หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 726 พิสดาร
ตอนที่ 726 พิสดาร
“เกิดอะไรขึ้น? พวกคุณคิดจะทำอะไร มาจากหน่วยงานไหนกัน?!”
พอเห็นประตูใหญ่ถูกผลักออก จู้เหวยเฟิงก็ลุกออกไปต้อนรับ เพราะเขาสามารถมองออกว่า ชายวัยกลางคนรูปร่างแข็งแรงที่เดินมาด้านหน้า จะต้องทำงานอยู่หน่วยงานด้านรักษาความปลอดภัย
“จู้เหวยเฟิง ทำไมถึงเป็นนายล่ะ? เรื่องที่ประเทศไทยจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ?”
ชายวัยกลางคนสวมเสื้อแจ็คเก็ตแต่ข้างในตัวบวมใหญ่เดินออกมา พูดว่า “ท่านผู้นำอยากจะพบเยี่ยเทียน ลูกน้องของนายยังกล้ามาขวางอีกหรือ?”
“ฝูเจิ้งหมิง? หรือ…หรือว่าเป็นประธานซ่ง?”
พอเห็นคนเข้ามา จู้เหวยเฟิงยังอดงงงันไม่ได้ เดิมทีตัวเขาเองก็มาจากระบบกองทัพ สมัยยังเด็กภายในบ้านก็มีคนเหล่านี้อยู่เช่นกัน จึงคุ้นเคยกับฝูเจิ้งหมิง ผู้คุ้มกันพิเศษคนนี้เป็นอย่างดี
ฝูเจิ้งหมิงพยักหน้า แต่กลับไม่ตอบอะไร เลื่อนสายตาไปทางเยี่ยเทียน กล่าวว่า “ท่านผู้นำอยู่ในรถครับ คุณจะไปพบหรือไม่?”
พอได้ยินคำพูดของฝูเจิ้งหมิง จู้เหวยเฟิงก็เบิ่งตาโต ผู้คุ้มกันพิเศษที่มีนิสัยใจคอมุทะลุดุดันคนนี้ กลับใช้น้ำเสียงเจรจากับเยี่ยเทียนอย่างนี้หรือ? แถมยังเป็นสํานวนเชิงยกย่องอีกต่างหาก!
สำหรับพวกคนเหล่านี้ นอกจากท่านผู้นำที่เขาต้องคอยคุ้มกันแล้ว คนอื่นก็ไม่อยู่ในสายตาแม้แต่นิดเดียว ต่อให้เป็นญาติมิตรของท่านผู้นำก็มักไม่ได้รับการเอาใจใส่มากนัก
แต่ท่าทีของฝูเจิ้งหมิงที่มีต่อเยี่ยเทียน แทบไม่แตกต่างจากที่เขากระทำต่อท่านผู้นำเอง จู้เหวยเฟิงรู้สึกว่ายากเกินจะเข้าใจ ในดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย
“ให้ท่านผู้เฒ่าเข้ามาในบ้านเถอะ” เยี่ยเทียนหันหน้ามามองจู้เหวยเฟิงแวบหนึ่ง บอกว่า ” สั่งคนพวกนั้นของคุณให้ไสหัวไปให้หมด ถ้าไม่มีคนคอยติดตามบ้าง จะรู้สึกเหมือนไม่ได้แสดงอำนาจหรือไง?”
จู้เหวยเฟิงพยักหน้าอย่างละอายใจ “ได้ ฉันจะให้พวกเขาออกไปเดี๋ยวนี้ งั้นฉันกับเหล่าต่งขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน!”
“ไม่ได้ ท่านเยี่ย ท่านต้องช่วยต้าจ้วงนะ!”
จู้เหวยเฟิงพูดพลางเข็นรถเข็น ต่งเซิงไห่ไม่รู้ว่าคนที่มาคือใคร จึงใช้ฝ่ามือข้างเดียวหยุดรถเข็นเอาไว้ ยืนกรานไม่ยอมขยับ เขายังคงเฝ้ารอให้เยี่ยเทียนช่วยหลานชายของเขา
“เอาเถอะ คุณกับเหล่าต่งอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน เดี๋ยวผมจะเข้าไปคุยกันในบ้านก่อน!”
เห็นท่าทางน่าเวทนาของต่งเซิงไห่อย่างนั้น เยี่ยเทียนยังรู้สึกว่าค่อนข้างทำใจลำบาก จากการทำนายดวงของเขา ถึงแม้ต่งเซิงไห่จะยังไม่ชะตาขาด แต่ก็ทุกข์ทรมานพอสมมควร
เห็นว่าฝูเจิ้งหมิงสาวเท้ากำลังจะออกไปด้านนอก เยี่ยเทียนก็รีบร้องเรียกเขาไว้ กล่าวว่า “เหล่าฝู อย่าเพิ่งไป ผมให้ของคุณชิ้นหนึ่ง เอาไปให้คนวิเคราะห์ดูหน่อย มันคือแมลงพิษในวิชาคุณไสยจากประเทศไทย!”
หันมองไปรอบด้านแล้วเยี่ยเทียนก็หยิบขวดน้ำแร่ขึ้นมาจากด้านข้างกระถางต้นไม้ นำเอาแมลงพิษใส่ลงไป เจ้าตัวนี้ไม่ใช่แมลงตัวแทน พอออกมาจากร่างที่สิงสู่แล้วจึงไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลือ
“เอ่อ น้องชายอย่าทำร้ายกันดีกว่า เอาเจ้าตัวนี้ให้ผมมาทำไม?”
พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ฝูเจิ้งหมิงก็ถอยไปด้านหลังเหมือนเห็นผี ในงานคุ้มกันของเขามีกฏอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือไม่อนุญาตให้นำสิ่งอันตรายใดๆ ก็ตามเข้าใกล้ท่านผู้นำ และแมลงพิษตัวนี้ก็มีชื่อเสียงเลื่องลือไปไกล
“เห็นคุณดูกล้าหาญออกขนาดนั้น ไม่อยากได้ก็ไม่เป็นไร” เยี่ยเทียนส่ายหน้า ถือขวดน้ำแร่ขึ้นมาเล่นในมือ
เห็นการกระทำของเยี่ยเทียนแล้ว หนังตาของฝูเจิ้งหมิงก็กระตุกขึ้นมานิดนึง เอ่ยปากบอกว่า “เยี่ยเทียน ถ้าคุณถือของชิ้นนั้นไว้ ผมก็ให้คุณเข้าใกล้ท่านผุ้นำไม่ได้”
“ก็ได้ งั้นผมจะทำลายมันเสีย โอเคหรือยัง?” เยี่ยเทียนทิ้งขวดน้ำแร่ลงบนพื้นอย่างกระอักกระอ่วนใจ พอเหยียบลงไปครั้งหนึ่ง แมลงที่อยู่ข้างในนั้นก็กลายเป็นเลือดก้อนหนึ่ง
ฝูเจิ้งหมิงถึงค่อยวางใจลง บอกกับลูกน้องว่า “เอาของชิ้นนั้นกลับไป ส่งให้กับห้องทดลองในกองทัพ!”
“ตอนยังเป็นไม่เอา เอาตอนตายเนี่ยนะ?” เยี่ยเทียนสายหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก บอกว่า “ถ้าตรวจพบผลเป็นยังไงบอกผมด้วยนะ!”
ระหว่างที่พูด ซ่งเฮ่าเทียนก็เดินเข้ามาในเรือนสี่ประสานท่ามกลางวงล้อมของผู้คุ้มกันทั้งหลาย เงยหน้าเห็นจู้เหวยเฟิงกับต่งเซิงไห่ที่นั่งอยู่บนรถเข็น ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
ยังไม่ทันรอให้ซ่งเฮ่าเทียนเปิดปาก เยี่ยเทียนก็ชิงพูดก่อน “ท่านผู้เฒ่าครับ สองคนนี้คือเพื่อนของผมเอง ผมยังมีเรื่องต้องคุยกับพวกเขา พวกเราเข้าไปคุยข้างในกันก่อนเถอะครับ”
ซ่งเฮ่าเทียนพยักหน้าเล็กน้อย เดินตรงเข้าไปยังเรือนกลาง ผู้คุ้มกันที่ตามหลังเขามาสองคน ก็เดินนำหน้าเข้าไปยังเรือนกลางก่อนเพื่อคอยระแวดระวังภัย
“คราวหลังเพลาๆ การคบหากับพวกคนไร้สาระเหล่านั้นลงบ้าง ดูซิว่าพวกเขาเป็นยังไง?” พอเข้ามาในเรือนกลางแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็อดสั่งสอนเยี่ยเทียนออกมาสักสองสามคำไม่ได้
“ท่านผู้เฒ่า แสดงว่าร่างกายมีกำลังวังชาดีแล้ว ถึงมีแรงสั่งสอนผมใช่ไหมครับ?”
เยี่ยเทียนไม่คิดถือสาหาความกับซ่งเฮ่าเทียน มองไปยังผู้คุ้มกันเหล่านั้นที่ยืนห่างออกไปสิบกว่าเมตร ครู่หนึ่งใต้ฝ่าเท้าก็ปรากฏหมอกควัน ห่อหุ้มตัวเขากับซ่งเฮ่าเทียนเอาไว้
“เจ้าหนู เฮ้อ ถือว่าฉันติดหนี้เธอก็แล้วกัน!” ซ่งเฮ่าเทียนส่ายหน้าแค่นยิ้ม เขาเคยเป็นคนควบคุมทิศทางของประเทศชาติ แต่อยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียนกลับเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า
“เรื่องนั้นมีสัญญาณออกมาแล้วหรือยังครับ? ทำไมถึงไม่โทรศัพท์ให้ผมไปหาล่ะ?” พอใช้ปราณแท้แยกตัวเองกับซ่งเฮ่าเทียนออกจากโลกภายนอกแล้ว สีหน้าของเยี่ยเทียนก็ตึงเครียดขึ้น
“ไม่ได้ออกไปไหนนานแล้ว ฉันเลยอยากมาหาเธอเอง…”
ซ่งเฮ่าเทียนพยักหน้า น้ำเสียงเบาลงหลายส่วน บอกว่า “คูปองอาหารในอดีตเหล่านั้นถูกจัดสรรโดยหวงต้าจง ซึ่งก็คือคุณปู่ของเจ้าหนูหวงต้าจื้อนั่นเอง แต่ฉันชักรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายเท่าไหร่นัก!”
ถึงแม้การอาศัยเพียงคูปองอาหารไม่กี่ใบเพื่อสืบสาวต้นทางของพวกเขานั้นจะดูยากเย็น แต่หากเป็นซ่งเฮ่าเทียนแล้ว ยังเป็นเรื่องที่สามารถทำได้อยู่
หลังจากใช้เวลากว่าหนึ่งสัปดาห์ ซ่งเฮ่าเทียนนำเอารายชื่อคนที่พิมพ์และแจกจ่ายคูปองอาหารที่ปักกิ่งในช่วงเวลานั้นไล่ค้นออกมาจนหมด ผ่านการคัดกรองแยกแยะข้อมูลจำนวนมหาศาลแล้ว ผลท้ายสุดก็ชี้ไปยังตระกูลหวงในเมืองปักกิ่ง
“หวงซือจื้อ ถึงแม้ว่าตระกูลเขาจะเป็นแม่ทัพอยู่คนหนึ่ง แต่ก็เป็นที่จับตามองในปักกิ่งไม่ใช่หรือครับ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของซ่งเฮ่าเทียนแล้ว เยี่ยเทียนก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ทำไมเรื่องนี้ถึงไปเกี่ยวพันกับเจ้านักเลงหนุ่มคนนั้นอีกแล้ว?
ตอนที่เปิดประเทศ ปักกิ่งนั้นเรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมของเหล่าแม่ทัพนายกอง ถึงแม้คุณปู่ของหวงซือจื้อจะมีคุณูปการด้านการทหารไม่น้อย แม้กระทั่งนายพลระดับสูงยังไม่กล้าออกปากกล่าววิจารณ์ แล้วกลุ่มคนที่ฝึกวิชาเหล่านั้นจะมาเกี่ยวข้องกับเขาได้อย่างไร?
“เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงออกจะพิสดาร”
ซ่งเฮ่าเทียนมีนิสัยชอบคลำภายในกระเป๋าเสื้อ แต่กลับพบว่าบุหรี่ถูกหมอกำจัดทิ้งไปนานแล้ว จึงกัดริมฝีปากล่าง กล่าวว่า “เยี่ยเทียน ถึงแม้ตำแหน่งของหวงต้าจงยังไม่ชัดเจน แต่เขาก็เป็นพวกเดียวกับกลุ่มอวิ๋นเหล่า!”
“อวิ๋นเหล่าหรือ?” สีหน้าของเยี่ยเทียนแปรเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้น “ใช่อวิ๋นเหล่าที่จัดการเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลักหรือเปล่าครับ?”
เยี่ยเทียนไม่ได้นึกสนใจหวงต้าจงสักเท่าไหร่ แต่อวิ๋นเหล่าผู้นี้เป็นบุคคลที่มีอำนาจสูงที่สุดอย่างแท้จริง เขาดูแลจัดการเศรษฐกิจภายในประเทศมาตั้งแต่สมัยสร้างชาติ แม้จะไม่มียศตำแหน่งในรัฐบาลกลาง แต่อิทธิพลกลับยิ่งใหญ่เหนือกว่านายทัพหลายต่อหลายคน
“ถูกต้อง ในอดีตนั้นหวงต้าจงที่ไม่ถูกโจมตี ทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะอวิ๋นเหล่า ดังนั้นฉันจึงสงสัยว่า เพราะอวิ๋นเหล่าเคยเกี่ยวดองกับคนเหล่านั้นหรือเปล่า?”
ต่อให้เป็นคนในวัยเดียวกับซ่งเฮ่าเทียน ก็ยังต้องเรียกอวิ๋นเหล่าว่าเป็นผู้อาวุโส ถึงแม้คนผู้นั้นจะลาโลกไปนานนับหลายปีแล้ว แต่คำพูดของเขาก็ใช่ว่าจะไม่ได้รับการเคารพให้เกียรติใดๆ
ซ่งเฮ่าเทียนลูบผม กล่าวว่า “เธอเคยมีความแค้นเคืองต่อคุณชายสกุลหวง หรือจะเป็นเขาที่เชิญคนพวกนั้น มาล้างแค้นเธอ?”
เรื่องราวครั้งนั้นที่เยี่ยเทียนถูก “เชิญ” ไปยังสถานีตำรวจ จัดการเสร็จสิ้นได้เพราะซ่งเฮ่าเทียนส่งเลขาประจำตัวไปสะสาง ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องความขุ่นเคืองระหว่างเยี่ยเทียนกับหวงซือจื้อเป็นอย่างดี
“เขาน่ะหรือครับ? ห่างไกลเกินความจริงมาก หรือต่อให้เป็นปู่ของเขาก็ยังไม่แน่ว่าจะมีน้ำหนักพอ…” เยี่ยเทียนส่งเสียงเยียบเย็นออกมา ทันใดนั้นสมองนึกอะไรออก จึงเอ่ยถามขึ้น “ลูกหลานของอวิ๋นเหล่า ตอนนี้ทำอะไรอยู่หรือครับ?”
ก่อนหน้านี้ซ่งเฮ่าเทียนเองก็ดูแลเรื่องเศรษฐกิจเช่นกัน จึงรู้เรื่องพวกนี้อย่างแจ่มแจ้ง สามารถตอบกลับได้โดยไม่ต้องคิด “ตระกูลอวิ๋นถอนตัวออกจากวงการการเมืองโดยสิ้นเชิงแล้ว ปัจจุบันทำธุรกิจค้าขาย ลงทุนด้านพลังงานทั้งภายในและต่างประเทศ มีอวิ๋นหวาถงถือครองหุ้นส่วนขนาดใหญ่”
อวิ๋นหวาถงที่ซ่งเฮ่าเทียนกล่าวถึงนั้น คือลูกชายคนรองของอวิ๋นเหล่า และในขณะเดียวกันก็เป็นผู้นำของตระกูลอวิ๋นในยุคปัจจุบัน
ด้วยสายเลือดของผู้เฒ่าอวิ๋นเหล่าจากสมัยอดีต ต่อให้ถอนตัวออกจากวงการการเมือง แต่ก็ไม่อาจทำเพิกเฉยใส่ แถมในอดีตอวิ๋นหวาถงยังเคยไปมาหาสู่กับซ่งเฮ่าเทียนไม่น้อยครั้งอีกด้วย
เยี่ยเทียนครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก่อนเอ่ยปากถามว่า “ท่านผู้เฒ่า ท่านเห็นว่าเป็นอย่างไรครับ?”
“รั้งทัพไม่เคลื่อนไหว!”
ซ่งเฮ่าเทียนหรี่ดวงตาลง บอกว่า “ถึงแม้คนที่ออกมาจะถูกเธอสังหารแล้ว บางทีทางนั้นอาจส่งคนมาใหม่ พอถึงตอนนั้นก็จะรู้เองว่ามันเกิดอะไรขึ้น!”
“คงได้แต่ทำอย่างนั้นแล้วครับ”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ถึงอย่างไรคนที่เสียเปรียบก็เป็นเขา หากตอนนี้ทำอะไรลงไปให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว เกรงว่าคนเหล่านั้นจะเชื่อมโยงการหายตัวไปของนักพรตเต๋าเข้ากับตัวเขาเอง
“เอ๊ะ วันนี้มันอะไรกันนะ? มีคนมาที่ประตูอีกแล้วเหรอ?!”
ขณะที่กำลังพูดคุยอยู่กับซ่งเฮ่าเทียน เยี่ยเทียนก็เลิกคิ้วขึ้น เพราะเมื่อครู่เขาปล่อยพลังจิตออกไปเพื่อใช้ห่อหุ้มเรือนหลังนี้ไว้ เวลานี้กลับพบว่า ป้าใหญ่ได้พาคนคุ้นเคยเข้ามาในบ้าน
เยี่ยเทียนเก็บปราณแท้ที่ห่อหุ้มรอบตัวเองเข้าสู่ภายในร่างกาย เอ่ยปากพูดว่า “ท่านผู้เฒ่าครับ วันนี้เราคุยกันแค่นี้เถอะ ป้าใหญ่ไม่ชอบเจอคุณ ไม่รู้ว่าเดี๋ยวจะมาดุด่าอะไรผมหรือเปล่า”
“ไอ้เด็กเวร ข้ามแม่น้ำเสร็จก็หักสะพานเลยสินะ?”
ซ่งเฮ่าเทียนถูกท่าทางร้ายกาจของเยี่ยเทียนทำให้ตื่นตัว โดยไม่ต้องพูดถึงสถานะของเขา ลำพังเพียงแค่ความอาวุโส ก็ใช่ว่าจะให้เยี่ยเทียนเรียกมาเมื่อไหร่ไล่ไปตอนไหนก็ได้
“แหะๆ ผมไปส่งนะครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วจริงๆ ก็ไปคุยกับแม่ผมทางนั้นก็ได้ แม่คิดถึงท่านผู้เฒ่ามากเลยล่ะ!”
เยี่ยเทียนพยุงซ่งเฮ่าเทียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พาเขาเดินออกไปด้านนอก เมื่อมาถึงเรือนด้านหน้าแล้ว ก็ได้เผชิญหน้ากับป้าใหญ่และเฉินสี่ฉวนที่ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายต่อหลายปี
“เยี่ยเทียน ลุงไม่รู้ว่าเธอยุ่งขนาดนี้ ต้องขอโทษจริงๆ ถ้ายังไงพรุ่งนี้ลุงมาใหม่ก็แล้วกัน!”
พอเห็นเยี่ยเทียน เฉินสี่ฉวนก็รีบเข้ามาทักทาย แต่ยังพูดไม่ทันจบ ก็สังเกตเห็นซ่งเฮ่าเทียนที่อยู่ข้างเยี่ยเทียนด้วยสายตาเย็นชา ชะงักงันไปในทันใด
ถึงแม้เวลาจะผ่านไปสองปีแล้ว แต่ในอดีตซ่งเฮ่าเทียนเป็นบุคคลที่ปรากฎตัวอยู่ในโทรทัศน์อยู่บ่อยครั้ง เฉินสี่ฉวนเองเป็นคนชอบดูข่าว จึงคุ้นเคยกับใบหน้าเขาเป็นอย่างมาก
ดังนั้นพอเห็นเยี่ยเทียนพยุงซ่งเฮ่าเทียนอย่างสนิทสนม สมองของเฉินสี่ฉวนก็สับสนขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจเชื่อมโยงเด็กหนุ่มขี้อายที่พบบนรถไฟเมื่อในอดีต กับเยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ได้เลย