หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 738 สายแร่ของพลอยวิเศษ
ตอนที่ 738 สายแร่ของพลอยวิเศษ
เมื่อสิบปีก่อนได้ติดตามหลี่ซั่นหยวนออกไปท่องยุทธภพ ถือว่ามีความสำคัญต่อการฝึกความฉลาดของเยี่ยเทียนจริงๆ เขารู้ว่าตัวเองควรจะแสดงท่าทางอย่างไรในสถานการณ์แบบไหน
และผู้ฝึกตนที่ยังใช้ชีวิตอยู่ในทางโลกอย่างเขา จึงเข้าใจโลกของการฝึกวรยุทธทั้งหมดต่างไปจากเมื่อก่อนแล้ว ถ้าหากตอนนี้ปล่อยให้ติงหงจากไป ตรงกันข้ามจะทำให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัยได้
“พ่อหนุ่มเยี่ย พรุ่งนี้ข้าจะออกจากเมืองหลวงแล้ว หากพวกเรามีวาสนาต่อกันคงจะได้พบกันอีก!”
เมื่อได้พลอยวิเศษเกรดสูงธาตุไฟมาแล้ว เวลานี้ติงหงจึงอารมณ์ดีพอสมควร ถ้าไม่ใช่เพราะเขายังมีธุระอย่างอื่นต้องทำ ตอนนี้เขาคงอยากจะหาคนรีบเอามันไปแลกกับพลอยวิเศษธาตุน้ำทันที ไหนเลยจะมีเวลามาพูดเรื่องไร้สาระกับเยี่ยเทียน?
“ท่านผู้อาวุโส เอ่อ…ท่านช่วยชี้แนะผมหน่อยเถอะนะครับ”
ถึงแม้เยี่ยเทียนอยากจะให้ตาเฒ่าตายยากคนนี้ไสหัวไปไกลๆ แต่เขาก็ยังแสดงสีหน้าอ้อนวอนขอร้องออกมา เพราะแสดงละครแล้วก็ต้องแสดงให้ถึงที่สุด
“คือว่า…”
ติงหงครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า “ถ้าหากวันหลังเจ้ามีเวลา ก็ไปที่ภูเขาคุนหลุนสักครั้ง ถ้าหากมีวาสนาต่อกัน ก็จะเข้าไปในนั้นได้ ตอนนี้ข้าไม่สะดวกที่จะพูดอะไรมาก!”
เมื่อคิดว่าวันหลังหากเยี่ยเทียนถูกสำนักฟ้าดินรับเข้าไป ก็ยังพอได้เจอหน้ากันบ้าง นอกจากนี้เจ้าหนุ่มคนนี้ก็รู้งาน ติงหงจึงพูดแนะนำไปหนึ่งประโยค
“บ้าเอ้ย ข้ารู้จักภูเขาคุนหลุนมานานแล้ว!”
เยี่ยเทียนแอบสบถด่าอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับแสดงสีหน้าตื่นเต้นดีใจ แล้วพูดว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ชี้แนะ วันหลังหากผมฝึกสำเร็จแล้ว จะไม่ลืมพระคุณของท่านผู้อาวุโสแน่นอนครับ!”
“อืม หวังว่าเจ้ากับข้าจะมีวาสนาได้เจอกันอีก”
ติงหงปล่อยเสียงขึ้นจมูกออกมา ตอนที่เขาปล่อยพลังจิตออกไปจึงพบว่าอวิ๋นหวาถงได้ทำการซื้อขายพลอยชิ้นนั้นที่ด้านหลังเวทีเรียบร้อยแล้ว เขาจึงรีบลุกขึ้นทันทีแล้วพูดว่า “ข้ายังมีธุระต่อ งั้นก็ขอตัวก่อนนะ!”
สำหรับติงหงแล้ว พลอยวิเศษนี้คือความหวังที่จะทำให้เขาบรรลุระดับจินตันสำเร็จมหามรรคได้ และมีค่ามากกว่าเมื่อเทียบกับของล้ำค่าใดๆ ที่อยู่บนโลกมนุษย์ เขาจึงจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด
มองดูติงหงเดินออกไปจากงานแล้ว เยี่ยเทียนจึงนั่งบนเก้าอี้นานห้านาทีเต็ม
หลังจากที่เขาใช้พลังจิตสัมผัสได้ว่าอวิ๋นหวาถงสองพี่น้องได้ออกไปแล้ว เดิมทีเยี่ยเทียนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ดีๆ ตอนนี้ทั้งตัวของเขาเหมือนไร้กระดูกก็ไม่ปาน เหมือนจะเลื่อนลงไปกองบนพื้นแล้ว
เมื่อครู่ที่นั่งกับนักพรตคนนั้นใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า แต่เยี่ยเทียนกลับรู้สึกว่ายาวนานมากที่สุด ขณะที่พูดคุยกันนั้น ประสาทของเขารู้สึกเกร็งมากถึงมากที่สุดตลอดเวลา
ตอนนี้ติงหงกลับไปแล้วเยี่ยเทียนจึงผ่อนคลายขึ้นมา หลังจากที่เขาบรรลุระดับเซียนเทียนแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงหัวใจที่ไร้พลัง
ตอนที่จิตแห่งหยางขั้นต้นยังไม่เป็นรูปร่าง เยี่ยเทียนได้สังเกตการต่อสู้ครั้งใหญ่ของเก๋อข่ายกับมังกรดำ และยังไม่รู้สึกหวาดกลัวผู้ที่ฝึกบำเพ็ญตนเป็นพิเศษ เขารู้สึกว่าตัวเองมีพลังในการต่อสู้ที่สูงมาก
แต่เมื่อได้เผชิญหน้ากับติงหงจริงๆ เยี่ยเทียนเพิ่งรู้ว่า อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่ตัวเองสามารถต่อต้านได้ เพียงแค่การปล่อยพลังปราณชีวิตออกมา ก็สามารถกดทับเขาให้ตายได้
และอย่าพูดถึงตอนนี้เยี่ยเทียนไม่ได้พกของขลังติดตัว ต่อให้เขาพกกระดิ่งซานชิงมาด้วย เสียงกระดิ่งดูดวิญ ญาณนั้นเกรงว่าจะทำอะไรติงหงไม่ได้เช่นกัน ถึงอย่างไรด้วยวรยุทธของเยี่ยเทียน ก็ยังไม่สามารถดึงพลานุภาพที่แท้จริงของกระดิ่งซานชิงออกมาได้
หลังจากนั่งบนเก้าอี้พักผ่อนอีกสองสามนาที เยี่ยเทียนถึงได้รู้สึกว่าพลังฟื้นฟูกลับมาแล้ว จะว่าไปติงหงกับศิษย์น้องของเขาก็จิตใจคดเหมือนกัน เมื่อครู่หากตัวเองเกิดประมาทขึ้นมาเพียงนิดเดียว เกรงว่าจะถูกจับได้
เมื่อลุกขึ้นยืน เยี่ยเทียนจึงเดินตรงออกไปข้างนอก ขณะเดียวกันก็ส่งกระแสจิตส่วนหนึ่งไปที่สมองของพ่อ
“เยี่ยเทียน เกิดเรื่องอะไรขึ้น? นักพรตคนนั้นเป็นเพื่อนของแกเหรอ?”
หลังจากมาถึงลานจอดรถใต้ดิน เยี่ยตงผิงจึงพบว่าลูกชายดูแปลกไป หน้านิ่วคิ้วขมวด แถมยังหน้าซีดเล็กน้อย
“ค่อยไปคุยกันบนรถครับ!” เยี่ยเทียนแย่งกุญแจรถในมือพ่อ เปิดประตูรถเข้าไปนั่งที่ตำแหน่งคนขับ
“เฮ้อ ฉันบอกแกแล้วให้ขับช้าๆ หน่อย ขับเร็วทำไมเนี่ย?”
ตอนที่เยี่ยเทียนขับรถพุ่งออกมาจากลานจอดรถ ทำเอาเยี่ยตงผิงแทบหัวใจวาย ถึงแม้รถจะมีคุณภาพดีจริง แต่ก็ไม่ควรเพิ่มความเร็วถึงหนึ่งร้อยกิโลเมตรในเวลาสองสามวินาที และที่นี่ยังเป็นย่านธุรกิจในเมืองอีกด้วย
เยี่ยเทียนไม่ตอบ ถึงแม้เขาจะเหยียบความเร็วเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้กลับบ้าน กลับขับรถไปยังถนนหวนเฉิง
“พ่อครับ พ่อรีบโทรไปจองตั๋วเครื่องบิน จองเที่ยวบินที่เร็วที่สุด รวมทั้งพี่ป้าน้าอาด้วย ทุกคนจะไปอยู่ที่ฮ่องกงพักหนึ่ง ถ้าผมไม่บอกให้ทุกคนกลับมาก็อย่ากลับมานะครับ!”
เยี่ยเทียนรู้ว่า นักพรตคนนั้นไม่ได้เชื่อที่ตัวเองพูดทั้งหมด ถ้าหากอีกฝ่ายเกิดสงสัยขึ้นมา ไม่แน่อีกไม่นานเขาจะมาหาถึงบ้าน เยี่ยเทียนไม่เชื่อว่าพี่น้องตระกูลอวิ๋นจะสืบประวัติของตัวเองไม่ได้
และในขณะเดียวกันพลอยวิเศษกับเชือกรัดมังกรที่เก็บซ่อนไว้ในบ้าน ก็ไม่อาจหลุดพ้นการตรวจสอบพลังจิตของติงหงได้ และนั่นจะนำหายนะครั้งใหญ่มาสู่ตระกูลเยี่ย
“เยี่ยเทียน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ป้าใหญ่ของแกคราวที่แล้วพวกเขาไปฮ่องกง แต่อยู่ไม่ชินนะสิ” เยี่ยตงผิงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร ถึงทำให้ลูกชายตึงเครียดมากขนาดนี้?
“พ่อครับ อย่าเพิ่งถามมาก รีบโทรศัพท์ไปจองตั๋วก่อน แล้วบอกแม่กับทุกคนให้ไปสนามบินเลย!”
เยี่ยเทียนจับพวงมาลัยหมุน แล้วขับตรงไปยังสนามบิน ถึงแม้เขาจะคาดเดาอยู่ในใจ แต่เยี่ยเทียนไม่กล้าพนัน เพราะถ้าแพ้พนันล่ะก็ นั่นคือชีวิตของทุกคนในครอบครัวซึ่งน่าเป็นห่วงมาก
ตอนนี้ในตระกูลเยี่ย ถึงแม้เยี่ยเทียนจะไม่กล้าพูดว่าคำพูดตัวเองมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมาก แต่เมื่อเขาจริงจังขึ้นมาเมื่อไร เยี่ยตงผิงและคนอื่นๆ ต่างก็เชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย จึงไม่ถามให้มากความ กดโทรศัพท์ออกไป
เมื่อรอให้เยี่ยเทียนมาถึงสนามบิน ผู้หญิงของครอบครัวตระกูลเยี่ยทุกคนรวมทั้งอวี๋ชิงหย่า ต่างก็ยืนรอด้วยสีหน้าที่งุนงงอยู่ตรงนั้น โดยเฉพาะอวี๋ชิงหย่า ที่ถูกเยี่ยเทียนเรียกออกมาจากที่ทำงานโดยตรง
“ที่เมืองหลวงเกิดเรื่องนิดหน่อย ทุกคนไปอยู่ที่ฮ่องกงสักพักหนึ่ง ไม่ต้องเป็นห่วงผม เพราะผมก็จะไปด้วยเหมือน กัน!” เยี่ยเทียนไม่ให้โอกาสสาวๆ พวกนี้ได้ถามไถ่ หลังจากพูดกำชับเรียบร้อยแล้ว จึงขับรถออกไป
“บ้าเอ้ย ตกใจหมดเลย!”
หลังจากกลับมาที่เรือนสี่ประสานแล้ว เยี่ยเทียนก็ปล่อยพลังจิตออกมาห่อหุ้มบ้านทั้งหลังเอาไว้ ตอนที่เขาพบว่ากระดิ่งซานชิงกับเชือกรัดมังกรรวมทั้งพลอยวิเศษนั่นไม่ได้ถูกใครแตะต้อง เขาจึงถอนหายใจยาวๆ ด้วยความโล่งอก
จากนั้นก็ไม่คิดอะไรมาก เยี่ยเทียนกลับเข้าไปในเรือนด้านหลัง หยิบของขลังทุกอย่างของเขาออกมา ใช้กระดิ่งซานชิงเป็นตาค่ายกล สร้างค่ายกลตบตาสวรรค์ ปกคลุมอากาศที่อยู่ในห้องหนังสือขึ้นมา
เมื่อสร้างค่ายกลเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนจึงใช้พลังจิตตรวจสอบอีกรอบ พบว่าแม้แต่ตัวเองก็ไม่สามารถตรวจสอบวัตถุเหล่านั้นได้ หัวใจที่เต้นตื่นเต้นจนจุกมาถึงลำคอก็สบายใจลงเสียที
คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเยี่ยเทียนจึงล็อคประตูอย่างดี แล้วรีบขับรถไปหาซ่งเฮ่าเทียน เพราะการปรากฏตัวของติงหงนั้น จำเป็นต้องแจ้งให้คุณตารู้เสียหน่อย
…
“ครั้งนี้พวกเจ้าทำดีมาก ยาอายุวัฒนะสามเม็ดนี้พวกเจ้าเก็บไว้ ดื่มน้ำตามก็ได้แล้ว อ้อใช่ อายุแม่ของพวกเจ้ามากเกินไปแล้ว ให้กินแค่ครึ่งเม็ดก็พอ!”
ภายในเรือนสี่ประสานของตระกูลอวิ๋น ติงหงกำลังเล่นกับพลอยวิเศษชั้นดี เมื่อสัมผัสกับปราณวิเศษที่เต็มเปี่ยมอยู่ในนั้น จึงอารมณ์ดีมาก จากนั้นจึงโยนขวดกระเบื้องเคลือบหนึ่งขวดออกมา
เมื่อได้พลอยวิเศษมาอย่างราบรื่น ติงหงจึงใจกว้างไม่น้อย ให้ยาอายุวัฒนะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเม็ดจากที่เขาเคยพูดไว้
แน่นอนว่า ติงหงก็ไม่ได้ใจกว้างอย่างไม่มีสาเหตุ เขาพบว่าโลกมนุษย์ที่ถูกโลกของผู้ฝึกตนมองข้ามมาก่อน ก็ยังสามารถหาของชั้นดีได้อยู่บ้าง
เพียงแค่พลอยวิเศษเนื้อดีที่อยู่ในมือของเขา เมื่ออยู่ในพื้นที่ของเขาก็ถือว่าเป็นสิ่งของที่พบเจอได้น้อยมาก และผลเก็บเกี่ยวจากการเดินทางครั้งนี้ของเขาไม่ได้มีเพียงเท่านี้ สองสามวันก่อนอวิ๋นหวาจวินได้มอบโลหะขนาดเท่าเล็บมือให้กับเขา ซึ่งถือว่าเป็นวัตถุดิบของการประดิษฐ์อาวุธที่ขาดแคลนเป็นอย่างมาก
โลหะลักษณะนี้เมื่ออยู่ในโลกของการฝึกตนเรียกว่าทองสีน้ำเงิน ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของทองคำ เมื่อผสมทองสีน้ำเงินลงไปบางส่วนในมีดบินและอาวุธโจมตีอื่นๆ จะทำให้เกิดความแหลมคมเป็นพิเศษ และคุณภาพของของขลังก็เพิ่มระดับขึ้นไปอีกขั้น
นอกจากนี้แม้ว่าทองสีน้ำเงินจะมีน้อยมากในโลกของการฝึกตน เพราะว่ามันจำเป็นต้องเติบโตไปตามสายแร่ของธาตุทองคำ ซึ่งหมายความว่า สถานที่ที่พบทองสีน้ำเงินนี้ เป็นไปได้ที่จะมีสายแร่ของพลอยวิเศษอยู่
และข่าวนี้ สำหรับติงหงแล้ว ยังสำคัญมากกว่าการได้พลอยวิเศษเกรดสูงชิ้นนี้เสียอีก เพราะว่าในเขตทวยเทพของเขาไม่สามารถมีสายแร่ของพลอยวิเศษได้
ถ้าหากไม่ได้หอบความหวังในการเสี่ยงโชคมาดูคุณภาพของพลอยชิ้นนี้ว่าเป็นอย่างไรล่ะก็ ติงหงคงรีบไปรัสเซียนานแล้ว และนี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่เขาไม่ได้สืบประวัติของเยี่ยเทียนต่อ
แน่นอน ตอนนี้สิ่งที่ติงหงเรียกว่าเรื่องมงคลมาหาถึงบ้านนั้น ไม่ว่าจะเป็นพลอยวิเศษน้ำดีหรือสายแร่ของทองสีน้ำเงินก็ตาม ก็มากพอที่ทำให้หอประดิษฐ์วิเศษของเขายึดพื้นที่ส่วนหนึ่งในโลกของการฝึกตนได้
ดังนั้นการให้ยาเพิ่มอีกหนึ่งเม็ดนั้น ติงหงอยากให้พี่น้องตระกูลอวิ๋นช่วยเขาตามหาของพวกนี้ต่อไป ถึงอย่างไรผลเก็บเกี่ยวที่ออกมาในครั้งนี้ ก็ไกลเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก
“ขอบคุณท่านนักพรตครับ ท่านวางใจได้ ที่รัสเซียผมได้จัดการเรียบร้อยแล้ว น้องรองจะไปกับท่าน ถึงตอนนั้นจะต้องซื้อเหมืองแร่ทองคำนั่นมาได้แน่นอน!”
ขณะที่ถือขวดกระเบื้องเคลือบอยู่ในมือ มือของอวิ๋นหวาจวินได้สั่นเทิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เขาอายุมากถึงเจ็บสิบกว่าปีแล้ว ดังนั้นจึงเข้าใจความหมายของติงหง แต่แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า ขอเพียงสามารถทำให้เขาอายุยืนยาว ต่อให้ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว อวิ๋นหวาจวินก็ยินยอม
หลังจากได้ยินคำพูดของอวิ๋นหวาจวินแล้ว ติงหงจึงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าบอกตำแหน่งมา ข้าไม่มีบัตรประจำ ตัวประชาชน จึงไม่อาจนั่งเครื่องบินอะไรได้!”
ติงหงเกิดในรัชสมัยเฉียนหลง ถือว่าเป็นคนโบราณที่มีอายุสองร้อยกว่าปีแล้ว เช่นนั้นเขาจะไปเอาบัตรประจำตัวประชาชนมาจากไหน? แม้ว่าอวิ๋นหวาถงจะทำให้ได้ แต่เขาก็รอไม่ไหวแล้ว
“ครับ แผนที่อันนี้ระบุตำแหน่งไว้ชัดเจนหมดแล้ว หลังจากท่านติงถึงแล้ว ก็ใช้โทรศัพท์นี้โทรหาอวิ๋นหวาถงได้เลยครับ!”
อวิ๋นหวาจวินก็นึกถึงจุดนี้ จากนั้นจึงหยิบแผนที่กับโทรศัพท์ออกมามอบให้ติงหง แล้วจึงหันไปมองอวิ๋นหวาถงพลางพูดว่า “ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร ต้องซื้อเหมืองแร่ทองคำนั่นมาให้ท่านติงให้ได้!”
เมื่อเผชิญหน้ากับเสน่ห์ดึงดูดของการมีอายุยืนยาว ต่อให้เป็นบุคคลสูงส่งอย่างอวิ๋นหวาถง ก็ยากที่จะต่อต้านได้ แน่นอน คนที่อยู่ตำแหน่งสูงก็ยิ่งรักชีวิตมาก นี่คือเรื่องที่มีมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
“พาข้าไปถึงที่นั่นก็พอ อย่างอื่นไม่ต้องยุ่งยากแล้ว!”
ติงหงไม่ค่อยสนใจกับคำพูดแสดงน้ำใจของอวิ๋นหวาจวินเท่าไร เขาไม่ได้สนใจทองคำในโลกมนุษย์เลยสักนิด ถ้าหากมันคือสายแร่ของพลอยวิเศษจริงๆ เขาแค่ต้องการทองสีน้ำเงินกับพลอยวิเศษที่อยู่ในนั้นก็พอ