หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 717 การทดสอบจากอัสนีสวรรค์
ตอนที่ 717 การทดสอบจากอัสนีสวรรค์
เยี่ยเทียนอาจไม่รู้ว่า การเต้นระบำบนปลายมีดนั้นมีความรู้สึกเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้เขากลับรู้แล้วว่า การเคลื่อนไหวอยู่เหนือปากปล่องภูเขาไฟนั้น ช่างเป็นรสชาติที่ย่ำแย่จริงๆ
อย่าว่าแต่อุณหภูมิที่สูงจนพอที่จะต้มคนให้สุกได้เลย แค่ภาพพื้นลาวาสีแดงฉานที่อยู่เบื้องล่างนี้ ก็พอที่จะทำให้ผู้พบเห็นแตกตื่นขวัญกระเจิงได้แล้ว แม้แต่เยี่ยเทียนที่เป็นคนใจกล้าบ้าบิ่น ตอนนี้ก็กำลังพยายามเคลื่อนไหวให้เชื่องช้าที่สุด เคลื่อนตัวทีละนิดๆ จนไปถึงผนังบ่อตำแหน่งที่มีหินพลอยอยู่
“เอ๊ะ? ติดแน่นขนาดนี้เลยรึ?” เยี่ยเทียนใช้มือแงะหินพลอยเม็ดหนึ่ง แต่หินพลอยนั้นกลับไม่ขยับเขยื้อนเลย ราวกับมีรากฝังอยู่ก็ไม่ปาน
เยี่ยเทียนขบคิดดู แล้วหยิบมีดสั้นที่ได้มาจากนักพรตรูปนั้นออกมา ขุดลงไปบนผนังสระรอบๆ หินพลอยนั้น มีดสั้นเล่มนี้คมกริบเหนือธรรมดา เขาจึงได้หินพลอยนั้นมาอยู่ในมือทันที
หินพลอยนี้มีขนาดเท่ากำปั้นของเยี่ยเทียน เมื่อถูกแสงสีแดงเพลิงจากก้นสระสาดส่อง ก็ดูราวกับมีประกายสีแดงแพรวพราวอยู่ในหิน ทำให้ระยิบระยับจ้าตายิ่งขึ้นไปอีก
“ของดีนะเนี่ย สงสัยในบึงน้ำมังกรดำนั่นก็คงไม่มีเม็ดโตขนาดนี้หรอก!”
เมื่อถือหินพลอยอยู่ในมือแล้ว เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่า อุณหภูมิรอบกายเหมือนจะสูงขึ้นมาอีกมาก ซึ่งก็ไม่ทราบว่าสาเหตุเป็นเพราะปากปล่องภูเขาไฟที่ก้นสระ หรือว่าพลังงานที่แผ่ออกมาจากพลอยวิเศษนี้กันแน่
ความแตกต่างของที่นี่และบึงน้ำมังกรดำคือ สถานที่นี้ไม่เคยมีมนุษย์ลงมาเลยนานนับร้อยนับพันปีแล้ว ที่ด้านข้างหินพลอยเม็ดนี้ยังมีพลอยวิเศษที่มีขนาดค่อนข้างเล็กอยู่อีกหกเจ็ดเม็ด เยี่ยเทียนย่อมไม่เกรงใจอยู่แล้ว ยามนั้นจึงใช้มีดสั้นขุดพลอยเหล่านั้นออกมาทีละเม็ด
“บางทีอีกร้อยปีพันปีให้หลัง ที่นี่อาจจะให้กำเนิดหินพลอยแบบนี้ออกมาอีกก็ได้ละมั้ง?”
เยี่ยเทียนมองดูปากปล่องภูเขาไฟก้นบ่อที่เหมือนกับพร้อมจะปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อนั้นอีกครั้งหนึ่ง ในใจเริ่มกระจ่างขึ้นมาเล็กน้อย ที่นี่อาจดูเหมือนเป็นสถานที่อันเลวร้าย แต่กลับสามารถให้กำเนิดสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้ออกมาได้
ถึงแม้ว่าตอนนี้เยี่ยเทียนจะเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว แต่ถ้าเขายังจะดำลงไปอีก คลื่นความร้อนนั้นก็อาจจะทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออก จึงได้แต่เก็บหินพลอยไว้ แล้วลอยร่างขึ้นสู่ผิวน้ำ
“ฮ่า!” ศีรษะของเยี่ยเทียนโผล่ขึ้นมาพ้นผิวน้ำ แล้วอ้าปากพ่นลมหายใจ ปราณอันขุ่นมัวสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศออกไปจนเกิดคลื่นเป็นทางยาว
ขณะที่อยู่ใต้น้ำนั้นนอกจากจะต้องกักลมปราณไว้ในกายแล้ว ยังต้องต้านทานแรงกดดันอันมหาศาลและอุณหภูมิที่ร้อนจนเดือดเบื้องล่างนั้นอีกด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว เยี่ยเทียนก็คงจะเป็นเช่นเดียวกับหูหงเต๋อ ดำลงไปได้สิบกว่าเมตรก็ทนไม่ไหวแล้ว
“ในเมื่อเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อไปแล้วละนะ!”
หลังจากขึ้นมาบนฝั่ง เยี่ยเทียนก็เริ่มคิดที่จะกลับออกไป ในหุบเขานี้แม้จะเป็นสถานที่ฝึกบำเพ็ญที่ดีเยี่ยม แต่สุดท้ายแล้วเยี่ยเทียนก็ยังคงเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่มีพันธะในโลกภายนอกอยู่มากมายเหลือเกิน
เยี่ยเทียนหาเสื้อผ้าชุดใหม่จากในกระเป๋ามาเปลี่ยน ใส่หินพลอยเหล่านั้นไว้ในกระเป๋าแล้วแบกขึ้นหลัง เขาไม่ได้เปิดศิลาใหญ่ที่ผนึกทางเข้าหุบเขาไว้ แต่ตั้งจิตเรียกไอหมอกให้ก่อตัวขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้า
ผ่านไปไม่นาน ปราณแท้ก็ปกคลุมไปทั่วร่างของเยี่ยเทียน เมื่อก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ร่างของเยี่ยเทียนก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศราวกับขึ้นบันไดสวรรค์
ก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนเพียงแต่ส่งจิตดั้งเดิมออกจากร่างลอยขึ้นสู่ฟ้า แต่ตอนนี้กายเนื้อกำลังเหาะเหินด้วยเมฆวิเศษ จึงเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เมื่อกระตุ้นปราณแท้ที่ใต้ฝ่าเท้า ร่างของเยี่ยเทียนก็ทะยานขึ้นราวกับหลุดจากแรงโน้มถ่วงของโลก เพียงชั่วพริบตาก็ไปอยู่บนท้องฟ้าที่ระดับความสูงสองร้อยถึงสามร้อยเมตรแล้ว
ขณะที่อยู่บนฟ้าสูง กระแสปราณอันรุนแรงจากรอบด้านไม่สามารถพัดเมฆที่ก่อขึ้นจากปราณแท้กลุ่มนี้ให้กระจายไปได้เลย จิตวิญญาณของเยี่ยเทียนราวกับจะคล้อยตามกฎเกณฑ์ของสรรพสิ่งในจักรวาล จึงนึกอยากจะท่องไปในดินแดนอันไพศาลไร้ขอบเขต
“เลี่ยจื่อสามารถขี่ลมเหาะเหิน ลอยลิ่วตามลมน่าชมเชย หากเขายึดถือสัจธรรมแห่งฟ้าดินเป็นพาหนะ แลใช้ปราณทั้งหกเป็นแรงขับเคลื่อน ท่องไปในอนันต์อันไร้ที่สิ้นสุดแล้วไซร้…”
เยี่ยเทียนก้มหน้าลงไปมองดูผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ ในใจพลันนึกถึงประโยคหนึ่งจากบทอิสระจรในคัมภีร์ ‘จวงจื่อ’ การที่ยอดคนท่านนี้สามารถกล่าววาจาเช่นนี้ออกมาได้ บางทีอาจเป็นเพราะท่านเคยผ่านประสบการณ์นั้นมากับตนเองก็เป็นได้
ตั้งแต่เยี่ยเทียนได้รู้ความลับบางอย่างจากปากของวานรขาว และตัวเขาเองได้ไปถึงระดับเซียนเทียนแล้ว ตำนานจากคัมภีร์เต๋าที่เคยได้ยินในอดีตเหล่านั้น ก็เหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่ดูห่างไกลเกินเอื้อมถึงอีกต่อไป
“เอ๊ะ ลักษณะภูมิประเทศตรงนี้ดูแปลกๆ อยู่นะ”
ขณะที่กำลังทอดสายตาลงไปเบื้องล่าง เยี่ยเทียนก็เปล่งเสียงอุทานออกมาอย่างอดไม่ได้ เพราะเขาพบว่า บึงน้ำมังกรดำนี้และบ่อน้ำพุร้อนแห่งนั้นมีหน้าผากั้นแยกจากกัน คล้ายกับรูปสัญลักษณ์หยินหยางที่จุดตันเถียนของเขาอย่างยิ่ง
“อาจจะเป็นเพราะเราได้รับพลังจากฮวงจุ้ยของที่นี่ก็ได้นะ!”
ในใจเยี่ยเทียนเหมือนจะตระหนักบางอย่างขึ้นมาได้ การที่ทั้งสองสิ่งคล้ายคลึงกันถึงเพียงนี้ หากจะกล่าวว่าเป็นความบังเอิญก็คงจะดูเกินจริงเกินไป เพียงแต่ว่าคราวนี้เยี่ยเทียนก็สลบไปเช่นเดียวกับเมื่อครั้งอดีตที่เขาได้รับถ่ายทอดศาสตร์สำนักเสื้อป่าน จึงไม่อาจสืบเสาะหาคำตอบได้
ร่างของเยี่ยเทียนหยุดอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง แล้วลอยต่ำลงไปที่ริมบึงน้ำมังกรดำ และส่งจิตเข้าไปในสระนั้น
“โฮก…”
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ศีรษะที่มีเขาแหลมงอกอยู่บนกระหม่อมศีรษะหนึ่งก็ผลุบขึ้นมาเหนือผิวน้ำเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น เสียงมังกรคำรามอันกึกก้องเปล่งออกมาจากปากอันใหญ่โตนั้น จนเกิดเสียงดังสะท้อนไปทั่วหุบเขาโดยรอบเป็นทอดๆ
เสียงมังกรคำรามนั้นดังกระหึ่มจนแม้แต่เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ริมบึงยังรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน จึงอดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “โอ้โฮ มังกรดำ ตกลงพลังฝีมือของแกอยู่ขั้นไหนแล้วล่ะเนี่ย?”
ตอนนี้เยี่ยเทียนเข้าสู่ระดับเซียนเทียนอย่างแท้จริงแล้ว พลังฝีมือเหนือกว่าแต่ก่อนชนิดที่ไม่อาจเปรียบเทียบกันได้เลย แต่ขณะที่เขามองดูมังกรดำ ก็กลับยังคงมีความรู้สึกอ่อนแอบางอย่างอยู่
นอกจากนี้ บนศีรษะของมังกรดำที่ตอนแรกมีเพียงตุ่มโหนกนูนออกมาหนึ่งจุดนั้น ตอนนี้กลับมีเขางอกออกมาหนึ่งเขา รูปโครงศีรษะก็ดูดุดันมากขึ้น ดูราวกับมังกรในตำนานไม่มีผิด
“เยี่ยเทียน ออกมาแล้วเหรอ?!”
หลังจากได้ยินเสียงของเยี่ยเทียน ร่างของมังกรดำก็ทะยานจากในสระขึ้นไปกลางอากาศ หมอกดำกลุ่มหนึ่งปกคลุมไปทั่วร่างอันมหึมาของมัน ลอยค้างอยู่เหนือสระน้ำแห่งนั้น
“แก…แกหัดเหาะเหินได้แล้วรึนี่?” เมื่อเห็นภาพนี้ เยี่ยเทียนก็อึ้งไป แต่เมื่อขบคิดอย่างละเอียด เขาก็เข้าใจขึ้นมาทันที
เดิมทีมังกรดำก็มีพลังฝีมือสูงพออยู่แล้ว เพียงแต่มันไม่เคยได้รับการถ่ายทอดวิชาใดๆ เลย จึงมีหลายศาสตร์ที่มันไม่สามารถใช้ออกมาได้ แต่หลังจากที่ได้รับวิชาฝึกบำเพ็ญสำหรับสัตว์วิเศษจากเขาแล้ว พลังฝีมือของมันก็คงจะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ตามความรู้สึกของเยี่ยเทียน มังกรดำในตอนนี้ดูแตกต่างจากแต่ก่อนมาก แม้ว่ามันจะไม่ได้มีความประสงค์ร้ายใดๆ ต่อเขาเลย แต่เยี่ยเทียนก็ยังรู้สึกได้ว่ามีพลังอันน่าเกรงขามปกคลุมลงมาเหนือร่างของเขา
“ใช่แล้ว ถ้าตอนนี้ไปเจอกับนักพรตนั่นละก็ มังกรดำงับคำเดียวก็กลืนมันลงไปได้ทั้งตัวแล้วละ!”
มังกรดำผงกศีรษะโตๆ ของมัน ดวงตาฉายแววภาคภูมิออกมา แต่เมื่อมันกวาดสายตาดูร่างของเยี่ยเทียนแล้ว ก็มีท่าทางยินดีขึ้นมาทันที “เยี่ยเทียน นายแก้ไขปัญหาร่างกายได้แล้วเหรอ?”
“ใช่ ตอนนี้ฉันไปถึงระดับเซียนเทียนแล้วละ” เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วถามว่า “มังกรดำ ตกลงการบำเพ็ญของแกอยู่ระดับไหนกันแน่น่ะ?”
มังกรดำท่าทางลังเล เหมือนกับกำลังเรียบเรียงคำพูดอยู่ ผ่านไปพักใหญ่ๆ ถึงจะตอบว่า “ฉันก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ถ้าเรียกตามที่มนุษย์อย่างพวกนายเรียกกัน ก็คงใกล้จะก่อจินตันขึ้นมาได้แล้วละมั้ง?”
“ก่อจินตันขึ้นมาได้?”
เมื่อเยี่ยเทียนได้ยินเช่นนั้นก็ตาเบิกโพลงจนแทบจะถลนออกมา เขารู้อยู่ว่ามังกรดำนั้นร้ายกาจมาก แต่ก็ไม่นึกเลยว่า มันจะเกือบไปถึงระดับบรรลุจินตันสำเร็จมหามรรคแล้ว เพราะตามที่วานรขาวกล่าวไว้ ในโลกนี้จะมียอดคนระดับ จินตันอยู่หรือไม่ก็ยังไม่แน่เลย
“อสูรบำเพ็ญอย่างเราน่ะเรียกว่าระดับตันอสูร พอไปถึงระดับนั้นแล้ว ก็จะสามารถจำแลงแปลงกายได้แล้วละ!” มังกรพยักหน้า และส่งคลื่นพลังสายหนึ่งเข้าสู่ห้วงความคิดของเยี่ยเทียน
“ตันอสูร? แกก็มีตันอสูรอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” เยี่ยเทียนงงงัน เพราะเขาเคยเห็นมังกรดำปล่อยตันภายในออกมาต่อสู้กับนักพรตรูปนั้นกับตาตัวเองมาแล้ว
มังกรดำส่ายศีรษะอันใหญ่โตของมัน “นั่นน่ะน่าจะเรียกว่าตันปลอม หลังจากผ่านการทดสอบจากอัสนีสวรรค์แล้ว ตันอสูรถึงจะก่อตัวอย่างสมบูรณ์ มนุษย์อย่างพวกนายถ้าอยากจะก่อจินตันขึ้นมา ก็ต้องทำแบบเดียวกันนั่นแหละ!”
“ตันปลอม? อย่างนั้นก็หมายความว่า ตันที่อยู่ในรูปหยินหยางในร่างของฉันก็เป็นของปลอมเหมือนกันงั้นสิ?” หลังจากได้ฟังคำตอบของมังกรดำ เยี่ยเทียนก็มีสีหน้าครุ่นคิด
วานรขาวเคยบอกว่า หลังจากเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว ก็จะต้องหล่อหลอมปราณแท้ของตนเองไปเรื่อยๆ และบีบอัดจนเกิดเป็นเม็ดพลังตัน จนกระทั่งบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคในที่สุด
แต่เห็นได้ชัดว่า วานรขาวไม่ได้รู้เกี่ยวกับปริศนาข้อนี้ ความรู้ความเข้าใจของมันยังไม่เท่ากับที่เจ้ามังกรดำนี้รู้เลย
“แปลกจริง มังกรดำทำไมแกถึงรู้เรื่องพวกนี้ได้ล่ะ?” เยี่ยเทียนพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ วิชาที่เขาถ่ายทอดให้มังกรดำไปนั้น เขาเองก็เคยอ่านมาแล้ว จึงรู้ว่าในนั้นไม่ได้มีการกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้เลย
มังกรดำมีแววตางงงวย ส่ายศีรษะแล้วตอบว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันก็ฝึกบำเพ็ญไปตามวิชานั่นแหละ พอบนหัวมีเขางอกออกมา ความรู้พวกนี้ก็ปรากฏขึ้นมาในสมองเลย”
เยี่ยเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “แกคงใกล้จะกลายเป็นมังกรเต็มตัวแล้วละมั้ง? ข้อมูลบางอย่างที่ถูกผนึกไว้เลยถูกเปิดออกมาก็อาจจะเป็นไปได้นะ”
ที่จริงสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดมานี้ก็ถือว่าเดาถูกอยู่เหมือนกัน แต่เดิมมังกรดำเป็นเพียงงูหลามบนเขาตัวหนึ่ง แม้จะจัดว่าเป็นชนิดกลายพันธุ์ แต่ก็ยังแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตประเภทมังกรอย่างลิบลับอยู่ดี
แต่เพราะโอกาสประจวบเหมาะ มังกรดำจึงบำเพ็ญเพียรอย่างงงๆ จนมาถึงระดับนี้ได้ และสลัดคราบงูหลามออก กลายเป็นมังกรน้ำตัวหนึ่ง
หลังจากที่การบำเพ็ญของมังกรดำพัฒนาไปอีกขั้นจนกระทั่งมีเขางอกออกมา มันก็อยู่ในสถานะกึ่งมังกรเต็มตัว เหลือเพียงแต่ผ่านอัสนีสวรรค์ให้ได้เท่านั้น ทีนี้มันก็จะกลายเป็นมังกรเต็มตัว ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏแต่ในตำนาน
“จริงสิ มังกรดำ ถ้าแกผ่านอัสนีสวรรค์แล้ว จะแปลงร่างเป็นคนได้รึเปล่าล่ะ?”
ในเมื่อเป็นคำถามที่ไม่อาจหาคำตอบได้ เยี่ยเทียนก็จะไม่ไปขบคิดถึงมันอีก ยามนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างพวกปีศาจในเรื่อง ‘ไซอิ๋ว’ ก็แปลงกายเป็นคนได้ทั้งนั้นเลยนี่
“ไม่ได้หรอก ทำได้แค่ขยายร่างนี้ให้ใหญ่ขึ้นหรือไม่ก็ย่อส่วนลงเท่านั้นแหละ” มังกรดำส่ายหน้า “มีเสียงหนึ่งบอกฉันไว้ว่า จะต้องผ่านอัสนีสวรรค์ให้ได้เก้าครั้ง ฉัน…ฉันยังไม่กล้าหรอก!”
แม้ว่ามังกรดำจะมีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว แต่ความคิดจิตใจก็ยังคงบริสุทธิ์เหมือนเด็กคนหนึ่ง มันมีความหวาดกลัวต่อการทดสอบจากอัสนีสวรรค์โดยสัญชาติญาณอยู่ จึงไม่ได้อยากจะไปผ่านอัสนีสวรรค์อะไรนั่นเลยสักนิด
“ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอกน่า!”
เยี่ยเทียนตบศีรษะมังกรดำเบาๆ “แกตั้งใจบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่ไปก่อน หลังจากนี้ฉันก็จะมาเยี่ยมแกทุกปี ถ้าแกจะทดสอบอัสนีย์สวรรค์เมื่อไร ฉันก็จะมาช่วยคุ้มกันให้เอง!”
“นายจะไปแล้วเหรอ?” เมื่อฟังจากที่เยี่ยเทียนพูดแล้ว มังกรดำจึงอ้าปากอันใหญ่โตงับอกเสื้อของเยี่ยเทียนไว้ ดวงตาฉายแววอาลัยอาวรณ์ออกมา
“อืม ฉันต้องกลับไปแล้วละ!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วพูดต่อไปว่า “คราวหน้าที่เราจะได้พบกัน หวังว่าแกจะได้ผ่านอัสนีย์สวรรค์แล้วนะ ถึงตอนนั้นฉันจะได้พาแกไปดูโลกมนุษย์เสียหน่อย!”
การเดินทางของเยี่ยเทียนครั้งนี้นับว่าประสบความสำเร็จโดยสมบูรณ์แล้ว ที่เขาเรียกมังกรดำออกมานั้น ก็เพราะอยากจะบอกลามัน เมื่อเห็นว่านอกจากการบำเพ็ญของมังกรดำจะก้าวหน้าไปมากแล้ว ยังรู้ศาสตร์วิชาต่างๆ เพิ่มขึ้นมากอีกด้วย
อีกทั้งมังกรดำยังเร้นกายอยู่ในบึงน้ำมังกรดำ คาดว่าต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญพรตระดับเซียนเทียนช่วงปลาย ก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของมังกรดำได้ เยี่ยเทียนจึงจากมันไปได้อย่างวางใจ