หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 770 ขีปนาวุธยุทธศาสตร์
ตอนที่ 770 ขีปนาวุธยุทธศาสตร์
คลื่นพลังจากระเบิดที่ตามมาระลอกหลังนั้นก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนจนต้นไม้บนพื้นเบื้องล่างส่ายโอนเอน แม้แต่ติงหงที่มีปราณแท้คุ้มกายอยู่ก็ยังรู้สึกเสียสมดุลไปวูบหนึ่ง คลื่นพลังที่แผ่มาเป็นระลอกนั้นทำให้ติงหงต้องถอยหลังไปหลายก้าว หน้าเปลี่ยนสีในฉับพลัน
จุดที่เกิดการระเบิดอยู่ห่างจากเขาไปหลายร้อยเมตร แต่กลับได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงถึงขนาดนี้ นี่ถ้ามาระเบิดอยู่ข้างๆ ติงหงก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าตนจะต้านทานไหวหรือไม่ ในใจจึงอดรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาไม่ได้
เคิร์ทซึ่งถูกเขาโยนออกไปนั้น บัดนี้ไม่หลงเหลือแม้กระทั่งซากศพเถ้ากระดูก อุณหภูมิสูงที่เกิดจากการระเบิดของจรวดนั้นได้เผาผลาญร่างของเขาไปจนหมดในพริบตา แม้แต่แก่นหัวใจก็กลายเป็นเถ้าธุลี เรียกว่าตายจนไม่รู้จะตายอย่างไรได้อีกแล้ว
“วุ่นวายจริง รีบกลับไปขุดหาสายแร่พลอยวิเศษจุดสุดท้ายดีกว่า!”
ติงหงส่ายหน้า อานุภาพของอาวุธในสมัยปัจจุบันนี้ แม้แต่เขาเองก็ยังยากที่จะประชันด้วยได้ ยิ่งตอนนี้เขากำลังจะไปถึงขั้นบรรลุจินตันสำเร็จมหามรรคอยู่แล้ว ไม่สมควรก่อกรรมทำเข็ญมากเกินไป มิเช่นนั้นความยากในการเลื่อนขั้นจะต้องเพิ่มสูงขึ้นเป็นทวีคูณแน่นอน
ในเมื่อไม่อาจโต้ตอบเอาคืนฝ่ายตรงข้ามได้ จะสู้อย่างไรก็ก็คงไม่คุ้ม อีกทั้งในละแวกนี้ยังอาจจะมีผู้บำเพ็ญเต๋าอีกคนหนึ่งคอยซุ่มสังเกตการณ์อยู่ และอาจจะส่งข่าวไปถึงในดินแดนแห่งทวยเทพแล้วก็เป็นได้
ตอนนี้นอกจากสายแร่พลอยวิเศษแห่งแรก ที่อื่นๆ ก็ถูกเขาขุดค้นไปเกือบหมดแล้ว หากขุดเจาะพบสายแร่พลอยวิเศษอีกแห่งได้ แม้จะต้องจากที่นี่ไปเขาก็ไม่เสียดายแล้ว ดังนั้นติงหงจึงคิดที่จะถอนตัวจากการสู้รบ
ติงหงสะบัดชายแขนเสื้อ หันกายมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งของสายแร่ เส้นทางบนภูเขาที่ไกลหลายสิบกิโลเมตรนั้นราวกับถูกร่นระยะสั้นลงภายใต้ฝีเท้าของเขา แต่ละครั้งที่ก้าวออกไปก้าวหนึ่ง ร่างของติงหงก็จะไปปรากฏขึ้นห่างจากตำแหน่งเดิมมากกว่าหนึ่งพันเมตร
แต่ถึงอย่างไรติงหงก็ปลีกตนจากโลกของฆราวาสมานานมากแล้ว แม้ว่าเขาจะรู้จักเครื่องบินและระเบิด แต่กลับไม่รู้เลยว่า ขณะที่เขากำลังจากไปนั้น ‘ดวงตา’ นับไม่ถ้วนบนฟ้ากำลังจับจ้องดูเขาอยู่
“ผู้การครับ นี่…นี่มันยังใช่คนอยู่ไหมเนี่ย?”
ณ กองบัญชาการที่อยู่ไกลออกไปหลายร้อยกิโลเมตร นายพลกลุ่มหนึ่งต่างกำลังจ้องตาค้างไปที่จอแสดงผลจอหนึ่งซึ่งก็ไม่ได้ให้ภาพที่ชัดเจนเท่าไรนัก ภาพเมื่อครู่นี้ทำให้พวกเขาแต่ละคนรู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญกับมหันตภัยร้ายแรง
แสนยานุภาพของกองทัพรัสเซียนั้นแม้จะไม่เทียบเท่ากับสหภาพโซเวียตในอดีต และก็ไม่ได้มีอาวุธที่มีชื่อเสียงเท่าขีปนาวุธรุ่นแพทริออตของสหรัฐอเมริกา แต่รัสเซียซึ่งเป็นประเทศที่ได้สืบทอดกองทัพของอดีตสหภาพโซเวียตมาทั้งหมดนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะดูถูกกันได้ง่ายๆ เลย
จรวดจากอากาศสู่พื้นทั้งสามลูกนั้นไม่ได้เป็นจรวดชนิดติดเฮลิคอปเตอร์ธรรมดาทั่วไป แต่เป็นขีปนาวุธอากาศสู่พื้นรุ่น PKE-500A ซึ่งสามารถทำลายอาคารขนาดใหญ่แห่งหนึ่งได้ทั้งอาคารเลย
แต่ภาพที่ถ่ายได้จากดาวเทียมกลับแสดงให้เห็นว่า ขีปนาวุธทั้งสามลูกล้วนถูกวัตถุที่มีรูปร่างคล้ายคนสกัดทางไว้ได้ นั่นจะต้องใช้พลังงานที่มหาศาลปานไหน และจะต้องมีการตัดสินใจที่แม่นยำเพียงใดกัน ปรากฏการณ์เช่นนี้อยู่เกินกว่าขอบเขตที่พวกเขาจะทำความเข้าใจได้จริงๆ
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่า คนผู้นั้นสามารถโยนร่างของคนอีกคนหนึ่งออกมาไกลเป็นร้อยเมตรได้อย่างไร เพียงเฉพาะการที่ขีปนาวุธอากาศสู่พื้นสามลูกนั้นถูกสกัดไว้ได้ด้วยพลังของมนุษย์ ก็เป็นเรื่องที่นายพลเหล่านี้แม้แต่จะฝันยังฝันออกมาไม่ได้เลย
“มันจะเป็นคนหรือไม่ผมก็ไม่รู้หรอก ผมรู้อยู่เพียงว่า พวกเราจะต้องกำจัดมันให้ได้!”
เมื่อเห็นภาพในวิดีโอที่ไม่สู้จะชัดเจนนักนั้นแล้ว กินเนสส์ก็สีหน้าซีดเผือด เขาแทบจะสรุปได้เลยว่า การประหัตประหารที่มอสโควและการเสียชีวิตของนายพลลอฟสกี้จะต้องเป็นการกระทำของคนผู้นี้อย่างแน่นอน
และกินเนสส์ยังเชื่อด้วยว่า ในชั่วขณะนี้ คงไม่ได้มีเพียงดาวเทียมสังเกตการณ์ของรัสเซียเท่านั้นที่จับภาพนี้ได้ แม้แต่ประเทศอื่นๆ อย่างอเมริกาหรืออังกฤษก็คงจะรู้เห็นเหตุการณ์นี้แล้วเช่นกัน หากไม่สามารถกำจัดคนผู้นั้นให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ได้ รัสเซียก็คงจะต้องอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“ผู้การครับ เจ้าคนนี้ขนาดขีปนาวุธมันยังไม่กลัว แล้วยังเคลื่อนไหวเร็วออกปานนั้น อาวุธของพวกเราล็อกเป้ามันไม่ทันหรอกครับ!”
เมื่อเห็นภาพและตำแหน่งพิกัดบนจอที่เปลี่ยนไปไม่หยุด วิคเตอร์ก็มีสีหน้าเหลือเชื่อ ถ้าไม่ใช่เพราะใช้ดาวเทียมในการสังเกตการณ์ ร่องรอยของฝ่ายตรงข้ามก็คงจะหลุดจากการติดตามของพวกเขาไปนานแล้ว
“ก็ไม่ใช่ว่าจะล็อกเป้าไม่ได้ไปเสียทีเดียวหรอก ขอแค่มันหยุดอยู่ที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งนานกว่าหนึ่งนาที เท่านี้เราก็ฆ่ามันได้แล้วละ!”
กินเนสส์พลันตาลุกวาว เพราะเขามองเห็นว่า ชายผู้ใส่เสื้อผ้าชุดจีนโบราณผู้นั้นเข้าไปในโพรงถ้ำแห่งหนึ่งบนภูเขา จากนั้นก็จับภาพไม่ได้อีกเลย
“ผมจะต่อสายถึงท่านประธานาธิบดี ทุกท่านโปรดรอสักครู่!”
กินเนสส์ลุกขึ้นยืน แล้วกำชับกับนายทหารผู้ช่วยว่า “คอยจับตาดูร่องรอยของคนผู้นี้ให้ดีๆ ให้แน่ใจว่ามันออกมาจากถ้ำนั่นรึเปล่า!”
เขาเดินออกจากกองบัญชาการอย่างเร่งร้อน จนมาถึงห้องอีกห้องหนึ่ง แล้วโทรศัพท์ต่อสายตรงไปถึงประธานาธิบดีเพื่อรายงานสถานการณ์ทั้งหมด
“ท่านประธานาธิบดีครับ ผมคิดว่า นี่เป็นโอกาสดีที่เราจะได้สำแดงแสนยานุภาพของกองทัพรัสเซีย เราสามารถใช้ที่นั่นเป็นเสมือนสนามซ้อมรบ โดยใช้ขีปนาวุธร่อนรุ่น Kh-555 ได้นะครับ!”
ขีปนาวุธร่อนรุ่น Kh-555 ที่กินเนสส์กล่าวถึงนั้น รัสเซียได้เริ่มพัฒนาขึ้นในช่วงกลางทศวรรษที่ 90 เมื่อต้นปีนี้เพิ่งจะทดลองยิงสำเร็จเป็นครั้งแรก การที่อาวุธด้านยุทธศาสตร์ชนิดนี้ปรากฏขึ้นมา แท้จริงแล้วก็มีต้นเหตุมาจากการยั่วยุของอเมริกานั่นเอง
นิตยสาร Foreign Affairs ของสหรัฐอเมริกาเคยเผยแพร่บทความปลุกปั่นเรื่อง ‘ปัจจุบันอเมริกามีความสามารถที่จะทำลายล้างศูนย์พลังงานนิวเคลียร์ทั้งหมดของรัสเซียได้ในครั้งเดียว’ ซึ่งทำให้เกิดความปั่นป่วนในหมู่ชาวรัสเซียอย่างรุนแรง
‘ทฤษฎีทำลายล้างในคราวเดียว’ นี้ ไม่เพียงทำให้สื่อของรัสเซียต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เท่านั้น แต่ยังกระตุ้นให้เกิดการผลิตขีปนาวุธ Kh-555 ขึ้นอีกด้วย กองทัพรัสเซียประกาศต่อโลกด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า รัสเซียและอเมริกาจะยังคงสามารถรักษาดุลยภาพทางนิวเคลียร์ที่ ‘ต่างฝ่ายต่างทำลายล้างซึ่งกันและกันได้’ ต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นด้านอานุภาพ ระยะยิง หรือความแม่นยำในการโจมตี ขีปนาวุธ Kh-555 ก็มีคุณสมบัติเหนือกว่าจรวด โทมาฮอว์ก ของอเมริกาทุกประการ จุดอ่อนเพียงประการเดียวที่มีอยู่คือ ปัจจุบันกองทัพรัสเซียมีเครื่องบินที่สามารถบรรทุกขีปนาวุธ Kh-555 ได้อยู่เพียงไม่กี่ลำเท่านั้น
นอกจากนี้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการผลิตอันสูงลิ่ว จึงไม่สามารถผลิตขีปนาวุธ Kh-555 ในระดับใหญ่ได้ จนถึงปัจจุบันนี้ รัสเซียก็ยังมีขีปนาวุธ Kh-555 อยู่น้อยกว่าสามสิบลูก
เมื่อปลายสายมีเพียงเสียงลมหายใจของประธานาธิบดี กินเนสส์จึงรู้สึกร้อนใจขึ้นมา และพูดขึ้นว่า “ท่านประธานาธิบดีครับ กับการยั่วยุนี้เราจะต้องตั้งมั่นในการโจมตีกลับนะครับ นายพลลอฟสกี้ก็ตายไปด้วยน้ำมือของคนผู้นี้ ตอนนี้ประเทศอื่นๆ อาจจะกำลังเยาะเย้ยพวกเราอยู่ก็ได้นะครับ!”
กินเนสส์คาดเดาไม่ผิด แม้ว่าขณะนี้จะตรงกับเวลาดึกสงัดที่นิวยอร์ก แต่ที่ทำเนียบขาวซึ่งเพิ่งจะถูกโจมตีไปเมื่อครึ่งปีก่อนกลับเปิดไฟสว่างไสว นายพลยศระดับสูงหลายนายกำลังมองดูภาพที่ส่งมาจากดาวเทียมอย่างจริงจัง
แต่กินเนสส์คาดผิดไปประการหนึ่ง เหล่านายพลผู้สามารถกำหนดชะตาของอเมริกาทั้งประเทศได้เหล่านี้ ไม่ได้กำลังยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นอยู่เลย แต่กลับกำลังท้อแท้หมดอาลัยอย่างยิ่ง
หลังจากดูวิดีโอจบ ชายชราผู้มียศชั้นนายพลท่านหนึ่งหันไปถามพลโทนายหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามว่า “แจ็คสัน โปรเจ็กต์ซูเปอร์แมนของเราน่ะ ยังต้องอีกนานแค่ไหนถึงจะเสร็จสมบูรณ์?”
พลโทนายนั้นส่ายหน้าแล้วตอบว่า “นายพลแคลเรนซ์ ความคืบหน้าที่เขต 51 เป็นไปอย่างล่าช้าเหลือเกินครับ เกรงว่าอย่างน้อยที่สุดก็คงต้องใช้เวลาอีกถึงยี่สิบปี!”
“ยี่สิบปี? กระทรวงกลาโหมทุ่มเงินไปแต่ละปีตั้งมากมายปานนั้น ยังจัดทีมซูเปอร์แมนออกมาไม่ได้สักทีมเลยหรือนี่?”
นายพลแคลเรนซ์ไม่พอใจต่อเรื่องนี้มาก ภาพในวิดีโอนั้นทำให้เขาเกิดความรู้สึกคับขันขึ้นมา การค้นคว้าวิจัยของประเทศจีนในด้านนี้อาจจะล้ำหน้าประเทศต่างๆ ทางตะวันตกไปแล้วก็ได้
“นายพลแคลเรนซ์ อาวุธและอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับการรบตัวต่อตัวผลิตออกมาเรียบร้อยแล้วครับ แต่หากรวมกันขึ้นมาแล้ว ชุดหนึ่งจะมีน้ำหนักมากถึงสามพันกว่ากิโลกรัม นักรบชั้นสูงของเราไม่มีทางที่จะแบกรับได้ไหวหรอกครับ!”
แจ็คสันได้ยินดังนั้นก็ฝืนยิ้ม ตามที่พวกเขาร่างแผนไว้ในตอนแรกนั้น จะต้องพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ชนิดที่ทำให้ผู้ใช้สามารถวางยุทธศาสตร์และสู้รบโดยลำพังคนเดียวได้ ซึ่งก็หมายความว่า เพียงคนเดียวก็สามารดำเนินการป้องปรามอาวุธนิวเคลียร์ได้แล้ว
แต่หลังจากที่ทุ่มทุนไปกับการค้นคว้าวิจัยเป็นตัวเลขสูงเสียดฟ้า อุปกรณ์ที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ประดิษฐ์ออกมาได้ในขั้นสุดท้ายกลับมีน้ำหนักมากถึงสามพันกว่ากิโลกรัม แม้จะมีอุปกรณ์แล้ว แต่กลับหาคนที่จะมาใช้ไม่ได้
ในหลายสิบปีมานี้ เขต 51 ได้พยายามปลดปล่อยศักยภาพที่แฝงอยู่ในร่างกายของมนุษย์ออกมาโดยใช้สารพัดวิธีการ เพื่อที่จะ ‘ผลิต’ ซูเปอร์นักรบผู้สามารถร่วมรบกับอาวุธชนิดนี้ออกมาให้ได้สักคนหนึ่ง แต่ก็เห็นได้ชัดว่า พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จเลย
หลังจากฟังแจ็คสันรายงานจบ แคลเรนซ์เงียบขรึมไปนาน แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “คำนวณจากพลังที่คนผู้นั้นใช้โยนวัตถุในระยะไกลแล้ว ผมว่า…เราคงต้องสานสัมพันธไมตรีกับคนจีนไว้บ้างแล้วละ!”
แม้ว่าในสังคมยุคปัจจุบันนี้ ความสามารถในการสู้รบของบุคคลเดี่ยวจะไม่ได้เป็นดัชนีสำคัญในการตัดสินผลแพ้ชนะของสงครามแล้ว แต่กลยุทธ์ต่างๆ อย่างการส่งทหารในกองกำลังพิเศษไปสอดแนมหรือลอบสังหารนั้น นับวันกลับยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าผู้ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ในวิดีโอนั้นเป็นผู้ที่ทำงานให้ทางรัฐบาลจีนจริงๆ ผู้นำของนานาประเทศทั่วโลกก็คงจะเป็นอันกินไม่ได้นอนไม่หลับกันหมดแน่
หัวรบนิวเคลียร์อาจบดขยี้ประเทศหนึ่งๆ ได้ก็จริงอยู่ แต่เมื่อมีคนเช่นนี้ ก็สามารถที่จะทำลายศูนย์กลางการปกครองของประเทศหนึ่งๆ โดยใช้วิธีลอบสังหารบุคคลสำคัญได้เช่นกัน วิธีการนี้ไม่ได้มีอานุภาพด้อยไปกว่าการใช้อาวุธนิวเคลียร์เลย
ดังนั้นจึงไม่ได้มีเพียงสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ประเทศอื่นๆ ที่ได้เห็นวิดีโอที่มีภาพของคนผู้นั้นผ่านทางดาวเทียมทหารของประเทศตน ต่างก็เกิดความหวาดหวั่นต่อประเทศจีนขึ้นมาโดยมิได้นัดหมาย ประเทศทางตะวันออกอันลึกลับแห่งนั้น จะมีความลับที่พวกเขาไม่ยังรู้อีกมากมายขนาดไหนกัน?
ที่ไซบีเรีย กินเนสส์เดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดีเป็นล้นพ้น เพราะเขาได้รับอนุญาตจากประธานาธิบดีในการใช้ขีปนาวุธ Kh-555 แล้ว
“นายพลวิคเตอร์ คนผู้นั้นยังไม่ออกมาข้างนอกสินะ?”
เมื่อกลับมาที่กองบัญชาการ บรรยากาศในห้องนั้นยังคงอึมครึม ไม่ว่ามนุษย์ผู้ใด ในยามที่ต้องเผชิญกับสิ่งที่อยู่เหนือขอบเขตความเข้าใจของตน ก็มักจะเกิดความกลัวในสิ่งที่ตนไม่รู้จักขึ้นมาเสมอ
วิคเตอร์ส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ยังครับ พอมันเข้าไปแล้วก็ไม่ออกมาอีกเลย ผู้การพอจะมีวิธีการอะไรดีๆ ไหมครับ?”
“ท่านประธานาธิบดีมีคำสั่ง ให้ใช้ขีปนาวุธ Kh-555 ได้เลย!”
กินเนสส์พยักหน้าเบาๆ แล้วเดินไปอยู่ข้างโทรศัพท์สีแดงเครื่องหนึ่ง เขายกหูโทรศัพท์ขึ้นมาต่อหน้าทุกคน ขานตัวเลขออกมาชุดหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวว่า “ท่านประธานาธิบดีมีคำสั่งว่า ให้นับเวลาถอยหลังสามนาที แล้วยิงขีปนาวุธ Kh-555 ไปที่พิกัดเป้าหมายหนึ่งลูก!”
เมื่อกินเนสส์ประกาศคำสั่งลงไป ณ เชิงเขารกร้างที่ดูไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งทางมุมตะวันตกเฉียงเหนือของไซบีเรีย หินผาขนาดมหึมาก้อนหนึ่งเลื่อนไถลออกมาช้าๆ เปิดเผยให้เป็นปากถ้ำอันมืดทะมึนแห่งหนึ่ง
รางคู่ขนานรางหนึ่งยื่นออกมาจากปากถ้ำ บนรางเหล็กนั้นติดตั้งเครื่องยิงขีปนาวุธไว้เครื่องหนึ่ง และขีปนาวุธหน้าตาคล้ายจรวดที่อยู่บนเครื่องยิงขีปนาวุธนั้น ก็กำลังเปล่งประกายอันเย็นเยียบน่าพรั่นพรึงออกมาภายใต้แสงอาทิตย์