หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 721 รู้เขารู้เรา
ตอนที่ 721 รู้เขารู้เรา
“ฆ่า…ฆ่าไปแล้วคนหนึ่ง?”
แม้ซ่งเฮ่าเทียนจะรู้จากข้อมูลที่มีอยู่ในมือว่า หลานชายคนนี้ไม่ใช่คนชนิดที่จะตอแยได้ง่ายๆ เลย จำนวนคนที่เสียชีวิตไปด้วยน้ำมือของเขานั้นอย่างน้อยก็ต้องมีตั้งแต่สองหลักขึ้นไป แต่ไม่ว่าอย่างไรซ่งเฮ่าเทียนก็นึกไม่ถึงเลยว่า เยี่ยเทียนจะถึงขั้นเคยฆ่าบุคคลที่บันทึกอยู่ในเอกสารลับเหล่านั้นเลยรึนี่?
การที่ซ่งเฮ่าเทียนยังไม่เคยพบกับคนเหล่านี้ ก็ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รู้จัก
เพราะตอนที่บรรดานายพลผู้เคยบัญชาการกองทัพนับพันนับหมื่นในสงครามก่อตั้งประเทศกล่าวถึงบุคคลเหล่านั้นในเอกสาร ต่างก็ใช้ถ้อยคำที่ยกย่องนับถือเป็นที่สุด บางคนถึงขนาดบรรยายไว้ว่า พลังของคนไม่อาจต่อกรได้เลยทีเดียว
และหน่วยทหารคุ้มกันที่ถูกส่งไปประจำการรอบเมืองหลวงนั้น แม้จะอ้างว่ามีจุดประสงค์เพื่อป้องกันการโจมตีแบบฉับพลันโดยขีปนาวุธระยะไกลจากประเทศฝ่ายศัตรู แต่มีเพียงพวกซ่งเฮ่าเทียนเท่านั้นที่รู้ว่า พวกคนที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้เหล่านั้นต่างหากที่เป็นเป้าหมายหลักของหน่วยคุ้มกัน
“ท่านผู้เฒ่าครับ ถึงผมจะไม่รู้ว่าท่านเข้าใจเกี่ยวกับคนพวกนี้มากน้อยแค่ไหน แต่ผมรู้ว่า พวกเขาก็เป็นคนเหมือนเราๆ นั่นแหละ เพียงแต่คนเหล่านั้นสามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองได้มากกว่า ก็เลยกลายเป็นยอดมนุษย์ในสายตาของคนอื่นๆ ไป”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วยื่นคูปองอาหารในมือไปใกล้ๆ หน้าซ่งเฮ่าเทียน “ผมได้นี่มาจากตัวเจ้าคนนั้น การที่พวกนั้นมีของแบบนี้ได้ก็หมายความว่า พวกนั้นต้องมีการติดต่อเกี่ยวข้องกับโลกฝ่ายฆราวาสอยู่แน่นอน ผมเลยอยากจะให้ท่านช่วยสืบดูหน่อยว่า คูปองอาหารพวกนี้ถูกแจกจ่ายออกไปจากที่ไหน!”
หลังจากเข้าสู่ระดับเซียนเทียน ความหวาดหวั่นที่เยี่ยเทียนมีต่อพวกผู้บำเพ็ญพรตก็จางหายไปมาก เขาเชื่อมั่นว่า ตอนนี้หากต้องเผชิญหน้ากับนักพรตรูปนั้น ต่อให้สู้ไม่ชนะ ก็ต้องสามารถหนีรอดได้แน่นอน
ในยุทธภพนั้นแม้จะถือหลักว่า ความซวยไม่กล้ำกรายถึงคนอื่นในบ้าน แต่เยี่ยเทียนก็ไม่รู้ว่า ธรรมเนียมข้อนี้ใช้กับวงการผู้บำเพ็ญพรตได้เหมือนกันหรือไม่ ถ้าพวกผู้บำเพ็ญพรตเกิดผูกใจเจ็บขึ้นมา อย่างนั้นเยี่ยเทียนก็จะทำให้คนทั้งบ้านพลอยลำบากไปด้วย
ภาษิตว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เพราะฉะนั้นเยี่ยเทียนจะต้องเข้าใจความคิดของฝ่ายตรงข้ามเสียก่อน เขาถึงจะสามารถวางมาตรการป้องกันตัวที่เหมาะสมได้ ดังนั้นหลังจากกลับมากรุงปักกิ่งได้ไม่ถึงสองวัน เยี่ยเทียนจึงมาหาซ่งเฮ่าเทียน เพราะมีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถจะสืบสาวที่มาของคูปองอาหารเหล่านี้ได้
“คูปองอาหาร? ของแบบนี้เขาเลิกใช้กันไปตั้งนานแล้วนี่!”
ซ่งเฮ่าเทียนหยิบคูปองอาหารขึ้นมา ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มฝืด “คูปองอาหารพวกนี้น่ะสมัยก่อนผลิตกันเป็นจำนวนมาก เฉพาะในเขตปักกิ่งก็ออกตั๋วมาไม่รู้กี่หมื่นใบแล้ว แกจะให้ฉันไปสืบที่ไหนล่ะ?”
ในสมัยที่รัฐใช้ระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนนั้น คูปองอาหารแทบจะไม่ต่างอะไรกับเงิน และยังแจกจ่ายโดยใช้ระบบปันส่วน ลำพังแค่คูปองอาหารไม่กี่ใบที่ถืออยู่ในมือนี้ แม้แต่ซ่งเฮ่าเทียนเองก็ไม่รู้จะไปเริ่มต้นที่ไหนเหมือนกัน
“อย่างอื่นก็ยังมีธนบัตรใบละสามหยวนอีกเกือบร้อยหยวน ผมทำลายไปหมดแล้วละ แต่นี่ก็พอจะเป็นเบาะแสได้เหมือนกัน!”
เยี่ยเทียนครุ่นคิดดู แล้วพูดต่อไปว่า “ท่านผู้เฒ่าครับ สมัยนั้นคนที่จะได้เงินกับคูปองอาหารไปมากขนาดนี้ได้ จะต้องไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาแน่ แล้วก็ไม่น่าจะเป็นคนทำอาชีพค้าขายด้วย ผมคิดว่า เราลองไปสืบหาดูในกลุ่มผู้ก่อตั้งประเทศก็ได้นะครับ!”
นี่ก็เป็นเหตุผลที่เยี่ยเทียนเลือกมาหาซ่งเฮ่าเทียนนั่นเอง เพราะกลุ่มผู้ก่อตั้งประเทศเหล่านั้นมักจะมีความลับที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณชนอยู่มากมาย และมีระบบการรักษาข้อมูลที่รัดกุมอย่างยิ่ง คงจะมีแต่คนระดับซ่งเฮ่าเทียนเท่านั้น จึงจะมีสิทธิไปค้นดูเอกสารเหล่านั้นได้
“ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้หรอก ฉันอยากจะถามแกหน่อยว่า ทำไมแกถึงไปมีเรื่องกับคนพวกนั้นได้ล่ะหา?”
ซ่งเฮ่าเทียนเอือมระอาแต่ก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน “คนพวกนั้นเหาะเหินเดินอากาศได้จริงๆ น่ะหรือ? แล้วแกไปเจอที่ไหน ฆ่ามันยังไง?”
“เอาคำถามมาจากไหนเยอะแยะครับเนี่ย?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็ถึงกับเหลือกตามองบน “เรื่องพวกนี้ท่านยิ่งรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี วันหน้าถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา พวกนั้นก็จะได้มาหาผมเยี่ยเทียนคนเดียว ไม่มายุ่งกับคนอื่นๆ ด้วย!”
“ไร้สาระ แกเป็นหลานฉัน เรื่องของแกฉันไม่ยุ่งแล้วใครจะยุ่ง?”
พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้น ซ่งเฮ่าเทียนก็ขึงตาใส่เขาทันที แล้วดุว่า “พลังของคนนั้นสักวันก็ต้องถึงขีดจำกัด ต่อให้บุคคลมีความสามารถเหลือล้น แต่จะไปสู้กับรัฐไหวหรือ? แกนี่นะเวลาฆ่าคนก็ใจกล้าเสียเหลือเกิน ตอนนี้ทำไมกลัวขึ้นมาแล้วล่ะ?”
ซ่งเฮ่าเทียนมียศศักดิ์สูงส่งมาทั้งชีวิต ตั้งแต่โบราณมา เทพเซียนผู้ปลีกตัวจากสังคมเหล่านั้นส่วนมากก็มักจะเร้นกายอยู่ตามป่าเขา ในช่วงที่มียอดฝีมือปรากฏกายทั่วทุกสารทิศในสมัยปลายราชวงศ์หยวนนั้น เคยมีหลวงจีนรูปหนึ่งนามว่า เผิงอิ๋งอวี้ ลือกันว่ามีอาคมแก่กล้าดั่งเทพยดา ไม่หวั่นต่อทั้งคมดาบและกองทัพ แต่สุดท้ายก็ยังต่อสู้จนตัวตายไปในสมรภูมิอยู่ดี
ส่วนประเด็นที่ว่า หลวงจีนเผิงรูปนี้จะใช่ผู้บำเพ็ญพรตหรือไม่นั้น เอกสารโบราณต่างๆ ในสมัยต่อมาไม่ได้มีบันทึกไว้เลย ดังนั้นจึงเป็นบุคคลเพียงผู้เดียวนอกจากจางเจวี๋ยในสมัยปลายราชวงศ์ฮั่น ที่มีความเกี่ยวข้องกับวงการบำเพ็ญพรต
“ท่านผู้เฒ่าครับ คนพวกนั้นอาจจะไม่กล้าต่อต้านรัฐก็จริง แต่กฎหมายของรัฐก็คงใช้กับคนพวกนั้นไม่ได้เหมือนกัน ถ้าเกิดมีคนหนึ่งโผล่มาฆ่าล้างตระกูลเยี่ยกับตระกูลซ่ง แล้วรัฐจะไปทำอะไรพวกนั้นได้ล่ะครับ?”
เยี่ยเทียนยิ้มอย่างหดหู่ ซ่งเฮ่าเทียนคิดง่ายเกินไปรึเปล่า
อาศัยฝีมือของคนเหล่านี้ ขอแค่ข่าวไม่แพร่งพรายออกไป พวกนั้นก็สามารถขุดรากถอนโคนตระกูลเยี่ยและตระกูลซ่งได้ในชั่วข้ามคืน จากนั้นก็หลบลี้หนีหายให้ไกลสุดหล้า เท่านี้รัฐก็ไม่มีทางทำอะไรพวกนั้นได้แล้ว
เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง อย่างน้อยในตอนนี้เยี่ยเทียนเองก็มีความสามารถถึงระดับนั้นเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ที่มีการคุ้มกันหนาแน่นขนาดไหน เขาก็สามารถเดินเข้าออกได้อย่างสบายๆ แม้แต่ผู้คุ้มกันฝีมือดีระดับที่เรียกว่ายอดองครักษ์เหล่านั้น ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย
“ที่แกพูดมาก็จริงนะ ต้องป้องกันไว้ก่อน!” หลังจากฟังคำพูดของหลานชาย สีหน้าของซ่งเฮ่าเทียนก็เคร่งขรึมขึ้นมา
คนโบราณมักกล่าวว่า ‘ชาวยุทธตัดสินเรื่องราวโดยใช้กำลัง’ ซึ่งก็มีความหมายเดียวกับสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดมานั่นเอง นี่จึงเป็นสาเหตุที่สำนักวิชาการต่อสู้บางแห่งถูกปราบปรามหลังจากการสถาปนาประเทศ จนกระทั่งช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ จึงจะเริ่มมีการสนับสนุนให้มีการแสดงศิลปะการต่อสู้ดั้งเดิมเวลามีงานแสดงบางงาน
แต่ซ่งเฮ่าเทียนก็ยังรู้สึกว่าสิ่งที่หลานชายพูดมานั้นออกจะเกินจริงไปสักหน่อย หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “เยี่ยเทียน ที่แกบอกว่าตัวเองเข้าออกที่นี่ได้สบายๆ น่ะ ฉันไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่หรอกนะ!”
“ไม่เชื่อหรือครับ?”
เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะ หมอกขาวรอบตัวพลันหนาแน่นขึ้นมาทันที ร่างของเขาไม่ได้เคลื่อนไหวเลย แต่แล้วทั้งร่างคนทั้งเก้าอี้ก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศหนึ่งเมตร โดยที่ยังอยู่ในท่านั่งหลังตรงเหมือนเดิม
“นี่มันเคล็ดวิชาอะไรกันเนี่ย?”
แม้ว่าในชีวิตซ่งเฮ่าเทียนจะเคยพบเห็นสิ่งต่างๆ มามาก แต่ก็ยังรู้สึกตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏแก่สายตา เขารู้ดีว่า เยี่ยเทียนไม่ได้เล่นมายากลแน่ๆ
และการที่ร่างของคนลอยอยู่กลางอากาศนั้น ก็ผิดกับหลักการทางวิทยาศาสตร์อยู่ชัดๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นกับตาตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรซ่งเฮ่าเทียนก็ไม่มีทางเชื่อแน่ว่า ในโลกจะมีเรื่องเช่นนี้อยู่ด้วย
ร่างของเยี่ยเทียนยังคงลอยอยู่กลางอากาศ เขาถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า “คุณท่านครับ ผมเพิ่งจะบำเพ็ญถึงระดับนี้ได้ไม่นาน คนพวกนั้นน่ะมีพลังฝีมือเหนือกว่าผมเป็นร้อยเท่าเลย
“เพราะฉะนั้นพวกเราจะต้องระวังตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนที่ท่านไปสืบค้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ต้องระวังอย่าให้อีกฝ่ายรู้ตัวได้นะครับ!”
แม้ว่าตระกูลเยี่ยและตระกูลซ่งจะมีความแค้นต่อกันอยู่ แต่เยี่ยเทียนรู้สึกได้ว่า ความห่วงหาอาทรที่ชายชราผู้นี้มีต่อเขานั้นออกมาจากใจจริง ดังนั้นถึงได้กล้าแสดงความสามารถที่ผิดจากมนุษย์ธรรมดาออกมาให้เห็น
ซ่งเฮ่าเทียนพึมพำกับตัวเอง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เยี่ยเทียน ถ้าสืบหาที่มาของคูปองอาหารพวกนี้ได้แล้ว มันจะเป็นประโยชน์ต่อเรื่องนี้ยังไงบ้างล่ะ?”
ตามความคิดของซ่งเฮ่าเทียน ในเมื่อคนเหล่านั้นร้ายกาจถึงเพียงนี้ อย่างนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือต้องหลีกให้ห่างไว้ ดูจากวิธีของเยี่ยเทียนแล้ว คาดว่าน่าจะเป็นการรวบหัวรวบหางเก็บกวาดหลังจากที่ฆ่าคนอื่นไปแน่ๆ
“ท่านผู้เฒ่าครับ ผมสงสัยว่า การปรากฏกายของผู้บำเพ็ญพรตคนนั้น จะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับทางโลกของปุถุชนอยู่ ผมเลยอยากจะลองหาดูว่า บ้านใครตระกูลไหนกันแน่ที่ไปเชิญคนพวกนั้นออกมา ต่อไปเราก็จะได้ป้องกันตัวได้มากขึ้น”
ทั้งที่ไม่มีผู้บำเพ็ญพรตปรากฏกายเลยมาหลายสิบปีแล้ว แต่จู่ๆ ก็มีปรากฏมาคนหนึ่ง เยี่ยเทียนจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้ออกจะไม่ชอบมาพากลอยู่ โดยเฉพาะคนผู้นั้นยังพกเงินตราที่ใช้กันในโลกของปุถุชนอีกด้วย คาดว่าต้องมีเจตนาที่จะเข้ามาอยู่ในสังคมของฆราวาสแน่ๆ
การที่นักพรตรูปนี้ตายไป ไม่ได้แปลว่าผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังจะไม่ส่งคนมาอีก ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงอยากจะสืบสาวให้ถึงที่สุด อย่างน้อยก็จะได้เปิดโปงฝ่ายตรงข้ามให้อยู่ในที่แจ้ง ส่วนเขาก็เร้นกายอยู่ในที่ลับ
……
“หัวหน้าครับ ท่านผู้นำอยู่กับมันตรงนั้นมานานมากแล้วนะครับ พวกเราไปดูกันหน่อยดีไหมครับ?”
ในห้องหนึ่งที่เรือนหน้าของเรือนสี่ประสาน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนกำลังมองไปที่ฝูเจิงหมิง พวกเขามองไม่เห็นซ่งเฮ่าเทียนมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว หากว่ากันตามหลักการ พวกเขาก็น่าจะถูกไล่ออกไปแล้ว และต้องได้รับโทษกันหมดทุกคน
“หน้าที่ของพวกแกน่ะ คือรับประกันความปลอดภัยของท่านนำ ไม่ใช่มานั่งเฝ้าสังเกตท่านนะ!”
ฝูเจิงหมิงขึงตาดุ แล้วตวาดว่า “ท่านผู้นำเป็นคนสั่งให้พวกแกออกมาเอง ถ้าท่านผู้นำได้รับอันตรายละก็ ฉันจะเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่างเอง!”
ฝูเจิงหมิงก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะบุกเข้าไปในลานบ้าน เพียงแต่เขารู้ว่า ตัวเองนั้นห่างชั้นกับเยี่ยเทียนเกินไป
ถ้าเยี่ยเทียนคิดจะทำร้ายท่านผู้นำ ในเวลาที่นานขนาดนี้ก็คงพอให้เขาฆ่าได้ร้อยรอบแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่สู้ไว้หน้าเยี่ยเทียนสักครั้ง ปล่อยให้พวกเขาสนทนากันต่อไปดีกว่า
“พอแค่นี้ก็แล้วกันครับ บรรดาผู้คุ้มกันของคุณท่านร้อนใจกันใหญ่แล้วล่ะ!”
ตอนที่เยี่ยเทียนแผ่ปราณแท้ออกมาคลุมกั้นเขาและซ่งเฮ่าเทียนไว้ ขณะเดียวกันก็ได้แผ่จิตปกคลุมทั่วทั้งเรือนสี่ประสาน การโต้เถียงภายในห้องสังเกตการณ์จึงไม่ได้พ้นหูพ้นตาของเขาเลย
“จำคูปองอาหารนี่ไว้ให้แม่นนะครับ เราจะปล่อยมันไว้เป็นหลักฐานไม่ได้เด็ดขาด”
เยี่ยเทียนจีบนิ้วโป้งและนิ้วชี้มือขวาเข้าหากัน พลังปราณหยินหยางขัดสีกัน จนปรากฏเปลวเพลิงขึ้นที่ปลายนิ้วของเขา เพียงชั่วขณะเดียวก็เผาคูปองอาหารเหล่านั้นจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
“แก นี่แกกลายเป็นเทพเซียนไปแล้วใช่ไหมเนี่ย?”
ซ่งเฮ่าเทียนเห็นการกระทำของเยี่ยเทียนแล้วตกตะลึงตาค้าง ในใจก็เริ่มเชื่อคำพูดของเขาอย่างไร้ข้อกังขาแล้ว ระหว่างที่ทำการสืบค้นเรื่องนี้ เขาจะระมัดระวังให้มากขึ้น
“โลกนี้มีเทพเซียนอะไรนั่นที่ไหนกันล่ะครับ ก็แค่คนที่อายุยืนกว่าคนธรรมดาหน่อยเท่านั้นแหละ”
เยี่ยเทียนยิ้มพลางส่ายหน้าแล้วตั้งจิต หมอกขาวเป็นปุยๆ ที่ไหลเวียนอยู่รอบๆ เขาและซ่งเฮ่าเทียนทั้งหมดมุดหายลงไปในพื้นดิน จากนั้นก็ถ่ายเทเข้าสู่ร่างของเยี่ยเทียนผ่านทางฝ่าเท้า
“ดูท่าตำนานพวกนั้นคงจะไม่ใช่เรื่องหลอกลวงไปเสียทั้งหมดแล้วละ ฉันต้องไปหาพวกคัมภีร์ซานไห่จิงมาอ่านบ้างซะแล้วสิ ไม่แน่นะอาจจะยืดอายุขัยได้กว่านี้อีก” ซ่งเฮ่าเทียนก็อายุขึ้นเลขแปดแล้ว ชีวิตนี้เขาเคยผ่านคลื่นลมมามาก หลังจากความตื่นตระหนกในตอนแรกจางหายไปแล้ว สีหน้าก็สงบลงดังเดิม
“อย่าไปหวังเลยครับว่าจะได้อายุยืนด้วยวิธีที่อ้อมไปอ้อมมาแบบนั้นน่ะ ไว้สักวันผมจะแกะสลักของดีๆ ออกมา ส่วนของคุณท่านน่ะต้องมีอยู่แล้วละ!” เยี่ยเทียนทำปากคว่ำ แล้วซุกกล่องใบชาต้าหงเผาที่มีอยู่ไม่ถึงหนึ่งตำลึงบนโต๊ะนั้นใส่กระเป๋าตัวเอง
ขณะเดียวกันกับที่เยี่ยเทียนสลายปราณแท้ออกไป บรรดาคนที่อยู่ในห้องสังเกตการณ์ก็โล่งอกไปตามๆ กัน ดูบนจอมอนิเตอร์ท่านผู้นำกับชายหนุ่มคนนั้นท่าทางกำลังคุยกันเพลิน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น