หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 715 ระดับเซียนเทียน
ตอนที่ 715 ระดับเซียนเทียน
“อ้าว ที่นี่มันที่ไหนเนี่ย?”
เยี่ยเทียนค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา เมื่อได้กลิ่นหอมของพื้นหญ้าติดอยู่ที่ปลายจมูก สมองก็กลับทำงานลัดวงจรไปชั่วขณะ “เราคงไม่ได้ตาฝาดไปนะ ในแดนปรภพก็มีทิวทัศน์แบบนี้ด้วยรึ? หรือว่าเพราะเราสั่งสมคุณธรรมไว้มาก ก็เลยได้ขึ้นตรงสู่สวรรค์เลย?”
เนื่องจากเยี่ยเทียนนอนตะแคงอยู่บนพื้น จึงมองไม่เห็นบึงน้ำลึกแห่งนั้น เบื้องหน้าเห็นเพียงเมฆหมอกล่องลอย รอบด้านมีปราณวิเศษอุดมสมบูรณ์ ราวกับเป็นแดนเซียนก็ไม่ปาน
“แปลกจริง นี่…นี่ก็ยังอยู่ที่หุบเขานั่นเหมือนเดิมนี่นา เรายังไม่ตายรึเนี่ย?!”
หลังจากเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนถึงจะได้สติกลับมา และรีบลุกขึ้นมานั่ง แต่เขายังไม่ทันได้ดีใจที่รอดพ้นคราวเคราะห์มาได้ ก็กลับได้กลิ่นเหม็นโชยมาจากร่างของตัวเอง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
เมื่อเยี่ยเทียนก้มหน้ามองลงไปก็พบว่า บนมือและเท้าซึ่งอยู่นอกชายเสื้อและกางเกงนั้นมีโคลนสีดำเคลือบอยู่จนทั่ว กลิ่นเหม็นก็โชยมาจากจุดนี้นั่นเอง ช่างเป็นกลิ่นที่ชวนคลื่นไส้อาเจียนเหลือทน
เมื่อลองใช้มือเช็ดดู ขี้โคลนก้อนหนึ่งก็หลุดร่วงลงมาทันที แต่กลิ่นเหม็นนั้นก็อบอวลขึ้นมาจนเยี่ยเทียนต้องรีบกลั้นหายใจ เยี่ยเทียนไม่สนใจอะไรอีกแล้ว กระโดดลงไปในสระน้ำที่อยู่ตรงหน้าทันที
“เอ๊ะ อุณหภูมิเหมือนจะไม่ได้ร้อนขนาดนั้นแล้วนี่?”
แม้ว่าในสระน้ำนั้นจะยังคงเดือดพล่านจนมีฟองน้ำผุดขึ้นมา แต่หลังจากที่เยี่ยเทียนลงไปอยู่ในน้ำแล้ว กลับรู้สึกสบายเป็นที่สุด เพราะน้ำในสระที่มีไอน้ำร้อนลอยขึ้นมาตลอดเวลานั้นมีอุณหภูมิพอเหมาะพอดีเลย
“อ้าวเฮ้ย ทำไมผิวเรากลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ?” หลังจากโคลนบนร่างถูกเยี่ยเทียนขัดจนหลุดไปหมดแล้ว เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่า ผิวหนังของตัวเองกลายเป็นสีขาวเปล่งปลั่งดั่งหยก และเรียบลื่นผิดจากปกติ แม้แต่ผิวของเด็กสาวก็ยังเทียบผิวเขาไม่ติดเลย
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?”
เมื่อถึงตอนนี้ เยี่ยเทียนก็เพิ่งจะคิดได้ว่าน่าจะลองตรวจร่างกายของตัวเองดู หลังจากความคิดนี้แล่นเข้ามาในสมอง จิตดั้งเดิมก็แสดงภาพของทุกๆ ตำแหน่งในกายเนื้อของเขาขึ้นมาในห้วงสมองทันที
“รูปหยินหยาง? จู่ๆ มันโผล่มาได้ยังไงกันน่ะ?”
เมื่อเห็นรูปสัญลักษณ์หยินหยางที่จุดตันเถียนใต้ท้องน้อย เยี่ยเทียนก็ตะลึงไปทันที
มีปราณแท้สองชนิดที่แตกต่างกันสุดขั้วอยู่ภายในกายของเยี่ยเทียนโดยที่ไม่ได้ปะปนกัน แต่กลับไปหลอมรวมเข้าด้วยกันที่รูปสัญลักษณ์หยินหยางนั้น กำเนิดเป็นปราณแท้ชนิดหนึ่งที่เยี่ยเทียนไม่เคยพบมาก่อน ไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงกายเนื้อของเขา
เยี่ยเทียนไม่สนใจจะชำระล้างร่างกายอีกต่อไปแล้ว เขาโดดออกมาจากสระน้ำไปนั่งขัดสมาธิบนพื้นทันที จิตดั้งเดิมเคลื่อนไหว ประกายสีขาวพุ่งออกมาจากจุดอิ้นถังของเขา แล้วล่องลอยอยู่กลางอากาศตรงหน้าเยี่ยเทียน
“จิตแห่งหยาง นี่…นี่มันจิตแห่งหยางที่แท้จริงนี่นา เราเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว!”
เมื่อเห็นคนขนาดจิ๋วที่ก่อตัวขึ้นมาจนแทบจะจับต้องได้นั้นแล้ว ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็ฉายความตื่นเต้นยินดีออกมา แม้ว่าตอนนี้จิตแห่งหยางจะอยู่นอกร่าง แต่กายเนื้อของเขาก็ยังมีความรู้สึกนึกคิดอยู่ ซึ่งนับว่าแตกต่างจากก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก
“ไป!”
จิตของเยี่ยเทียนโลดแล่น จิตแห่งหยางซึ่งมีขนาดประมาณสี่สิบเซนติเมตรที่อยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนนั้นพลันอันตรธานหายไป และร่างฉบับจิ๋วของเยี่ยเทียนก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศเหนือกระหม่อมของเยี่ยเทียนที่ระดับความสูงราวสามร้อยกว่าเมตร
เมื่อเห็นภูเขาฉางไป๋ซานซึ่งยังคงถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ และเห็นรูปสัญลักษณ์หยินหยางเบื้องล่างที่ก่อขึ้นเองตามธรรมชาติแล้ว จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ดวงจิตวูบไหว แล้วกลับเข้าสู่ห้วงความคิดในชั่วพริบตา
ตอนนี้เยี่ยเทียนรู้ชัดแล้วว่า เขาได้เข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้วจริงๆ และจิตดั้งเดิมก็ก่อตัวขึ้นอย่างมั่นคงอย่างยิ่ง กระแสพลังปราณชีวิตอันรุนแรงตามธรรมชาติจึงไม่อาจส่งผลกระทบต่อมันได้เลย
เพียงแต่เกี่ยวกับรูปสัญลักษณ์หยินหยางภายในกายนั้น เขากลับไม่ค่อยเข้าใจนัก เพราะเยี่ยเทียนยังไม่เคยได้รู้จักกับผู้บำเพ็ญเต๋าที่แท้จริงมาก่อน เขาจึงไม่รู้ว่าสภาพแบบนี้ถือว่าเป็นปกติหรือไม่
แต่ถึงอย่างไรเยี่ยเทียนก็เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ผ่านคลื่นลมมาก่อน จึงเข้าใจว่าในเวลาเช่นนี้ไม่สมควรที่จะเกิดอารมณ์เสียใจหรือดีใจอย่างรุนแรง ยามนั้นจึงหายใจเข้าลึกๆ ให้จิตใจของตนสงบลง แล้วกระตุ้นจิตดั้งเดิมให้สำรวจดูร่างกายของตนอย่างละเอียด
ความตกตะลึงค่อยๆ ฉายขึ้นมาบนใบหน้าของเยี่ยเทียน เนื่องจากเขาพบว่า ภาพโครงสร้างแต่ละจุดในร่างกายของเขามาปรากฏอยู่ในห้วงสมองอย่างละเอียดยิบ ราวกับว่าเขากำลังใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องขยายดูระบบโครงสร้างต่างๆ ของร่างกายอยู่ก็ไม่ปาน
หัวใจห้องบนซ้ายและบนขวากำลังเต้นดัง “ตุบๆ” ปอดทั้งสองข้างพองและยุบตามจังหวะการหายใจเข้าออก โลหิตไหลอยู่ในเส้นโลหิตราวกับแม่น้ำไหลบ่า กระทั่งเยี่ยเทียนยังได้ยินเสียงโลหิตไหลดัง “ซ่าๆ” อีกด้วย
และเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อที่ก่อขึ้นจากเซลล์ต่างๆ เหล่านั้นก็แทบจะโปร่งใสเลยทีเดียว ภายในไม่มีสิ่งปนเปื้อนอยู่เลยแม้แต่น้อย แม้แต่ภาพไขกระดูกที่อยู่ในกระดูกทั่วร่างก็ยังปรากฏขึ้นภายในห้วงสมองของเยี่ยเทียนด้วย
นอกจากนี้รูขุมขนตลอดร่างของเยี่ยเทียนก็ปิดสนิทหมดแล้ว ร่างกายของเขาจึงเปรียบเหมือนโลกเล็กๆ ที่แยกออกจากโลกภายนอก จนเลือดลมและปราณแท้ไม่อาจรั่วซึมออกสู่ภายนอกได้อีกเลย ไม่ว่าเขาจะใช้พลังไปมากแค่ไหน ก็จะไม่ทำให้ฐานพลังของเขาได้รับความเสียหายใดๆ
เยี่ยเทียนเชื่อว่า หากตอนนี้เขาต้องประสบเหตุวินาศกรรม 9/11 อีกครั้ง ชิ้นส่วนพื้นอาคารชิ้นนั้นก็คงจะไม่สามารถสร้างอาการบาดเจ็บใดๆ แก่เขาได้เลย เพราะตอนนี้อวัยวะภายในทั้งหมดของเขาถูกหล่อหลอมจนแข็งแกร่งดั่งทองคำเหล็กกล้าไปแล้ว
“นี่แหละระดับเซียนเทียน!” เยี่ยเทียนไม่อาจข่มกลั้นความยินดีไว้ในใจได้อีกต่อไป เปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
ขณะที่แต่ละคนอยู่ในครรภ์ของมารดานั้น จะได้รับพลังหล่อเลี้ยงชีวิตจากมารดาเพียงทางเดียวเท่านั้น ไม่ได้สัมผัสถูกวัตถุภายนอกใดๆ เลย และพลังจากมารดานั้นก็เรียกว่าแหล่งพลังก่อนกำเนิด ดังนั้นคนเราจึงมักจะใช้คำว่า บริสุทธิ์ ไปบรรยายถึงทารกแรกเกิด
แต่หลังจากที่คนได้กำเนิดมาแล้ว ก็จะเปลี่ยนจากการรับปราณภายในครรภ์เป็นการหายใจทางปากและจมูกแทน และเปลี่ยนผ่านจากระยะก่อนกำเนิดเป็นระยะหลังหลังกำเนิด
ระหว่างที่เติบโตขึ้นตามอายุ สิ่งปนเปื้อนในอากาศรวมถึงอาหารที่ได้รับหลังกำเนิดก็จะค่อยๆ สะสมขึ้นมาในร่างกาย จนกระทั่งถึงในวัยชรา ระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกายก็จะเสื่อมสภาพลง และโรคภัยต่างๆ ก็จะเริ่มรุมเร้า นี่เป็นสาเหตุและขั้นตอนทั้งหมดของการเกิดแก่เจ็บตายของคน
และสิ่งที่ผู้ฝึกวิชาบู๊และผู้บำเพ็ญพรตตั้งแต่อดีตกาลเสาะแสวงหามาตลอดก็คือ การทำให้ร่างกายของตนกลับสู่สภาพเดียวกับสมัยที่ยังอยู่ในครรภ์มารดาอีกครั้ง ซึ่งก็คือการบรรลุถึงระดับเซียนเทียนนั่นเอง
ตอนนี้เซลล์ทุกๆ เซลล์ในร่างกายของเยี่ยเทียนล้วนสุกใสแวววาว แม้จะมีการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง แต่ระดับความเร็วในการเสื่อมสภาพของเซลล์ก็จะยังคงช้าลงกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว
ซึ่งก็หมายความว่า เยี่ยเทียนจะแก่ช้ากว่าคนทั่วไปมาก บางทีอีกสามสิบสี่สิบปีให้หลัง เขาอาจจะยังสามารถคงรูปลักษณ์หน้าตาให้มีสภาพเช่นเดียวกับในตอนนี้ก็เป็นได้
นอกจากนี้ อวัยวะภายในต่างๆ ระบบประสาท กล้ามเนื้อ กระดูก ผิวหนัง เส้นผมและขน เส้นโลหิตและเส้นลมปราณของเยี่ยเทียนก็ผ่านการหล่อหลอมขึ้นใหม่เช่นกัน ทั่วสรรพางค์กายเปล่งประกายอันอิ่มเอิบออกมาอย่างอ่อนๆ หากจะเรียกว่าเป็นการเปลี่ยนร่างใหม่ ก็ถือว่าไม่ได้เกินไปเลย
หลังจากที่เข้าสู่ระดับเซียนเทียนอย่างแท้จริง ตั้งแต่จิตดั้งเดิมไปจนถึงกายเนื้อของเยี่ยเทียนก็ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงราวกับพลิกฟ้าดิน หลังจากชำระล้างคราบสกปรกที่เกาะอยู่บนร่างกายไปหมดแล้ว เยี่ยเทียนยังถึงขนาดดมได้กลิ่นหอมโชยออกมาจากภายในร่างกายของตัวเองอีกด้วย
“เอ๋? นี่มันออกมาจากในเลือดรึเปล่านะ?”
ตั้งแต่นี้ไปเยี่ยเทียนจะไม่มีเหงื่อออกอีกเลย เมื่อเขาลองสัมผัสดูอย่างละเอียดก็พบว่า โลหิตของเขาที่เดิมเป็นสีแดงเข้มนั้น กลับมีประกายสีทองปนอยู่ด้วยเล็กน้อย
“ล้างไขกระดูกเปลี่ยนโลหิต? เข้าใจแล้วละ ที่แท้การหลอมจิตสู่ความว่างก็คือการกลั่นสกัดกายเนื้อ พัฒนาไปถึงระดับที่สูงที่สุดที่มนุษย์จะไปถึงได้ จากนั้นก็หล่อเลี้ยงจุดตันเถียนต่อไปจนกระทั่งบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรค!”
ในใจของเยี่ยเทียนพลันเกิดการรู้แจ้งอย่างหนึ่ง ความสงสัยต่างๆ ระหว่างการฝึกครั้งก่อนๆ นั้น บัดนี้ก็พลันเข้าใจกระจ่างขึ้นมา บางทีหลังจากที่โลหิตในกายของเขากลายเป็นประกายสีทองไปจนหมดแล้ว ตอนนั้นก็อาจจะเป็นโอกาสที่จะได้บรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคในที่สุด
หลังจากสัมผัสดูความเปลี่ยนแปลงในร่างกายเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนก็หลับตาลง ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ปลดปล่อยจิตดั้งเดิมออกมา แต่ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้น ดอกไม้ทุกดอก ผลไม้ทุกผลในหุบเขานี้ก็อยู่ภายในการรับรู้ของเขาทั้งหมดแล้ว
ขณะนี้โลกทั้งใบได้กระจ่างชัดแจ่มแจ้งขึ้นมาในใจของเยี่ยเทียน ถึงขั้นที่เขาสามารถสัมผัสถึงพลังชีวิตของต้นหญ้าที่เพิ่งจะแตกหน่อขึ้นมาในรอยแยกบนหน้าผาได้เลยทีเดียว
ดวงจิตโลดแล่น เน่ยตันสองดวงสีดำและสีขาวที่จุดตันเถียนนั้นเริ่มลอยโคจรหมุนเวียนในฉับพลัน เยี่ยเทียนขนลุกชันทั่วร่าง ปราณวิเศษในรูปของหมอกสีขาวปรากฏที่ใต้ร่างของเยี่ยเทียนเป็นสาย
ร่างกายของเยี่ยเทียนไม่ได้กระดุกกระดิกเลย แต่ร่างของเขากลับล่องลอยขึ้นมากลางอากาศ
สองเท้าออกแรงเพียงเบาๆ เยี่ยเทียนยืนอยู่บนหมอกขาวที่ก่อตัวกันเหมือนกลุ่มเมฆ เมื่อเขาก้าวเท้าขวาออกไป ปราณแท้กลุ่มหนึ่งก็พยุงยกฝ่าเท้าของเขาขึ้นมาเอง พาให้ร่างของเยี่ยเทียนลอยสูงขึ้นไปทีละนิด
เมื่อสัมผัสได้ถึงปราณแท้ที่กำเนิดจากจุดตันเถียนอย่างไม่ขาดสาย เยี่ยเทียนก็เชื่อว่า ต่อให้เขาเหาะเหินไปไกลหลายร้อยกิโลเมตรภายในชั่วอึดใจเดียว ปราณแท้ก็จะไม่หมดไปแน่นอน คำกล่าวของคนโบราณที่ว่า เดินทางแปดร้อยลี้ในวันเดียวนั้น ก็นับว่าไม่ใช่คำกล่าวที่ไร้ต้นสายปลายเหตุเลย
เยี่ยเทียนค่อยๆ ลดร่างให้ลอยต่ำลง ปราณแท้ในรูปหมอกที่ก่อตัวอยู่ใต้ร่างของเขานั้น ก็ย้อนกลับเข้าสู่ร่างทันทีโดยผ่านทางรูขุมขน จึงไม่ได้สูญเสียพลังปราณไปเลยแม้แต่น้อย
“มิน่าล่ะในตำนานต่างๆ ถึงได้มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการเหาะเหินโดยขี่เมฆวิเศษ ที่แท้พอปราณแท้นี่แผ่ออกมาแล้ว ก็ดูเหมือนกับเมฆหมอกบนท้องฟ้าไม่มีผิด ถ้าใช้ปราณแท้ปกคลุมไว้ทั่วร่าง ถึงจะเหาะเหินอยู่บนฟ้าในเวลากลางวัน ก็คงจะไม่มีใครเห็นแล้วสินะ?”
การเข้าสู่ระดับเซียนเทียนนั้น ทำให้เยี่ยเทียนได้เข้าใจสิ่งที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์ทางเต๋าจากมุมมองใหม่ ผู้ที่มาถึงระดับนี้อย่างเขานั้น ในสายตาของคนธรรมดาก็ดูไม่ต่างอะไรกับเทพเซียนแล้ว
อย่าว่าแต่สามารถขี่เมฆเหาะเหินได้เลย ลำพังแค่กายเนื้อของเยี่ยเทียนในตอนนี้ ก็ยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าทองคำเหล็กกล้าเสียอีก แม้แต่ลูกกระสุนถ้าไม่ได้ยิงถูกจุดอ่อนอย่างเช่นดวงตาของเขา ก็จะไม่มีทางทำร้ายเขาได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์ตอนที่หูหงเต๋อยิงปืนใส่นักพรตรูปนั้นแล้ว เยี่ยเทียนก็รู้สึกครั่นคร้ามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเหล่าหูมีฝีมือยิงปืนแม่นยำ แต่ละนัดล้วนพุ่งเป้าไปที่ดวงตาทั้งคู่และจุดอิ้นถังแล้วละก็ ฝ่ายนั้นก็คงไม่คิดจะหลบหลีกปัดป้องหรอก
“ระหว่างที่เราสลบไปเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?”
แม้ว่าจะเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว แต่เยี่ยเทียนเองก็ยังรู้สึกสับสนอยู่เหมือนกัน เขาล้วงเข้าไปในอกเสื้อ แต่หยกดำขนาดเท่ากำปั้นทารกนั้นกลับหายไปแล้ว หยกที่อยู่ในกำมือชิ้นนั้น ตั้งแต่ตอนที่เยี่ยเทียนฟื้นขึ้นมามันก็หายสาบสูญไปแล้วเช่นกัน
“หรือว่าเพราะเราดวงดี มีสวรรค์คอยช่วย?”
หลังจากขบคิดไปหลายตลบแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ เยี่ยเทียนจึงได้แต่ยกให้ทุกอย่างเป็นผลจากโชคชะตาของตัวเอง เพียงแต่เขาไม่รู้ว่า ระหว่างตำแหน่งที่ตั้งของบึงน้ำมังกรดำและบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ มีหน้าผาที่สูงถึงร้อยเมตรอยู่แห่งหนึ่ง
หน้าผาแห่งนี้ก็เปรียบเสมือนเส้นแบ่งระหว่างสองขั้วในรูปสัญลักษณ์หยินหยาง ปกติทั้งสองขั้วจึงแยกจากกันโดยสิ้นเชิง ไม่มีการข้องเกี่ยวปะปนกันเลยแม้แต่น้อย
แต่ขณะที่เขากำลังดูดรับปราณวิเศษธาตุไฟจากในบ่อน้ำร้อนนั้น ประสาทในสมองเกิดทำงานผิดพลาดขึ้นมาอย่างไรก็ไม่ทราบ ถึงได้ดูดรับปราณวิเศษธาตุน้ำนั้นเข้าสู่จิตดั้งเดิมด้วย
จุดวิเศษทั้งสองแห่งนี้ก่อกำเนิดขึ้นมานานเท่าใดแล้วก็ไม่ทราบ ที่ผ่านมาไม่เคยมีการข้องเกี่ยวกันเลย สุดท้ายความสมดุลนี้กลับถูกเยี่ยเทียนทำลายไป
ขณะที่ปราณวิเศษธาตุน้ำกำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ จุดวิเศษในบึงน้ำมังกรดำที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของหน้าผานั้นก็เกิดการตอบสนองขึ้นมา จนถึงขั้นเริ่มต่อสู้กับปราณวิเศษธาตุไฟทั้งๆ ที่มีหน้าผาขวางกั้นอยู่