หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 695 กระดิ่งซานชิง
“เอ๊ะ พลังจิตของผมมองเข้าไปไม่ได้?”
การเข้าไปในตลาดจำเป็นต้องใช้พลังจิต ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงปล่อยพลังจิตออกมาด้วยความเคยชิน เพื่อสำรวจภายในกระท่อม แต่หลังจากที่พลังจิตของเขาสัมผัสกับเถาวัลย์สีเขียวพวกนั้น กลับเด้งออกมา ทำให้เขาถึงกับมึนศีรษะ
“เจ้าหนุ่ม เถาวัลย์พวกนั้นนายท่านเป็นคนย้ายมาเอง คิดว่าคนอย่างเจ้าจะเปิดออกรึ?”
วานรขาวมองดูท่าทางขมวดคิ้วของเยี่ยเทียน แล้วจึงหัวเราะขึ้นมาอย่างมีความสุขกับความซวยของเขา พลางพูดว่า “เมื่อจิตดั้งเดิมถึงระยะกลางและระยะสุดท้าย ไม่เพียงแต่สามารถใช้พลังจิตท่องเที่ยวไปข้างนอกได้แล้ว ยังสามารถใช้ในการต่อสู้ได้อีก อย่างเจ้ายังห่างอีกไกลนัก”
“ท่านผู้อาวุโสก็ไม่บอกแต่แรก…”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าไปมา โชคดีที่เขาปล่อยพลังจิตอย่างระมัดระวัง จึงได้รับการโจมตีกลับไม่รุนแรงมาก พอปรับลมหายใจเล็กน้อยก็ฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิม
“เจ้าหนุ่ม ขอพูดเรื่องข้อห้ามให้เจ้าฟังก่อนนะ หลังจากเข้าไปแล้วห้ามหยิบของมั่วซั่ว เพราะของพวกนั้นล้วนมีเจ้าของ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะมาเอาคืนเมื่อไร?”
เมื่อมาอยู่ตรงหน้ากระท่อม วานรขาวจึงทำตัวเคร่งขรึมขึ้นมา พลางพูดกำชับ “ถ้าหากมีวิธีการฝึกฝนวรยุทธ เจ้าก็จดบันทึกอยู่ข้างในก็พอ จะเอาออกมาไม่ได้!”
“ท่านผู้อาวุโส นี่…ที่นี่มีวิธีการฝึกวรยุทธไหม แม้แต่ตัวท่านเองก็ไม่รู้?”
เยี่ยเทียนรู้สึกสับสนกับคำพูดของวานรขาว ถึงแม้ตลาดแห่งนี้จะถูกสร้างขึ้นจากคนของตระกูลซือถู แต่คนพวกนั้นก็จากไปนานแล้ว และด้วยนิสัยของวานรขาว มีหรือจะไม่รื้อค้นที่นี่ให้ทั่ว?
“ข้าไม่ได้สังเกตว่าข้างในมีตำราหรือเปล่า?”
เจ้าลิงเหลือกตาขาวไปมา แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นายท่านได้ลงจุดต้องห้ามในสิ่งของพวกนั้นแล้ว ถึงข้าอยากจะเอาไปก็เอาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะพูดทำไมว่าให้ดูความโชคดีของเจ้า?”
เยี่ยเทียนเห็นเจ้าลิงตัวนี้จู่ๆ ก็เกิดอารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นมา จึงรีบพูดว่า “เอาล่ะ พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
วานรขาวพยักหน้า ทันใดนั้นจึงใช้สองมือวาดไปข้างหน้า แล้วยันต์เต๋าใบหนึ่งก็แปะอยู่ที่ด้านหน้าของกระท่อมไม้
เยี่ยเทียนสัมผัสได้ จากการกระทำของเจ้าลิง ทำให้ปราณวิเศษรอบตัวเกิดความยุ่งเหยิง ดูเหมือนมันกำลังยืมใช้พลังปราณชีวิตแห่งฟ้าดินที่อยู่ในหุบเขาเพื่อเปิดกระท่อมหลังนี้
หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง เถาวัลย์ที่พันรอบกระท่อมไม้ จู่ๆ ก็เหมือนจะตกใจ แล้วรีบถอยลงจากกระท่อมไม้ทันที จากนั้นประตูบานหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน
“เอาล่ะ เข้าไปกันเถอะ!” วานรขาวผลักประตูเบาๆ แล้วเดินเข้าไป ด้วยท่าทางที่ระมัดระวังเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นท่าทางของวานรขาว เยี่ยเทียนจึงระวังเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ด้วยฝีมือของผู้ที่บำเพ็ญตบะมักจะเกินขอบเขตความเข้าใจของคนธรรมดาทั่วไป หากไม่ระวังก็อาจจะถูกกักตัวอยู่ในหน้าผาหินได้
กระท่อมไม่ใหญ่มาก มีขนาดประมาณสิบตารางเมตร แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านเข้ามาจากด้านนอก ทำให้มองเห็นทุกซอกทุกมุมที่อยู่ภายในอย่างชัดเจน มีชั้นวางของที่ทำจากท่อนไม้หนึ่งแถววางอยู่รอบๆ กระท่อม และมีของมากมายวางอยู่ข้างบน
ของพวกนี้ส่วนใหญ่ทำมาจากเหล็กกล้า มีมีดสั้นยาวประมาณสามนิ้ว มีห่วงเหล็กดำสนิททั้งอันที่ดูคล้ายกับห่วงวัชระก็ไม่ปาน แล้วก็ยังมีแส้ขนหางจามรีที่นักพรตเต๋าชอบใช้ กระทั่งยังมีที่คาดผมของผู้คนอันหนึ่ง จัดวางกระจัดกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ของชั้นวางของ
แต่เมื่อดูด้วยตาเปล่าแล้ว ของพวกนี้ดูไม่ได้มีความพิเศษอะไรเลยสักนิด แต่ละอย่างไม่มีสีสันที่สะดุดตา เยี่ยเทียนมองมีดสั้นเล่มนั้นอยู่นาน ก็มองไม่ออกว่าเป็นของสำนักไหน
“ห้ามใช้พลังจิตสัมผัส ไม่อย่างนั้นถ้าบาดเจ็บขึ้นมาจะโทษข้าไม่ได้นะ” วานรขาวถือว่ามีคุณธรรมอยู่บ้าง เพราะว่าตอนนี้เยี่ยเทียนอยากจะใช้พลังจิตเพื่อตรวจสอบสิ่งของที่อยู่บนชั้นวางของเหล่านั้น
“ห้ามใช้พลังจิต? อย่างนั้นใช้มือก็น่าจะได้ใช่ไหมครับ?”
เยี่ยเทียนได้ยินจึงตกตะลึง พลางยื่นมือขวาออกเพื่ออยากจับมีดสั้นเล่มนั้นที่อยู่ข้างกาย การที่มันถูกวางอยู่ในนี้เป็นร้อยปีแต่ไม่เป็นสนิมเลย แสดงว่าของสิ่งนี้ต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน
“เอ๊ะ? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ตอนที่มือขวาของเยี่ยเทียนอยู่ห่างจากมีดสั้นในระยะสิบเซนติเมตรกว่าๆ ก็มีพลังแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา ดีดให้มือของเยี่ยเทียนลอยสูงขึ้น
“เจ้าหนุ่ม อย่าคิดอะไรไม่ดี ถ้าหากเอาไปได้ ข้าก็คง…”
วานรขาวมองเยี่ยเทียนด้วยสีหน้าที่ดูถูก แต่ก็เกือบเผลอหลุดปาก เพราะเขาก็อยากได้ของพวกนี้จนน้ำลายไหลมานานแล้ว ถ้าหากสามารถเอาไปได้ มีหรือจะปล่อยจนถึงป่านนี้?
แต่ใช่ว่าวานรขาวจะไม่ได้อะไร มันใช้เวลากว่าสิบปี ในการทำลายจุดต้องห้ามจุดหนึ่ง แล้วจึงเอาชุดนักพรตเต๋าที่ถักทอมาจากตัวไหมออกมาได้หนึ่งตัว ซึ่งก็คือชุดที่มันกำลังสวมใส่อยู่นั่นเอง
“นี่…ที่นี่ก็คือที่ท่านผู้อาวุโสพูดว่าต้องดูโอกาสและจังหวะ?”
เยี่ยเทียนได้ยินจึงฝืนยิ้มอย่างขมขื่น พลางแอบบ่นในใจไม่หยุด สิ่งของที่อยู่ที่นี่ไม่สามารถใช้พลังจิตตรวจสอบได้ แล้วก็ยังเอาไปไม่ได้อีก เช่นนั้นเจ้าลิงพาเขามาที่นี่จะมีประโยชน์อะไร?
วานรขาวส่ายหน้าแล้วพูด “นายท่านเคยพูดว่า คนที่มีวาสนา จะสามารถเอาของที่อยู่ในนี้ไปได้ หรือของที่เป็นเจ้าของเดิมเคยพามา ก็สามารถนำไปได้!”
“ของพวกนี้ไม่ใช่ของท่านอาวุโสซือถู? อย่างนั้นมันมาจากไหนละ?” เยี่ยเทียนได้ยินเบาะแสบางอย่างจากคำพูดของเจ้าลิง ของที่วางอยู่บนชั้นวางของ ดูเหมือนจะไม่ใช่ของเจ้านายของเจ้าลิงเกือบทั้งหมด
“นับจากปีนี้ดูเหมือนจะผ่านมาร้อยกว่าปีแล้ว ผู้ฝึกตนที่อยู่ทั่วทุกสารทิศเคยมาชุมนุมกันที่เสินหนงเจี้ย (อาณาเจตแห่งเทพกสิกร) เพื่อจัดงานชุมนุมที่ตลาดครั้งหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้เป็นเพราะสาเหตุใด ทั้งสองฝ่ายกลับต่อสู้กันขึ้นมา…”
หรือบางทีเวลาอาจจะผ่านไปนานแล้ว เจ้าลิงจึงย้อนความทรงจำพลางพูดว่า “ตอนนั้นนายท่านก็ห้ามไม่อยู่ หลังจากนั้นคนที่มาร่วมงานชุมนุมที่ตลาดเกือบทั้งหมดก็ถูกดึงเข้ามาในนี้ สุดท้ายจึงบอบช้ำทั้งสองฝ่าย มีคนตายและบาดเจ็บสามสี่สิบคน…”
ตอนนั้นเจ้าลิงยังเด็ก สติปัญญาเพิ่งเกิด เมื่อเจอเรื่องการต่อสู้ จึงต้องหลบให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากเหตุการณ์จบลง มันจึงวิ่งออกมา และผู้ฝึกตนเหล่านั้นต่างก็แยกย้ายไปกันหมด และของพวกนี้ก็เป็นของที่พวกเขาทำหล่นหาย
เครื่องรางที่ผู้ฝึกตนพกติดตัว แน่นอนว่ามีความสำคัญมาก ต่อมาจึงมีคนจำนวนไม่น้อยทยอยรับของกลับไป ซึ่งก็เป็นคนรุ่นหลังของผู้ที่เข้าร่วมการต่อสู้
แต่ในกลุ่มผู้ฝึกตน ก็ยังมีจอมยุทธผู้กล้าและทรงคุณธรรมจำนวนไม่น้อย ดังนั้นจึงมีคนรุ่นหลังมารับของกลับไป แต่ก็มีของจำนวนมากที่ยังไม่มีคนมารับ ซึ่งก็คือของเหล่านี้ที่อยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียน
เจ้านายของวานรขาวมีวรยุทธเลิศล้ำ การฝึกจิตขาดอีกเพียงขั้นเดียวก็เข้าสู่ระดับจินตันสำเร็จมหามรรคแล้ว ดังนั้นจึงไม่โลภของขลังพวกนี้ และตอนที่ตัวเองจะจากไป จึงร่ายเวทมนต์เป็นจุดต้องห้ามบนของพวกนี้
ของต้องห้ามเหล่านี้ใช่ว่าจะไม่สามารถทำลายได้ ถ้าหากเป็นเจ้าของของขลัง ก็จะรับกลับไปได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าเป็นคนรุ่นหลังมาที่นี่ ก็ต้องมีวิชายุทธที่สามารถทำให้ของขลังตอบสนองได้ ก็จะสามารถทำลายจุดต้องห้ามพวกนี้ได้
แน่นอนว่า ยังมีวิธีที่โง่อีกหนึ่งวิธี ก็คือใช้จิตดั้งเดิมโจมตีเกราะที่ปกคลุมจุดต้องห้ามเหล่านี้ทุกวัน พอนานวันเข้า ก็จะสามารถเปิดออกได้ และเจ้าลิงก็ใช้วิธีนี้
“คนตายและบาดเจ็บสามสี่สิบคน? อย่างนั้นระดับของผู้ฝึกตนก็มีความเจริญรุ่งเรืองขนาดนี้เชียวรึ?”
คำพูดของวานรขาวทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกงงเป็นไก่ตาแตก เขากับอาจารย์หลี่ซั่นหยวนท่องยุทธภพไปทั่วทุกสารทิศ แม้แต่ผู้ฝึกบำเพ็ญตบะสักคนก็ยังไม่เคยเจอ กระทั่งคนที่ฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าก็ยังไม่มี
หากยึดตามคำพูดของวานรขาวแล้ว การต่อสู้ในครั้งนั้นมีคนตายและบาดเจ็บราวสามสี่สิบคน ก็เท่ากับมีคนมากมายที่ถูกดึงเข้ามาในนี้ไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นคนเหล่านี้ก็เป็นผู้ฝึกตนที่มีวรยุทธสูงและอายุยืนยาว แต่ทำไมจนถึงป่านนี้กลับหาไม่เจอสักคนเล่า?
สมองของเยี่ยเทียนก็ไม่ต่างจากเจ้าลิง เขากำลังครุ่นคิด ว่าในช่วงหนึ่งร้อยกว่าปีที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้คนที่ถูกมนุษย์ขนานนามว่าเป็นเซียนถึงหายตัวไป?
“นี่ เจ้าหนุ่ม คิดอะไรอยู่?”
วานรขาวเห็นเยี่ยเทียนเงียบไป จึงใช้มือจิ้มไปที่เขาอย่างหมดอารมณ์แล้วพูดว่า “เจ้ารีบๆ ดูว่ามีโอกาสไหม อีกสักพักเถาวัลย์พวกนั้นจะงอกกลับมาแล้ว!”
“หา? ได้ครับ…”
เยี่ยเทียนถูกเจ้าลิงเตือน จึงอดพูดไม่ได้ว่า “ท่านอาวุโส ตอนนั้นมีผู้ฝึกตนตั้งมากมาย แล้วพวกเขาไปไหนกันหมด? ทำไมจนถึงตอนนี้ก็หาไม่เจอสักคน?”
“ข้าจะไปรู้ได้ยังไง?”
เจ้าลิงเหลือกตาขาว แล้วพูดอย่างหงุดหงิดว่า “ตอนนั้นปราณวิเศษที่อยู่ในโลกมนุษย์มีอยู่เต็มเปี่ยมแค่ไหน? ดูเหมือนจะเริ่มจากเมื่อแปดเก้าสิบปีก่อน ที่ปราณวิเศษแห่งฟ้าดินค่อยๆ อ่อนลง จนถึงตอนนี้ ข้างนอกจึงไม่เหมาะที่จะฝึกวรยุทธแล้ว”
วานรขาวเหมือนจะนึกอะไรออก แล้วจึงพูดอย่างลังเล “ก่อนที่นายท่านจะไปเหมือนจะพูดว่า พวกเขาจะไปปรึกษาหารือเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งที่ภูเขาคุนหลุน แต่หลังจากนั้นนายท่านก็ไม่กลับมาอีกเลย ส่วนปรึกษากันเรื่องอะไรข้าก็ไม่รู้!”
“เฮ้อ น่าเสียดายที่หาผู้ฝึกตนในโลกมนุษย์ไม่เจอสักคน ต่อไปผมคงต้องไปดูที่ภูเขาคุนหลุนเสียหน่อย!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเจ้าลิงแล้ว เยี่ยเทียนจึงถอนหายใจ ความจริงของประวัติศาสตร์ จึงมีแต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้นที่จะให้คำตอบได้ หรือบางทีต้องได้เจอคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น เขาถึงจะรู้คำตอบ
“พอแล้ว เจ้าหนุ่ม รีบๆ เข้าเถอะ ถ้ายังไม่เลือกอีก พวกเราก็จะออกไปแล้ว!” ขณะที่วานรขาวนึกถึงเรื่องในอดีต ในใจก็เกิดความรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แล้วจึงพูดเร่งรัดเยี่ยเทียน
“ครับ ผมจะลองดู!”
เยี่ยเทียนรู้ว่าตัวเองมีโอกาสแค่ครั้งเดียว จึงไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป เขายื่นมือไปจับสิ่งของที่อยู่ข้างๆ มีดสั้นเล่มนั้น แต่ไม่สามารถใช้พลังจิตได้ เขาจึงได้แต่ใช้วิธีที่โง่แบบนี้
“ไม่ได้!”
นั่นคือห่วงวัชระเป็นมันวาวที่มาจากเหล็กทั้งแท่ง เพียงแต่มันก็เหมือนกับมีดสั้น เยี่ยเทียนยังไม่ทันสัมผัส มือของเขาก็ถูกดีดออกมาแล้ว
“ไม่ได้!”
“อันนี้ก็ไม่ได้!”
“ยังไม่ได้อีก!”
เมื่อลองไปทีละอย่าง เยี่ยเทียนจึงขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความตึงเครียดโดยไม่รู้ตัว
เดิมทีบนชั้นวางของมีของอยู่เพียงสิบเจ็ดสิบแปดชิ้น และตอนนี้เขาลองไปเกือบครึ่งแล้ว ก็ไม่มีอันไหนที่มีวาสนากับตัวเองเลย ล้วนแต่ดีดเขาออกอย่างไร้เยื่อใย
“เอ๊ะ ที่นี่มีของสิ่งนี้ได้ยังไง?” ตอนที่เยี่ยเทียนเดินมาถึงมุมสุดท้ายของกระท่อมนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายทันที
บนชั้นวางของนั้น มีของที่มีความยาวประมาณยี่สิบเซนติเมตร ข้างล่างเป็นรูปกระดิ่ง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเก้าเซ็นติเมตร ข้างบนมีด้ามจับอันหนึ่ง และด้านบนสุดของด้ามจับมีรูปลักษณะเป็นส้อมก่อรูปเป็นคำว่าภูเขา ซึ่งก็คือกระดิ่งซานชิงที่นักพรตเต๋าใช้นั่นเอง!
เยี่ยเทียนรู้ว่า กระดิ่งซานชิงมีชื่อเรียกอย่างอื่นว่า ระฆังจักรพรรดิ ระฆังสัจธรรม กระดิ่งสัจธรรม หลิงซู ซึ่งเป็นเครื่องรางของขลังที่สำคัญของลัทธิเต๋า ใน ‘คัมภีร์ไท่ชิงวี่เช่อ’ ได้กล่าวไว้ว่า “ลัทธิเต๋ามีระฆังจักรพรรดิอยู่ในมือ เหวี่ยงไฟได้เป็นหมื่นลี้ เหมือนกับหลิวหลิงปาชง”
และในเรื่องของฮวงจุ้ย กระดิ่งซานชิงก็มีประโยชน์มาก สามารถทำให้จิตใจสงบ และในตำราที่ได้รับการถ่ายทอดอยู่ในหัวของเยี่ยเทียน ก็มีรูปภาพของกระดิ่งซานชิง ซึ่งเหมือนกับอันที่อยู่ตรงหน้าเป็นอย่างมาก
……………………………………………….