หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 730 เงื่อนไข
ตอนที่ 730 เงื่อนไข
เยี่ยเทียนรู้ว่าคนที่ใช้อิทธิพลและอำนาจเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง มีให้เห็นทุกหนทุกแห่งในประเทศนี้ เขาไม่มีความสามารถและไม่ใช่หน้าที่ที่จะเข้าไปยุ่ง ด้วยเหตุนั้นที่ผ่านมาจึงไม่เคยถามชื่อของบริษัทนั้นกลับเฉินสี่ฉวน
แต่ว่าตอนนี้แม่ร่วมลงทุนกับเฉินสี่ฉวนแล้ว เยี่ยเทียนจึงจำเป็นต้องรู้ ถ้าหากบริษัทนั้นปิดหูปิดตาเข้ามาแทรกกลางอีกล่ะก็ เยี่ยเทียนจะถล่มพวกเขาอย่างไม่เกรงใจ
“บริษัทนั้นชื่อว่าเทียนไห่โกลบอลอินเวสต์เมนท์ ได้ยินว่ามีชื่อเสียงโด่งดังในวงการแร่หายากทั้งในและต่างประเทศ!”
ในอดีตเฉินสี่ฉวนเองก็เคยได้ยินเบื้องหลังของบริษัทนี้มาไม่น้อย จึงพูดต่อทันทีว่า “ได้ยินว่าเจ้าของบริษัทนี้แซ่อวิ๋น เป็นลูกชายของผู้เฒ่าอวิ๋นเมื่อในอดีตคนนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ?”
“อะไรนะครับ? เป็นบริษัทของเขาเองเหรอ?” เยี่ยเทียนที่ตอนแรกกำลังชงใบชาอยู่ พอได้ยินคำพูดของเฉินสี่ฉวนแล้ว มือขวาที่ถือกาน้ำชาถึงกับกระตุกเล็กน้อย
“ก็คือเทียนโทวนั่นแหละ บริษัทนี้เป็นสินทรัพย์ของตระกูลอวิ๋นจริงๆ ฉันรู้จักอวิ๋นหวาถง”
ซ่งเวยหลันไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของลูกชาย จึงพูดขึ้นมาลอยๆ ว่า “ความจริงเรื่องนี้ฉันออกหน้าพูดให้ก็ได้ ถึงตอนนั้นทางธนาคารคงไม่บีบบังคับคุณหรอก!”
บริษัทที่ซ่งเฮ่าเทียนก่อตั้งเมื่อในอดีต ก็คือบริษัททรัสต์อินเวสต์เมนท์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศจีน ชื่อเสียงของเทียนอวิ๋นยังห่างชั้นกว่ามาก แต่ว่าขอบเขตด้านการลงทุนแตกต่างกัน ซ่งเวยหลันจึงไม่เข้าใจการทำธุรกิจของบริษัทพวกเขานัก
แต่ว่าทั้งสองบริษัทก็เคยทำการค้าธุรกิจร่วมกันมาบ้าง บวกกับเบื้องหลังค่อนข้างมีความคล้ายคลึงกันและซ่งเวยหลันก็ย่อมรู้จักอวิ๋นหวาถงอยู่แล้ว ถ้าหากเธอออกตัวพูดล่ะก็ เชื่อมั่นว่าอวิ๋นหวาถงจะต้องเห็นแก่หน้าเธออย่างแน่นอน
“ไม่ได้ครับ แม่ เรื่องนี้แม่ห้ามยื่นมือเข้ามายุ่งเชียว!”
พอได้ยินคำพูดของแม่ เยี่ยเทียนก็ได้สติขึ้นมาทันใด ใบหน้ามีอารมณ์เคร่งเครียด บอกว่า “ลุงเฉิน ให้แม่ผมลงทุนได้ แต่ว่าผมมีเงื่อนไขสองข้อ ลุงต้องรับปากนะ!”
เยี่ยเทียนไม่คาดคิดเลยว่า เรื่องนี้จะไปเกี่ยวพันกับตระกูลอวิ๋น เขาและซ่งเฮ่าเทียนกลัวว่าจะไม่อาจหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้มากที่สุด และไม่อยากให้เรื่องนี้ดึงดูดความสนใจของพวกตระกูลอวิ๋นมาที่เขา
“เสี่ยวเทียน ทำไมลูกถึงพูดอย่างนี้ล่ะ แม่รับปากไปแล้ว ต่อให้ไม่ไปไกล่เกลี่ย ก็ต้องไปเปิดแถลงข่าวที่ต่างประเทศอยู่ดี ไม่อย่างนั้นการลงทุนใหญ่ขนาดนี้ แม่ก็คงไม่รู้จะบอกคณะกรรมการผู้บริหารยังไง!”
พอได้ยินคำพูดของลูกชายแล้ว ซ่งเวยหลันก็หงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย เงื่อนไขที่ควรจะพูด เธอก็พูดคุยกับเฉินสี่ฉวนเรียบร้อยแล้ว ธุรกิจครั้งนี้ก็คือธุรกิจ ยิ่งเฉพาะสำหรับคนที่ทำกลุ่มธุรกิจนานาชาติอย่างเธอ ไหนเลยจะยอมให้ลูกชายกลับไปกลับมาเหมือนเล่นสร้างบ้านได้?
“คุณหญิงซ่งครับ คุณไม่ต้องกังวลไป ลองฟังเยี่ยเทียนพูดอะไรก่อนไหมครับ?”
เฉินสี่ฉวนเห็นสีหน้าของเยี่ยเทียนแสดงออกไม่ปกติ ถึงแม้ว่าจะไปมาหาสู่กับเยี่ยเทียนมาหลายต่อหลายครั้ง แต่เยี่ยเทียนก็ทำตัวผ่อนคลายต่อหน้าเขามาตลอด ไม่เคยมีอาการตึงเครียดอย่างตอนนี้มาก่อนเลย
“งั้นลูกลองพูดมาสิ เสี่ยวเทียน!” ซ่งเวยหลันเองก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ปกติ เพราะว่าเวลานี้หัวคิ้วของเยี่ยเทียนขมวดมุ่น
“ข้อแรก เรื่องที่แม่ผมลงทุน นอกจากพวกเราสามคนแล้ว ห้ามไปบอกกล่าวใดๆ กับคนที่สี่เด็ดขาด!”
เยี่ยเทียนชูนิ้วชี้ออกมาหนึ่งข้าง เมื่อเห็นว่าแม่กำลังจะพูดอะไรอีก ก็โบกไม้โบกมือกล่าวว่า “แม่ครับ แม่ฟังผมพูดให้จบก่อน ถ้าหากเงินลงทุนเกิดมีปัญหาขึ้นมาล่ะก็ เอาเงินสองร้อยล้านจากผมไปก่อนได้เลย ส่วนที่เหลือคิดว่าแม่คงจัดการได้ใช่ไหมครับ?”
เยี่ยเทียนรู้ว่า บริษัทของแม่ดำเนินมาได้เป็นเวลาหลายปีอย่างนี้ รากฐานย่อมมั่นคงหนักแน่นแล้ว ต่อให้เธอไม่แตะต้องเงินทุนของบริษัท แค่หาเงินพันกว่าล้านต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
“เหตุผลล่ะ? เหตุผลที่ลูกทำแบบนี้คืออะไร?” ซ่งเวยหลันอดทนฟังเยี่ยเทียนพูดจนจบ แล้วจึงเอ่ยปาก “เสี่ยวเทียน ลูกต้องรู้นะว่า นี่เป็นวิธีการทำธุรกิจ!”
“ผมไม่สนใจหรอกว่าเป็นธุรกิจหรืออะไร” เยี่ยเทียนส่ายหน้าเบาๆ บอกว่า “แม่ครับ เรื่องครั้งนี้ แม่ต้องฟังผมนะ!”
เห็นสายตาของลูกชายแล้ว หัวใจของซ่งเวยหลันก็กระตุกขึ้นมา คล้ายกับจะนึกถึงเรื่องที่เกิดในเหตุการณ์ 911ขึ้นมาได้ จึงถอนหายใจออกมา บอกว่า “เอาเถอะ แม่จะฟังลูก!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า หันหน้าไปทางเฉินสี่ฉวน บอกว่า “ลุงเฉินครับ เงินก้อนนี้นับว่าเป็นเงินลงทุน แต่ขอให้เป็นการทำสัญญาปากเปล่าเท่านั้น และก็ขอให้มีเพียงลุงเท่านั้นที่รู้ ตระกูลเยี่ยจะไม่เข้าร่วมไปออกหน้าเด็ดขาด!”
เฉินสี่ฉวนได้ยินเข้าก็ชะงักไปครู่หนึ่ง พูดออกมาอย่างลังเล “เยี่ยเทียน แบบนี้จะไม่เหมาะหรือเปล่า เธอไม่กลัวว่าลุงเฉิน…”
“ลุงเฉินครับ ถ้ากล้าพอก็หอบเงินแล้วแกล้งทำหายตัวไปสิครับ?” เยี่ยเทียนหัวเราะออกมาเสียงดัง บอกว่า “ลุงเฉิน ลุงแค่บอกมาว่าได้หรือไม่ได้ก็พอ ถ้าหากไม่ได้ เงื่อนไขข้อที่สองผมก็ไม่ต้องพูดแล้ว”
ต้องบอกก่อนว่าเยี่ยเทียนไม่นึกกลัวเฉินสี่ฉวนจะเล่นตุกติกขึ้นมาจริงๆ และไม่ต้องพูดถึงว่าทรัพย์สินของเขาไม่ได้มีแค่สองพันล้านหยวน ต่อให้เฉินสี่ฉวนหอบเงินก้อนนี้หนีไป ขอเพียงแค่เขายังอยู่บนโลกใบนี้ เยี่ยเทียนก็สามารถตามตัวเขาออกมาได้
“ได้สิ ถ้าเธอเชื่อใจฉันแบบนี้ งั้นฉันก็ตกลง”
เฉินสี่ฉวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยปากบอกว่า “ในเมื่อเธอไม่อยากให้คนรู้ว่าเงินก้อนนี้เป็นตระกูลเยี่ยลงทุน งั้นถึงเวลาฉันจะเปิดบัญชีที่ธนาคารสวิส เอาส่วนแบ่งที่พวกเธอควรจะได้รับใส่เข้าไปในนั้นก็แล้วกัน”
“เรื่องพวกนี้ไว้ค่อยคุยกันทีหลังก็ได้ครับ”
เยี่ยเทียนโบกมือ บอกว่า “เงื่อนไขข้อที่สองคือพรุ่งนี้คุณจะต้องทำเรื่องขอย้ายถิ่นฐาน หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้วให้ไปยังรัสเซียทันที อย่ารั้งรออยู่ภายในประเทศอีก แล้วก่อนที่เหมืองทองนั่นจะขุดออกมาสำเร็จ ก็อย่ากลับมาเด็ดขาด!”
“อะไรนะ? นั่นจะเป็นไปได้ยังไง?”
พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เฉินสี่ฉวนก็สายหน้ารัวๆ บอกว่า “ครอบครัวของฉันอยู่ในปักกิ่งทั้งนั้น ลูกชายของฉันตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมปลายหวาชิง ถ้าหากฉันไปแล้วพวกเขาจะทำยังไงกันล่ะ?”
เหมืองทองที่รัสเซีย อย่างน้อยใช้เวลาขุดถึงห้าปีขึ้นไป คำพูดนี้ของเยี่ยเทียนจึงหมายถึงให้เฉินสี่ฉวนอยู่ที่รัสเซียภายในระยะเวลาห้าปี เรื่องนี้สำหรับเฉินสี่ฉวนที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง ไม่อาจรับได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
อีกทั้งชีวิตนี้ของเฉินสี่ฉวนไม่เคยคิดถึงเรื่องการย้ายถิ่นฐานมาก่อน เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ด้วยซ้ำ ออกไปก็มืดแปดด้าน ต่อให้มีคนแปลอยู่ข้างกายก็ไม่เคยชินอยู่ดี
“พวกเขาต้องไปกับคุณครับ”
เยี่ยเทียนพูดเรียบๆ “ที่รัสเซียก็สามารถรับการศึกษาที่ดีได้เช่นกัน ลูกชายของลุงเฉินก็อายุสิบห้าถึงสิบหกปีแล้ว ไปตอนนี้ก็คิดซะว่าไปเรียนต่อต่างประเทศก็แล้วกันครับ!”
“เยี่ยเทียน ช่วยบอกเหตุผลกับฉันได้ไหม?”
เฉินสี่ฉวนเองก็เรียนรู้ที่จะถามเหตุผลจากเยี่ยเทียนเหมือนซ่งเวยหลัน เพราะว่าเรื่องนี้จะเปลี่ยนแปลงชีวิตที่เหลือของเขา เฉินสี่ฉวนไม่อาจไม่คิดพิจารณาให้ถี่ถ้วน การพาครอบครัวย้ายถิ่นฐานไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ตอบว่า “ลุงเฉินครับ ผมให้ลุงทำแบบนี้ แน่นอนว่าต้องมีเหตุผล ไม่อย่างนั้นผมคงไม่บอกลุง ลุงแค่ต้องรู้ว่า เรื่องนี้จะเป็นผลดีต่อลูกเท่านั้นเอง!”
“เสี่ยวเทียน ลูกกลัวตระกูลอวิ๋นหรือ?”
ซ่งเวยหลันที่อยู่ด้านข้างแสดงปฏิกิริยาออกมา พูดต่อว่า “ไม่หรอกมั้ง ถึงแม้ตระกูลอวิ๋นจะมีอิทธิพลกว้างขวางมาก แต่ผู้เฒ่าอวิ๋นก็จากไปได้เกือบสิบปีแล้ว พวกเขาคงไม่กล้ามาวุ่นวายหรอก!”
แน่นอนว่าเบื้องหลังครอบครัวของซ่งเวยหลันทำให้เธอรู้กฎเกณฑ์ของโครงสร้างชนชั้นสูงมาบ้าง คนอย่างพวกเขา ถึงแม้จะเพลิดเพลินกับสิทธิพิเศษในบางสถานการณ์ แต่ก็ย่อมมีขอบเขตเช่นกัน ไม่อย่างนั้นหากถูกคนตลบหลัง ความเป็นไปได้ที่ตระกูลใหญ่จะล่มสลายภายในวันเดียวก็มีสูง ดังนั้นหากไม่มีทางเลือก ตระกูลอวิ๋นจะไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน
และจากมุมมองของซ่งเวยหลัน นี่ก็เป็นเพียงธุรกิจหนึ่งเท่านั้น ตระกูลอวิ๋นเองก็ไม่ขาดแคลนทองคำจำนวนไม่กี่พันล้านนี้ จึงไม่น่าจะลงทุนลงแรงไปกับเรื่องเล็กอย่างที่เยี่ยเทียนว่า
“แม่ครับ บางเรื่องแม่ไม่รู้ ก็อย่าออกความเห็นเลย”
เยี่ยเทียนถอนหายใจออกมา มองไปทางเฉินสี่ฉวน กล่าวว่า “ลุงเฉินครับ ออกไปคราวนี้ใช่ว่าห้ามกลับมาอีก ผ่านไปไม่กี่ปีพอถลุงทองคำหมดแล้ว คิดจะกลับมาก็ได้แน่นอน แต่ว่าตอนนี้ลุงต้องไป!”
“ต้องไปเท่านั้นหรือ? แล้วต้องทำเรื่องโยกย้ายถิ่นฐานด้วยหรือ?”
เฉินสี่ฉวนทำปากมุบมิบอยู่ครู่หนึ่ง เขามองออกว่าเยี่ยเทียนไม่ได้พูดจาเล่นๆ จึงอดระแวดระวังในใจไม่ได้
เฉินสี่ฉวนเองก็ไม่เข้าใจกฎกติกาการทำงานของคนพวกนั้น ในใจของเขา ตระกูลอวิ๋นไม่ใช่กลุ่มที่เขาจะไปยั่วโมโหได้ หากอีกฝ่ายใช้วิธีใดขึ้นมาจริงๆ ถึงตายขึ้นมาเกรงว่าจะไม่มีคนช่วยทวงความยุติธรรมให้เขา
เยี่ยเทียนคิดอยู่สักครู่ แล้วบอกว่า “ไม่ต้องทำเรื่องย้ายถิ่นฐานก็ได้ครับ แต่ต้องออกไป ยิ่งไปเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี!”
“ได้ ฉันจะเชื่อเธอ!”
เฉินสี่ฉวนย่ำเท้าไปมา บอกว่า “พรุ่งนี้ฉันจะไปจัดการเรื่องภายในครอบครัว อย่างช้าที่สุดก็หนึ่งอาทิตย์ ฉันจะพาทั้งครอบครัวไปที่รัสเซีย ที่นั่นมีเพื่อนของฉันอยู่ ตระกูลอวิ๋นไม่อาจยื่นมือไปไกลถึงขนาดนั้นหรอก!”
หากเป็นคนอื่นพูดเรื่องนี้กลับเฉินสี่ฉวน เขาคงจะคิดว่าอีกฝ่ายแค่ล้อเล่น แต่ด้วยประสบการณ์ของเยี่ยเทียนพอพูดออกมาแล้ว เฉินสี่ฉวนถึงกับรู้สึกขนลุกขนพองเลยทีเดียว
ต่อให้เฉินสี่ฉวนไม่กลัวว่าตัวเองจะตาย แต่เขาก็ยังมีภรรยาและลูก ถ้าหากเกิดเรื่องที่เยี่ยเทียนบอกกล่าวเป็นลางขึ้นจริง ถึงเฉินสี่ฉวนจะนึกเสียใจภายหลังก็ไม่ทันแล้ว
“ได้ครับ ลุงเฉิน ผมจะให้เซี่ยวเทียนไปส่ง ช่วงนี้ลุงอย่าเพิ่งติดต่อกับผม รอให้ไปถึงรัสเซียแล้วค่อยโทรศัพท์มาก็แล้วกัน!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ไปเรือนหน้าตะโกนเรียกโจวเซี่ยวเทียน ให้เอารถจากโรงเก็บรถหลังเรือนสี่ประสานพาเฉินสี่ฉวนออกไป
“เสี่ยวเทียน เรื่องตระกูลอวิ๋นมันเป็นมายังไง? ลูกต้องมีอะไรปิดบังแม่อยู่แน่ๆ”
หลังเฉินสี่ฉวนจากไปแล้ว ซ่งเวยหลันก็มองลูกชายอย่างไม่สบอารมณ์ บอกว่า “ถ้าหากเรื่องนี้มีอันตราย พวกเราไม่เข้าไปยุ่งก็จบแล้ว ทำไมยังให้แม่ร่วมลงทุนอีกล่ะ?”
“แม่ครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่หลวง”
มองดูสีหน้าสงสัยของแม่แล้ว เยี่ยเทียนก็แค่นหัวเราะออกมา บอกว่า “เรื่องนี้มีแค่ผมกับท่านผู้เฒ่าที่รู้ แม่อย่าถามมากเลย ขอผมอยู่คนเดียวสักพักนะ!”
พอพูดจบแล้ว เยี่ยเทียนก็ตรงไปยังห้องของตัวเอง เวลานี้เขาต้องคิดคำนวณให้ถี่ถ้วน ว่าเรื่องตระกูลอวิ๋นบีบบังคับให้เฉินสี่ฉวนขายเหมืองทอง เกี่ยวข้องอะไรกับการปรากฎตัวของผู้มีวิชาคนนั้นหรือเปล่า?
ดูจากช่วงเวลาแล้ว ตอนที่เยี่ยเทียนพบนักพรตคนนั้น เป็นเวลาหลังจากเฉินสี่ฉวนเพิ่งขายธุรกิจที่ซินเจียง เพื่อจ่ายเงินกู้คืนธนาคารพอดิบพอดี
“หรือว่าตระกูลอวิ๋นคิดเชิญนักพรตคนนั้นมาจัดการกับเฉินสี่ฉวน?”
ในสมองของเยี่ยเทียนบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา แต่ก็ปัดตกไปในทันที ด้วยอิทธิพลเบื้องหลังของตระกูลอวิ๋น คิดจะกำจัดเฉินสี่ฉวน ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงขนาดนั้นเลย