จนกระทั่งสิบปีก่อนถึงเข้าสู่ขั้นปัจจุบันได้ ท่านอาวุโสผู้นั้นต้องการให้ฉันฝึกเพียงสิบห้าปี ฉันจะทำได้อย่างไร !”
โก่วซินเจียพยักหน้า เอ่ยปากว่า “มันก็จริง เพียงช่วงเวลาสั้นๆ สิบกว่าปีหากสามารถฝึกฝนถึงขั้นหลอมปราณสู่จิต วัยอย่างพวกเรานี้ไม่เรียกว่ามีชีวิตอย่างสูญเปล่าหรอกหรือ?”
“หือ? ไม่สิ ศิษย์…ศิษย์น้องเยี่ยก็ทำได้นี่นา?” เมื่อคำพูดจบลง โก่วซินเจียก็หันไปมองยังเยี่ยเทียนราวกับเห็นผี เขาถือว่าเหมาะเจาะต่อเงื่อนไขของนักพรตผู้นั้นไม่ใช่หรือ?
“ศิษย์พี่ใหญ่ ภายในร่างกายผมไม่เหลือพลังปราณชีวิตแท้แม้แต่นิดเดียว ไม่รู้ว่ายังสามารถฝึกฝนได้หรือเปล่า อย่าเพิ่งพูดถึงผมเลย”
เยี่ยเทียนหันหน้าไปมองยังหนานไหวจิ่น ถามว่า “ศิษย์พี่หนาน ไม่ทราบว่าตำราที่ท่านอาวุโสผู้นั้นให้พี่ในอดีต จะให้พวกเราดูได้หรือเปล่าครับ?”
นักพรตเต๋าผู้นั้นคาดหวังว่าหนานไหวจิ่นจะสามารถเข้าถึงขั้นหลอมปราณสู่จิตได้จากตำรา ตำราเล่มนี้จึงจะต้องมีวิธีฝึกพลังปราณชีวิต เยี่ยเทียนจึงอยากจะมองหาเบาะแสที่อยู่ภายในนั้น
“ศิษย์น้องเยี่ย ไม่มีประโยชน์หรอก จริงอยู่ที่ในตำราฉบับนี้มีวิธีฝึกพลังปราณชีวิต แต่ว่าแค่ทำให้สามารถเข้าสู่ขั้นหลอมปราณสู่จิตเท่านั้น ไม่มีบอกขั้นตอนหลังจากนั้นแล้ว”
หนานไหวจิ่นส่ายหน้า กล่าวว่า “ถ้าหากเธอไม่เชื่อ จะให้ลูกศิษย์เอามาให้เธอดู”
“คำพูดของศิษย์พี่หนานผมต้องเชื่ออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องนำมาให้หรอกครับ พี่เขียนวิธีฝึกพลังปราณชีวิตภายในนั้นออกมาก็เพียงพอแล้ว”
เยี่ยเทียนได้ยินเข้าก็ผิดหวังเล็กน้อย เขาเองก็เคยลองฝึกพลังปราณชีวิตแท้ขึ้นมาใหม่ เพียงแต่ไม่ว่าเขาจะทำสมาธิอย่างไรก็ไม่เกิดปราณชีวิตแท้ขึ้นมาแม้แต่น้อย แน่นอนว่าเคล็ดวิธีก่อนหน้าการฝึกจิตเข้าสู่ความว่าง จึงไม่มีประโยชน์อันใดต่อเขา
…………………………………..