หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 769 อีกคนหนึ่ง
ตอนที่ 769 อีกคนหนึ่ง
“คิดจะหนีรึ? เป็นแค่ค้างคาวตายซากตัวกระจ้อยแท้ๆ จะหนีรอดไปได้ยังไงกัน?”
รอยยิ้มเย็นเยียบปรากฏขึ้นบนใบหน้าของติงหง ตั้งแต่ตอนที่เขารู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของปราณวิเศษนั้น ก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า หากฝ่ายตรงข้ามมีพลังฝีมือต่ำกว่าตน เขาก็จะกำจัดให้สิ้นซากไปเลย
ลำพังแค่สายแร่ของพลอยวิเศษธาตุทองตำแหน่งนี้ ก็เพียงพอให้สำนักหอประดิษฐ์ วิเศษคงอยู่สืบไปได้หนึ่งพันปีแล้ว เพื่อสิ่งนี้แม้กระทั่งสำนักใหญ่ๆ ในดินแดนแห่งทวยเทพติงหงยังกล้าล่วงเกิน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพวกนอกรีตจากต่างชาติเหล่านี้
ฝ่ายเคิร์ทนั้นดูราวกับว่าไม่ได้ยินที่ติงหงพูดมาแล้ว ตอนนี้ในใจของเขาคิดแต่จะหลบหนีอย่างเดียวเท่านั้น!
ในฐานะที่เป็นแวมไพร์ชั้นเคานต์ เคิร์ทจึงคุ้นเคยกับกลิ่นโลหิตของมนุษย์เป็นอย่างดี สิ่งมีชีวิตต่างๆ ในโลกนี้ ขอเพียงไม่ใช่สัตว์เลือดเย็น เขาก็จะสามารถรับรู้ตำแหน่งของอีกฝ่ายจากกลิ่นของโลหิตได้เสมอ
และนี่ก็เป็นสาเหตุหลักที่เคิร์ทสามารถตามรอยเยี่ยเทียนมาจนถึงที่นี่ได้ แต่การปรากฏกายของติงหงนั้นทำให้เขาตกใจจนขวัญกระเจิง คนผู้นี้ปรากฏกายโดยปราศจากสัญญาณล่วงหน้าใดๆ ราวกับเป็นดวงวิญญาณก็ไม่ปาน ในใจเคิร์ทจึงเกิดความรู้สึกหวาดระแวงขึ้นมาอย่างรุนแรง
ขณะนี้ร่างกายอันซูบผอมของเคิร์ทได้ระเบิดพลังงานอันแข็งแกร่งออกมา ปากก็เปล่งเสียงร้องประหลาด สองแขนเริ่มพัดกระพือราวกับเป็นปีกคู่หนึ่ง สองเท้าถีบขึ้นจากพื้น ส่งร่างทะยานขึ้นสู่ฟ้าราวกับกระสุนปืนใหญ่
แต่ทว่าร่างของเคิร์ทยังโถมออกไปได้ไม่เกินสองเมตร ก็กลับรู้สึกเจ็บที่ท้ายทอย พลังทั้งหมดราวกับถูกสูบไปจนเกลี้ยงในชั่วพริบตา จนรู้สึกอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงไปทั้งร่าง
“อยู่ต่อหน้าข้า ยังคิดจะหนีอีกรึ?”
ติงหงยืนแค่นหัวเราะอยู่ที่เดิม ร่างดูเหมือนจะไม่ได้ขยับเขยื้อนเลย แต่มือขวาของเขากลับบีบคอของเคิร์ทไว้แน่น ราวกับกำลังขยุ้มลูกไก่ตัวหนึ่งไว้ในกำมือ
“อึก อึก!”
เสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์เปล่งออกมาจากลำคอของเคิร์ท ใบหน้าแดงก่ำ แต่ลำคอของเขาถูกบีบไว้จนแม้แต่จะพูดวิงวอนร้องขอชีวิตก็ยังทำไม่ได้ ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ในยุคสมัยที่มนุษย์ได้รับผลกระทบจากมลภาวะอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พลังวิเศษที่อยู่ในเลือดก็จะค่อยๆ ลดน้อยลงไป จึงทำให้พวกแวมไพร์เลื่อนชั้นได้ยากยิ่งขึ้น มีจำนวนมากที่แม้กระทั่งชั้นบารอนซึ่งเป็นชั้นที่ต่ำที่สุดก็ยังไปไม่ถึงเลย
ดังนั้น เคิร์ทซึ่งเป็นแวมไพร์ชั้นเคานต์จึงเรียกได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในสภาแห่งความมืดแล้ว และก็ถือว่าแข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆ ในตระกูลแดร็กคูล่าเลยทีเดียว
แต่เมื่อมาอยู่ในกำมือของคนผู้นี้ เขากลับทำไม่ได้แม้แต่จะหลบหนี ความแข็งแกร่งระดับนี้ เกรงว่าแม้แต่เคานท์แดร็กคูล่าผู้เป็นนายของเขาเองก็คงไม่อาจมาเทียบเคียงได้
“เจ้าหนุ่ม เลิกคิดที่จะหลบหนีไปได้เลย เมื่ออยู่ในกำมือของข้าแล้ว ยังไงก็หนีไม่รอดหรอก!”
ติงหงโยนเคิร์ทลงไปบนพื้น แล้วพูดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ตอบคำถามข้ามาตามตรง บางทีถ้าข้าอารมณ์ดี อาจจะปล่อยแกไปก็ได้นะ”
“แก…แกอยากจะถามอะไรล่ะ?”
เคิร์ทตื่นกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว เขาอุตส่าห์ตามรอยเยี่ยเทียนมาได้ตลอดทาง ไม่นึกเลยว่าที่นี่จะมีตาแก่ซ่อนอยู่คนหนึ่ง ฟังจากการพูดจาแบบคนแก่ที่ทะนงตนนั่นแล้ว คาดว่าคงจะเป็นผู้อาวุโสที่อยู่สำนักเดียวกับเจ้าคนเมื่อครู่แน่แล้ว
เคิร์ทรู้ว่า ผู้บำเพ็ญจากดินแดนแห่งทวยเทพเหล่านั้นให้ความสำคัญกับลำดับอาวุโสในสำนัก ไม่ได้มีการสืบทอดทางสายเลือดเหมือนแวมไพร์อย่างพวกตน แต่ทั้งสองฝ่ายมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่หนึ่งอย่าง นั่นก็คือการยกให้ผู้ที่แข็งแกร่งมีอำนาจ
เห็นได้ชัดว่า ชายวัยกลางคนผู้นี้มีการบำเพ็ญสูงส่งกว่าเยี่ยเทียนมาก เพราะเคิร์ทรู้สึกได้ว่า สายตาของคนผู้นี้คอยจ้องมาที่แก่นหัวใจของเขาเป็นครั้งคราว ทำให้แผ่นหลังของเขาหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
“ข้อแรก แกมาที่นี่ทำไมกัน?”
ติงหงคิดๆ ดู แล้วชูนิ้วมือขึ้นมาอีกหนึ่งนิ้ว “ข้อที่สอง แกมาเองคนเดียวรึเปล่า? เท่าที่ข้าจำได้ พวกแวมไพร์น่าจะไม่ได้อ่อนแอเหมือนแกแบบนี้นี่?”
แม้ว่าเขาจะแผ่จิตปกคลุมทั่วอาณาเขตในรัศมีหลายสิบกิโลเมตรแล้ว และก็ไม่พบการเคลื่อนไหวของพลังลมปราณชีวิตที่จุดอื่นเลย แต่ติงหงก็ยังไม่กล้าประมาท เพราะสายแร่พลอยวิเศษแห่งนี้สำคัญต่อเขามากเหลือเกิน
ลูกตาของเคิร์ทกลอกกลิ้งไปมา แล้วตอบว่า “ถ้า…ถ้าฉันตอบแล้ว แกจะปล่อยฉันไหม?”
“แกยังมีทางเลือกอื่นอีกรึไง?” ติงหงได้ยินแล้วสีหน้าเย็นชาลง ดวงตามองไปที่ตำแหน่งแก่นหัวใจของเคิร์ทด้วยสายตาราวกับกระบี่คม แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเฉยชา “ถ้าไม่พูด ก็จงตายเสียเดี๋ยวนี้แหละ!”
เคิร์ทใจหายวาบ เขาดูออกว่า คนผู้นี้เห็นการปลิดชีพผู้อื่นเป็นเรื่องธรรมดามาก จึงรีบพูดขึ้นว่า “ก็ได้ ฉันจะบอกแก กิจการของเจ้านายฉันถูกคนทำลายไป ฉันก็เลยติดตามเจ้านายมาที่ไซบีเรีย”
“เจ้านาย? เป็นแวมไพร์เหมือนกับแกงั้นหรือ? แล้วมันชื่ออะไร?”
ติงหงนิ่งอึ้ง ในอดีตเขาเคยเจอกับผู้บำเพ็ญจากทางตะวันตกมาก่อน ในบรรดานั้นแวมไพร์เป็นพวกที่ตอแยได้ยากที่สุด กระทั่งยังมีบางคนในหมู่พวกนี้ที่ร้ายกาจจนแม้แต่เขาเองยังต้องปวดเศียรเวียนเกล้ามาแล้ว
“เจ้านายฉันชื่อแดร็กคูล่า และก็เป็นประมุขคนปัจจุบันของตระกูลแดร็กคูล่าด้วย ได้โปรดเห็นแก่หน้าท่าน ยกโทษให้ฉันที่บุ่มบ่ามเข้ามารบกวนสักครั้งเถอะนะ!”
เคิร์ทพยายามทำตัวนอบน้อมสุดขีด เขาไม่กล้าเปิดเผยให้อีกฝ่ายรู้เลยว่า ตนจงใจอ้างถึงเจ้านายเพื่อที่จะข่มขู่ฝ่ายนั้น เพราะเขารู้ดีว่า หากใช้วิธีข่มขู่กับคนที่อยู่ในระดับสูงแบบนี้ ก็มีแต่จะได้รับผลที่ตรงกันข้าม
“แดร็กคูล่ารึ? รู้สึกจะเคยได้ยินชื่อนี้อยู่เหมือนกัน แต่มันก็น่าจะตายไปแล้วนี่นา!”
ติงหงรู้สึกประหลาดใจ ตอนที่พวกตะวันตกเข้ามารุกรานดินแดนแห่งทวยเทพเมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน เขาเคยเห็นการต่อสู้ระหว่างยอดคนระดับจินตันท่านหนึ่งกับแวมไพร์ชั้นดยุก ดยุกคนนั้นก็เหมือนจะชื่อแดร็กคูล่าเช่นกัน พลังฝีมือของมันในตอนนั้นเหมือนจะสูงยิ่งกว่าเขาในตอนนี้เสียอีก
“หมายถึงท่านอดีตประมุขรึเปล่า?” เมื่อได้ยินติงหงพูดเช่นนั้น เคิร์ทก็เผลอหลุดปากออกมา แต่หลังจากพูดออกไป เขาก็รู้สึกว่าตัวเองทำพลาดไปทันที
“อดีตประมุข? ฮ่าๆ ที่แท้ประมุขในตระกูลของพวกแกก็ชื่อแดร็กคูล่าเหมือนกันหมดงั้นสิ?”
ติงหงหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมาดังลั่น ดวงตาฉายแววอำมหิตขึ้นมาทันที ถ้าเจ้าผีดูดเลือดเฒ่าในอดีตนั่นยังอยู่ เขาก็อาจจะยังรู้สึกยำเกรงอยู่บ้าง แต่กับทายาทรุ่นหลังของมันนั้น ติงหงกลับไม่กลัวเลยสักนิด
ติงหงยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม แล้วยื่นมือกางกรงเล็บไปทางเคิร์ท กระแสลมแรงห้าสายพุ่งออกจากนิ้วมือ ปกคลุมเคิร์ทไว้ภายใน นอกจากตำแหน่งปากแล้ว ร่างกายส่วนอื่นๆ ของเคิร์ทก็ดูเหมือนจะถูกวิชาสกัดร่างตรึงเอาไว้ จนไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่ปลายนิ้วมือ
“ไม่ แกจะฆ่าฉันไม่ได้นะ!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันรุนแรงของติงหง เคิร์ทก็ร้องเสียงหลงขึ้นมาทันที “ถึงฉันจะไปหาเรื่องกับศิษย์ในสำนักแก แต่ฉันก็ไม่ได้ทำมันบาดเจ็บเลยนะ นั่นมันฝีมือของรัฐบาลรัสเซียทั้งนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันเลย!”
“ศิษย์ในสำนัก?”
ตอนแรกติงหงงอนิ้วชี้มือซ้ายขึ้นมา และกำลังจะดีดออกไปบดขยี้แก่นหัวใจของเคิร์ทอยู่แล้ว ทันใดนั้นกลับหยุดชะงักไป แล้วถามขึ้นด้วยสีหน้าฉงนใจ “พูดเหลวไหล ข้าติงหงมาที่นี่คนเดียว มีศิษย์ในสำนักมาด้วยที่ไหนกัน?”
แม้ว่าตอนที่อยู่ที่เขตปกครองไซบีเรีย ติงหงจะเคยพบกับอวิ๋นหวาถงมาครั้งหนึ่ง แต่หลังจากที่รู้ตำแหน่งของเหมืองทองแล้ว เขาก็มุ่งตรงมาที่นี่ทันที
ตอนนี้อวิ๋นหวาถงกำลังตามหาเฉินสี่ฉวนอยู่ที่เขตปกครองไซบีเรีย เพื่อที่จะซื้อกรรมสิทธิ์ทั้งหมดในการครอบครองเหมืองทองมา จึงไม่ได้มีใครติดตามติงหงมาที่นี่
แน่นอนว่า สำหรับติงหงแล้ว กรรมสิทธิ์ในเหมืองทองแห่งนี้จะเป็นของใครก็ไม่สำคัญทั้งนั้น ต่อให้เป็นของคนอื่น เขาก็จะมาขุดหาพลอยวิเศษอยู่ดี
“เจ้าคนนั้นไม่ใช่ศิษย์ของแกรึ?”
แวมไพร์นั้นจะต้องดูดรับพลังวิเศษจากร่างของคนเป็นๆ จึงมีประสาทการรับรู้ที่ไวต่อกลิ่นอายของมนุษย์เป็นพิเศษ ดังนั้นหลังจากได้ยินติงหงพูดแบบนั้น เคิร์ทจึงร้องทักท้วงขึ้นมา “บนตัวมันมีคลื่นพลังวิเศษแบบคนตะวันออกอย่างพวกแกอยู่ชัดๆ แล้วจะไม่ใช่ศิษย์ของแกได้ยังไงล่ะ?”
เคิร์ทเชื่อว่าตัวเองไม่มีทางดูผิดไปแน่ แม้ว่าคนผู้นั้นจะมีใบหน้าแบบชาวตะวันตก แต่กลับมีวิชายุทธเหมือนกับคนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่มีผิดเลย
“มีผู้บำเพ็ญพรตมาที่นี่จริงๆ ด้วยรึเนี่ย?”
ติงหงขมวดคิ้วแน่น ตอนที่เห็นเคิร์ท เขาก็เริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลแล้ว เพราะตำแหน่งของคลื่นปราณวิเศษที่เขาสัมผัสได้นั้นอยู่ภายในรัศมีสิบกว่ากิโลเมตรจากเหมืองทอง
แต่ตำแหน่งที่เคิร์ทปรากฏกายขึ้นนั้น กลับอยู่ห่างจากเหมืองทองถึงสามสิบกิโลเมตรเต็มๆ อาศัยระดับความเร็วของมันแล้ว ก็ไม่น่าจะเดินทางข้ามระยะห่างนี้ในชั่วพริบตาได้ ซึ่งก็หมายความว่า ผู้ที่ปรากฏกายขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้คงไม่ใช่แวมไพร์ตนนี้แน่ๆ
หลังจากพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง ติงหงก็หันไปถามเคิร์ทว่า “คนผู้นั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร?”
“มัน…มันมีหน้าตาเหมือนกับชาวตะวันตก” เคิร์ทตอบ
“พูดจาซี้ซั้ว ผู้บำเพ็ญพรตฝึกวิชาเต๋าจะเป็นชาวตะวันตกไปได้อย่างไรกัน?”
ติงหงได้ยินแล้วก็โกรธจัด ไอ้ผีดูดเลือดตัวนี้มันคิดจะหลอกเขาถ่วงเวลาเล่นหรือไง? ระบบการฝึกบำเพ็ญของทางตะวันออกนั้นถูกคิดค้นขึ้นมาโดยเฉพาะ หากไม่ใช่คนเชื้อสายจีนก็จะไม่สามารถฝึกให้เกิดปราณแท้ได้ ชาวตะวันตกจึงไม่มีทางเข้าถึงเคล็ดวิชาเหล่านี้ได้เลย
“ฉันไม่ได้หลอกแกนะ ไม่ได้หลอกจริงๆ นะ!” เมื่อเห็นรังสีอำมหิตในดวงตาของติงหง เคิร์ทก็ร่ำร้องขึ้นมา “เจ้านายฉันบอกไว้ว่า เจ้านั่นมันผ่านการแปลงโฉมมา ที่จริงมันก็เป็นคนตะวันออกเหมือนแกนั่นแหละ!”
ติงหงนิ่งอึ้ง เหตุผลแบบนี้กลับพอรับได้อยู่ เพราะหลังจากที่เข้าสู่ระดับเซียนเทียน พวกเขาก็จะสามารถเปลี่ยนโครงกระดูกแปลงรูปโฉมได้ดั่งใจนึก ถือว่าเป็นเพียงทักษะเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
“ฟ้าว ฟ้าวๆ…”
ขณะที่ติงหงกำลังจะซักถามต่อไป ทันใดนั้นใบหูของเขาก็กระดิก จึงเงยหน้าขึ้นมาในฉับพลัน สายตามองไปบนท้องฟ้าไกล
แทบจะพร้อมๆ กับที่ติงหงเงยหน้าขึ้นมา จรวดสามลูกก็ปรากฏแก่สายตาของเขา มันพุ่งตรงมาที่ตำแหน่งของทั้งสอง โดยทิ้งเส้นสีขาวยาวเป็นทางๆ กลางอากาศ
“ดักซุ่มโจมตีงั้นรึ?”
ดวงตาของติงหงฉายแววยิ้มเยาะ แต่ไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ เขายื่นมือออกไปในลักษณะคว้าจับ ปล่อยพลังดูดร่างของเคิร์ทให้ลอยเข้ามาหา แล้วเหวี่ยงเคิร์ทออกไปกลางอากาศ
“ช่วย…ช่วยด้วย!”
หลังจากที่ถูกติงหงบีบคอไว้ เคิร์ทก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าหลังจากถูกโยนออกไปแล้วจะฟื้นพลังกลับมาได้ แต่พลังเท่านั้นก็ไม่สามารถทำให้เขาเปลี่ยนแปลงทิศทางได้อยู่ดี
เคิร์ทร้องคร่ำครวญออกมาอย่างจนปัญญา ได้แต่มองดูตัวเองปลิวเข้าไปหาจรวดลูกที่อยู่หน้าสุดตาปริบๆ
“ตูม! ตูมๆ!” จรวดพุ่งมาด้วยความเร็วสูงยิ่ง เพียงชั่วพริบตา ร่างของเคิร์ทก็ปะทะเข้ากับจรวดอย่างรุนแรง
เนื่องจากฝีมืออันยอดเยี่ยมของติงหง หลังจากชนจรวดลูกแรกระเบิดไปแล้ว ก็ยังพุ่งเข้าไปชนกับอีกสองลูกที่อยู่ข้างหลังอีก เสียงระเบิดดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วฟ้าดิน คลื่นพลังที่แม้แต่ตาเปล่ายังมองเห็นได้แผ่ตัวออกไปกลางอากาศเป็นระลอก
“นี่มันระเบิดชนิดไหนกัน?”
แม้แต่ติงหงที่ยืนอยู่บนพื้นก็ยังตกใจกับการระเบิดอันสะเทือนฟ้าดินนี้ เขาจำได้ว่า สมัยก่อนตอนที่เขาถอนตัวกลับสู่ดินแดนแห่งทวยเทพนั้น ในโลกนี้เหมือนจะยังไม่มีอาวุธชนิดไหนที่สามารถทำให้เขารู้สึกครั่นคร้ามได้เลย