หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 768 อำพรางร่องรอย
ตอนที่ 768 อำพรางร่องรอย
ห่างจากเยี่ยเทียนไปสิบกว่ากิโลเมตร มีเนินเขาโล้นที่ไม่มีแม้กระทั่งหญ้าสักต้นอยู่สามลูก หินผาบนเนินเขานั้นปรากฏเป็นสีน้ำตาลอมเทา และมีชั้นดินเยือกแข็งแผ่คลุมเป็นบริเวณกว้าง เทียบกับภูเขาอันไกลโพ้นที่ปกคลุมไปด้วยป่าต้นไป๋ฮว่าแล้ว ที่นี่จึงยิ่งดูรกร้างเปล่าเปลี่ยวมากขึ้นไปอีก
ถ้านักธรณีวิทยาที่มีประสบการณ์สูงมาเห็นที่นี่ ก็จะดูออกตั้งแต่แวบแรกที่เห็นว่า ข้างใต้เนินเขานี้จะต้องมีแหล่งแร่ซุกซ่อนอยู่แน่นอน และยังสะสมเป็นปริมาณมหาศาลอีกด้วย กล่าวได้ว่าเป็นเหมืองแร่ระดับสูงแห่งหนึ่ง
และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ที่นี่ก็คือเหมืองทองที่เฉินสี่ฉวนซื้อไว้นั่นเอง ตามตำแหน่งต่างๆ บนเนินเขามีรอยขุดเจาะจากการสำรวจหลงเหลืออยู่ และยังมีเครื่องมือจำนวนหนึ่งทิ้งไว้อีกด้วย
เพียงแต่ว่า เหมืองทองแห่งนี้แม้จะอุดมไปด้วยหินแร่ แต่กลับตั้งอยู่ห่างจากถนนหลวงมากกว่าหนึ่งร้อยกิโลเมตร ไม่ว่าจะเป็นการลำเลียงอุปกรณ์ในการขุดเหมืองเข้ามา หรือการบรรทุกหินแร่ออกไปจากที่นี่ ต่างก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่ง
ดังนั้นแม้ว่าทางเขตปกครองไซบีเรียจะเคยมาสำรวจตำแหน่งและปริมาณแร่ที่เหมืองทองแห่งนี้ไว้นานแล้ว แต่ที่ผ่านมากลับไม่มีความสามารถที่จะดำเนินการขุดเหมืองได้ ซึ่งก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกในสถานที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลแต่ประชากรเบาบางอย่างไซบีเรียนี้
บนช่วงกลางสันเขาของเนินเขาลูกที่หนึ่งนั้น มีโพรงถ้ำที่เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการใช้ระเบิดอยู่แห่งหนึ่ง ด้านนอกถ้ำนั้นนอกจากเศษหินแร่จำนวนหนึ่งแล้ว ยังมีชั้นดินเยือกแข็งที่ทับถมกันเป็นปริมาณมาก ดูจากสีแล้วน่าจะเพิ่งถูกขุดเจาะออกมาเมื่อไม่นานมานี้
หากเยี่ยเทียนมาถึงที่นี่ก็จะพบว่า มีพลังปราณธาตุทองอันคมปลาบกลุ่มหนึ่งแผ่ออกมาจากในถ้ำ ต่อให้ยืนอยู่ห่างจากถ้ำไปไกลสิบกว่าเมตร ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณที่คมปลาบราวกับจะเชือดเฉือนผิวหนังได้
แน่นอนว่า มีเฉพาะผู้บำเพ็ญพรตอย่างเยี่ยเทียนเท่านั้นที่จะสามารถรับรู้ได้ ถ้าคนธรรมดามายืนอยู่ที่นี่ก็จะไม่เกิดความรู้สึกใดๆ แต่พลังปราณธาตุทองนั้นจะทำลายระบบต่างๆ ของร่างกายไปโดยที่คนผู้นั้นไม่รู้ตัวเลย
จริงอยู่ว่า ปราณวิเศษสามารถทำให้คนมีชีวิตที่ยืนยาวได้ แต่นั่นก็มีขีดจำกัดอยู่เช่นกัน หลังจากที่ข้ามขีดจำกัดไปแล้ว ปราณวิเศษที่มากเกินไปก็จะกลับกลายเป็นพิษร้ายทำลายชีวิต
และในบรรดาพลังลมปราณชีวิตทั้งห้าธาตุนี้ ธาตุที่สามารถให้โทษแก่คนได้มากที่สุดก็หนีไม่พ้นธาตุไฟและธาตุทองนั่นเอง หากน้ำเป็นตัวแทนของความโอนอ่อน เช่นนั้นทองก็จะเป็นตัวแทนของความแข็งกร้าวทรงพลัง
นี่เป็นลักษณะเดียวกับสารกัมมันตรังสีที่มีพิษ โดยขณะที่คนสัมผัสถูกสารนั้นก็จะไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง สารกัมมันตรังสีนั้นก็จะเริ่มกัดกร่อนทำลายระบบการทำงานของร่างกาย ผลอย่างเบาก็คือป่วยหนัก ส่วนผลอย่างหนักก็คือเสียชีวิต
ส่วนสาเหตุที่ไม่มีพืชเจริญเติบโตบนเนินเขาสามลูกนั้นเลยก็เป็นเพราะว่า พลังปราณธาตุทองที่มากเกินไปนั้น ก่อให้เกิดสนามพลังที่ผิดปกติขึ้น ซึ่งไปทำลายพื้นฐานในการดำรงอยู่ของพืชพรรณเหล่านั้น
“เอ๊ะ? ที่นี่มีผู้บำเพ็ญพรตอยู่ด้วยรึ?”
ติงหงซึ่งกำลังเหงื่อโทรมกายราวกับสายฝน ในมือถือจอบเล่มหนึ่งยืนอยู่ลึกเข้าไปในถ้ำแห่งนั้นยี่สิบกว่าเมตรพลันหยุดการเคลื่อนไหว แล้วมองออกไปนอกถ้ำด้วยความระแวงสงสัย
ติงหงมาถึงไซบีเรียเร็วกว่าเยี่ยเทียนไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ และสายแร่ในเหมืองทองแห่งนี้ก็อุดมสมบูรณ์กว่าที่ติงหงคาดคิดไว้มาก เขาจึงรู้สึกยินดีปรีดาอย่างยิ่ง
วันแรกที่มาถึงที่นี่ ติงหงก็ได้ทองสีน้ำเงินขนาดเท่าปลายนิ้วมาก้อนหนึ่งแล้ว
ติงหงรู้ว่า โลหะชนิดนี้เป็นแร่อนุพันธ์ที่แตกมาจากสายแร่ของพลอยวิเศษ เมื่อนำไปผ่านการหลอมในเครื่องถลุง จะทำให้โลหะที่หลอมออกมาได้นั้นมีพลังปราณธาตุทอง และมีความแข็งแกร่งคงทนอย่างยิ่ง
แต่นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ประเด็นที่ติงหงสนใจยิ่งกว่านั้นคือ ในสถานที่ที่ทองสีน้ำเงินนี้กำเนิดขึ้นมา จะต้องมีสายแร่ของพลอยวิเศษธาตุทองอยู่แน่นอน และจะต้องมีทรัพยากรสะสมอยู่จำนวนมาก พร้อมทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีพลอยวิเศษธาตุทองชั้นยอดกำเนิดขึ้นมาอีกด้วย
ติงหงเข้าสู่ระดับเซียนเทียนช่วงปลายมาเกือบหนึ่งร้อยปีแล้ว อยู่ห่างจากการบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น แต่ในฟ้าดินล้วนมีความเปลี่ยนผัน แม้ติงหงจะมีความหวังอยู่ว่า ตนนั้นมีโอกาสที่จะบรรลุได้แล้ว แต่ก็กลับยังไม่กล้าทดลองดู
พลอยวิเศษชั้นยอดสามารถช่วยเพิ่มระดับได้สามส่วน สำหรับติงหงแล้วเรียกได้ว่าเป็นฟางเส้นสุดท้ายเลยทีเดียว
เพียงแต่ว่า พลอยวิเศษชั้นยอดนั้นหาพบได้ยากยิ่ง จนถึงทุกวันนี้ที่ติงหงเคยพบก็มีเพียงพลอยวิเศษธาตุไฟชั้นยอดที่แตกหักในงานประมูลก่อนหน้านี้เท่านั้น
และอันที่จริงพลอยวิเศษชิ้นนั้นก็สูญเสียปราณวิเศษไปมากแล้ว คุณค่าของมันอย่างมากก็แค่เท่ากับพลอยวิเศษชั้นกลางชิ้นหนึ่งเท่านั้นเอง
แม้ติงหงจะรู้ว่า สำนักใหญ่ๆ บางสำนักมีพลอยวิเศษชั้นยอดอยู่ แต่เขาก็ไม่มีสมบัติใดๆ ที่จะนำไปแลกเปลี่ยนได้ ถ้าตอนนี้เขาหาพลอยวิเศษธาตุทองชั้นยอดมาได้ ก็จะสามารถนำไปแลกกับพลอยวิเศษธาตุน้ำชั้นยอดที่ตนต้องการได้
แต่สายแร่ของพลอยวิเศษนั้นมักจะอยู่ลึกลงไปใต้ดิน จึงขุดเจาะออกมาได้ยากกว่าแร่ทั่วๆ ไป
แร่ทองคำโดยปกติก็มีความแข็งแกร่งสูงอยู่แล้ว ยิ่งประกอบกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นอย่างโหดร้ายของที่นี่อีก ชั้นดินเยือกแข็งก็ลึกสิบถึงยี่สิบเมตร ติงหงแม้จะมีพลังฝีมือสูงส่ง จอบที่ถืออยู่ก็เป็นของวิเศษชิ้นหนึ่ง แต่ก็ยังคงขุดเจาะได้ไม่เร็วนัก
ตลอดหนึ่งสัปดาห์กว่าๆ ที่ผ่านมานี้ แม้ว่าติงหงจะขุดลงไปพบสายแร่ของพลอยวิเศษที่อยู่ใต้เหมืองแร่อีกสองจุด แต่เขากลับโชคไม่ค่อยดีนัก จึงได้มาเพียงพลอยวิเศษธาตุทองชั้นต่ำสิบกว่าชิ้น นอกจากนี้ก็ยังมีพลอยวิเศษชั้นกลางอีกสามชิ้น แต่กลับไม่พบพลอยวิเศษชั้นยอดที่ตนปรารถนาเลย
จุดที่ติงหงกำลังขุดค้นอยู่ในขณะนี้เป็นจุดเริ่มต้นของสายแร่พลอยวิเศษ โดยปกติแล้ว พลอยวิเศษที่เกิดในตำแหน่งนี้ก็น่าจะมีคุณภาพสูงที่สุด ถ้าแม้แต่ที่นี่ยังไม่มี เขาก็คงได้แต่กลับไปมือเปล่า
ในตำแหน่งของสายแร่พลอยวิเศษนั้น จะไม่สามารถส่งดวงจิตเข้าไปสำรวจได้เลย ดังนั้นตอนนี้ติงหงจึงเริ่มจะรู้สึกกังวลขึ้นมาแล้ว เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า มาขุดตรงนี้แล้วจะเจอพลอยวิเศษชั้นยอดหรือไม่
ตอนนี้หากขุดลึกลงไปอีกเจ็ดแปดเมตร ก็จะพบสายแร่ของพลอยวิเศษแล้ว ทันใดนั้นติงหงรู้สึกถึงปราณวิเศษระลอกหนึ่งที่แผ่เข้ามาจากนอกถ้ำ แล้วสีหน้าก็ขรึมลงไปทันที
แม้แต่ในดินแดนแห่งทวยเทพ สายแร่ของพลอยวิเศษก็ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำนักหนึ่งๆ ต้องอาศัยในการที่จะดำรงอยู่ได้อย่างแข็งแกร่ง เพื่อที่จะแย่งชิงสายแร่พลอยวิเศษมาไว้ในครอบครอง ไม่รู้ว่ามีผู้บำเพ็ญพรตมากมายเท่าไรต้องมาจบชีวิตลง และมีกี่สำนักที่ต้องสูญสิ้นไปเพราะเหตุนี้
หอประดิษฐ์ วิเศษของติงหงมีศิษย์อยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ถือว่าเป็นเพียงสำนักเล็กๆ นอกกระแสแห่งหนึ่งในดินแดนแห่งทวยเทพเท่านั้น หากมีคนนอกล่วงรู้เกี่ยวกับสถานที่นี้ เขาก็คงได้แต่ยอมถอนตัวออกไปแต่โดยดี
“ไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่ดีกว่า ถ้าเป็นผู้บำเพ็ญพรตที่มีพลังฝีมือพอสูสี เราก็จะรวบรวมพลอยวิเศษเท่าที่ขุดออกมาได้แล้วไปจากที่นี่ แต่ถ้าเป็นพวกรุ่นเด็กละก็ ฮึ…”
ติงหงเปลี่ยนสีหน้าไปหลายครั้ง หลังจากพึมพำกับตัวเองไปพักใหญ่ๆ ในที่สุดก็ตัดสินใจได้แล้ว ที่จริงพลอยวิเศษธาตุทองที่เขาขุดค้นขึ้นมาได้ครั้งนี้ก็น่าจะมีจำนวนมากกว่าพลอยวิเศษทั้งหมดที่มีอยู่ในหอประดิษฐ์ วิเศษแล้ว
แต่ภาษิตว่า คนตายเพราะเห็นแก่สมบัติ นกตายเพราะเห็นแก่อาหาร ถ้าผู้มาเยือนมีพลังฝีมือต่ำกว่าตน ติงหงก็จะเก็บเจ้าคนนั้นเสียที่นี่เลย ไว้พอเขาไปถึงระดับบรรลุจินตันสำเร็จมหามรรคเมื่อไร ก็จะไม่ต้องกลัวแล้วว่าคนจากสำนักของอีกฝ่ายจะมาแก้แค้น
ติงหงโยนจอบทิ้งลงไป หยิบธงผืนเล็กๆ ที่บางราวกับใยไหมออกมาเก้าผืน แล้วปักลงไปบนพื้นตามตำแหน่งในผังเก้าตำหนัก ปราณวิเศษที่พวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ดินถูกตัดขาดไปทันที ทำให้ปราณวิเศษอันหนาแน่นภายในถ้ำนั้นเบาบางลงไปโดยพลัน
ในฐานะที่เป็นประมุขคนปัจจุบันของสำนักหอประดิษฐ์ วิเศษ ติงหงจึงมีเคล็ดวิชาอยู่หลายอย่าง ค่ายกลธงเก้าตำหนักแปดทิศชุดนี้เขาเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง ยามปกติจะใช้สำหรับอำพรางร่องรอย ส่วนยามนี้ก็ได้นำมาใช้ปิดผนึกตำแหน่งของสายแร่พลอยวิเศษไว้
“เอ๋? ทำไมไม่เห็นมีใครเลย?”
เมื่อออกมาจากถ้ำแล้ว ติงหงกลับต้องรู้สึกงงงัน เพราะคลื่นพลังของจิตดั้งเดิมที่เพิ่งจะแผ่มาเมื่อครู่นั้น ตอนนี้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ถ้าไม่ใช่เพราะเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจน ก็คงจะนึกว่าตัวเองสติหลอนไปเองเสียแล้ว
ติงหงขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงชัดเจน “เราพรตต่ำต้อยคือติงหงแห่งหอประดิษฐ์ วิเศษ สหายพรตท่านนั้นในเมื่ออุตส่าห์มาแล้ว ก็ออกมาพบกันหน่อยเถิด!”
แม้ว่าเสียงของติงหงจะไม่ได้ดังกังวานมากนัก แต่กลับกระจายออกไปไกลถึงยี่สิบสามสิบกิโลเมตร เยี่ยเทียนที่กำลังซ่อนอยู่ใต้ดินจึงได้ยินอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
“แม่เจ้าโวย เสียงที่พูดออกมานี่ไม่ได้ใช้พลังปราณเลยสักนิด แต่กลับดังออกไปได้ไกลขนาดนั้น พลังฝีมือของติงหงนี่ไม่ใช่เล่นๆ เลยจริงๆ!”
หลังจากได้ยินเสียงของติงหง เยี่ยเทียนก็รู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาวาบหนึ่งอย่างไม่อาจข่มกลั้น ปราณแท้ในกายโคจรช้าลงไปอีกสามส่วนทันที จนร่างผสานเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นดิน ไม่อาจแยกแยะจากกันได้เลย
“หืม? ซ่อนตัวงั้นรึ?”
หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน เสียงของติงหงยังคงสะท้อนไปท่ามกลางขุนเขาเป็นทอดๆ เมื่อเห็นว่าการทักทายของตนไม่ได้รับการตอบรับใดๆ ติงหงก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นมา
เขารู้ว่า ยอดคนระดับจินตันนั้นปกติจะไม่ออกจากดินแดนแห่งทวยเทพโดยง่าย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวต่อผู้มาเยือนเลย แต่ถ้าฝ่ายนั้นตั้งใจจะปกปิดตำแหน่งร่องรอยของตัวเองแล้วละก็ ถึงระดับพลังฝีมือจะต่ำกว่าติงหง แต่เขาก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี
เรื่องนี้ทำให้ติงหงลำบากใจอย่างยิ่ง เพราะเขาจะคอยแผ่จิตออกไปค้นหาคนผู้นี้ตลอดเวลาก็คงไม่ได้ แต่ถ้าคนผู้นี้เกิดหลบเร้นออกไปได้ละก็ อย่างนั้นเขาก็คงจะรักษาสายแร่ของพลอยวิเศษแห่งนี้ไว้ไม่ได้แล้ว
แม้ว่าติงหงจะได้พลอยวิเศษจากสายแร่ทั้งสองแห่งนั้นมาแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ขุดค้นอย่างละเอียด ในสองบริเวณนั้นจึงยังมีพลอยวิเศษหลงเหลืออยู่อีกไม่น้อย และสายแร่จุดที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขานี้ก็ต้องใช้เวลาอีกหนึ่งวันถึงจะขุดลงไปพบได้
แต่ผู้บำเพ็ญพรตนั้นสามารถเดินทางพันลี้ได้ในชั่วอึดใจ และระหว่างค่ายสำนักต่างๆ ก็มักจะมีการแลกเปลี่ยนข่าวสารซึ่งกันและกัน ถ้าคนผู้นี้ปล่อยข่าวออกไปแล้วทำให้มียอดฝีมือแห่กันมาที่นี่ละก็ อย่างนั้นความพยายามของติงหงในครั้งนี้ก็เท่ากับเสียแรงเปล่า เหมือนนำตะกร้าสานไปตักน้ำ
“มาแล้วรึ? ฮ่าๆ นึกว่าแกจะไม่ออกมาซะแล้ว!”
ทันใดนั้น ติงหงสัมผัสได้ว่า มีปราณวิเศษระลอกหนึ่งแผ่มาจากจุดที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบกว่ากิโลเมตร จึงรู้สึกยินดีขึ้นมาทันที สะบัดชายเสื้อชุดนักพรตหนึ่งครั้ง แล้วร่างก็อันตรธานไปจากตำแหน่งเดิมในฉับพลัน
“เป็นชาวต่างชาติหรอกรึนี่?”
ร่างของติงหงปรากฏออกมาอีกครั้งบนสันเขาที่อยู่ห่างจากจุดเดิมไปยี่สิบกว่ากิโลเมตร เมื่อเห็นชาวตะวันตกร่างผอมแห้งคนนั้นแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือจะหัวเราะดี
“ที่แท้ก็เป็นกากเดนผีดูดเลือดที่เหลือรอดมานี่เอง”
หลังจากสำรวจดูปราณวิเศษบนร่างของอีกฝ่ายอย่างละเอียดแล้ว ติงหงก็มีสีหน้าโล่งอกขึ้นมา เมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน เขาเคยติดต่อกับกลุ่มชนต่างชาติกลุ่มหนึ่ง และได้รู้ว่าคนเหล่านั้นเป็นผู้บำเพ็ญที่อยู่นอกดินแดนแห่งทวยเทพ
“กำลังหาอะไรอยู่น่ะ?”
ติงหงถามขึ้นเบาๆ ขณะที่กำลังยืนอยู่ข้างหลังเคิร์ท เขาดูออกว่า พลังฝีมือของคนผู้นี้ห่างชั้นกับเขามากนัก ก็ขนาดเขาสำรวจตรวจตราคนผู้นั้นจนทะลุปรุโปร่งไปรอบหนึ่งแล้ว เจ้าตัวก็ยังไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ติงหงก็วางใจได้อย่างเต็มที่แล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ใช่สหายผู้ร่วมบำเพ็ญเต๋า ติงหงก็ไม่มีอะไรต้องหวาดเกรงอีก สมัยก่อนเขายังเคยสังหารแวมไพร์ชั้นดยุกตนหนึ่งไปกับมือเลยด้วยซ้ำ
“ใคร แกเป็นใครกัน?” ข้อดีอย่างหนึ่งของการที่ได้มีชีวิตอยู่มานานแล้วก็คือ เคิร์ทสามารถฟังภาษาต่างๆ ในโลกนี้รู้เรื่องได้อยู่หลายภาษา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมถึงภาษาจีนด้วย
แต่เมื่อได้ยินเสียงพูดดังมาจากข้างหลังอย่างกะทันหัน เคิร์ทก็ตื่นตระหนกสุดขีด โดดเหยงขึ้นมาราวกับแมวที่ถูกเหยียบหาง แล้วเผ่นไปข้างหน้าโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง