หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 796 หกเหยาทำนาย
จากเคปทาวน์ถึงโจฮันเนสเบิร์ก เป็นระยะทางทั้งหมด หนึ่งพันสามร้อยกว่ากิโลเมตร โชคดีที่เมื่อในอดีตชาวอังกฤษลงทุนเป็นเงินจำนวนมหาศาลต่อการคมนาคม บวกกับแอฟริกาพื้นที่กว้างใหญ่ผู้คนเบาบาง หลังจากหยุดพักระหว่างทางชมเหมืองทองอีกสองแห่งแล้ว ก็มาถึงเมืองโจฮันเนสเบิร์กในเวลาย่ำค่ำของวันต่อมา
“พี่จ้าว มาเมืองโจฮันเนสเบิร์กเป็นครั้งแรกหรือเปล่าครับ?”
หลังจากเห็นท่าทีของอู๋เต๋อหลินที่มีต่อเยี่ยเทียน หวาจวินเองก็สัมผัสถึงด้านที่ไม่เหมือนคนทั่วไปของเยี่ยเทียนด้วยเช่นกัน สองวันมานี้จึงมีท่าทีกระตือรือร้นต่อเยี่ยเทียนอย่างมาก ที่เคยเรียกว่าคุณเจ้าก็กลายมาเป็นพี่เจ้า แต่คนขับรถยังคงพูดจาไม่กี่คำตลอดเส้นทางเหมือนเดิม
เยี่ยเทียนมองบรรยากาศข้างนอกหน้าต่าง พยักหน้าแล้วตอบว่า “ใช่แล้วครับ ผมพึ่งเคยมาแอฟริกาเป็นครั้งแรก”
“งั้นพรุ่งนี้ผมจะพาพี่จ้าวเดินเล่นรอบๆ เมืองเอง เมืองโจฮันเนสเบิร์กมีจุดน่าดูหลายแห่งทีเดียว!”
หลังจากรถยนต์ขับเข้าสู่เส้นทางจราจรภายในเมืองแล้ว หวาจวินก็ชี้ให้ดูอาคารตึกสูงจำนวนมหาศาลสองข้างทาง กล่าวว่า “เมืองโจฮันเนสเบิร์กเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกาใต้ครับ และเป็นใจกลางแหล่งผลิตทองคําที่ใหญ่ที่สุดของโลก จนได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งทองคำ เมื่อเทียบกับที่นี่แล้วเมืองเคปทาวน์ก็นับว่าเป็นแค่เมืองชนบทเท่านั้น
คำพูดของหวาจวินแม้ว่าจะเกินเลยไปหน่อย แต่ที่ปรากฏตรงหน้าเยี่ยเทียน ก็เป็นภาพลักษณ์ของเมืองใหญ่ระดับนานาชาติอย่างแท้จริง ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำ ดวงไฟในเมืองส่องสว่าง หลอดไฟนีออนฉายแสงรูปทรงประหลาดอยู่บนโครงสร้างอาคาร ยิ่งเพิ่มบรรยากาศเมืองใหญ่ในยุคปัจจุบัน
“อืม ไม่เลวทีเดียว สถานที่แห่งนี้รุ่งเรืองมาก พอๆ กับนิวยอร์คเลย”
มองไปยังเมืองซึ่งยังอ่อนวัยอีกทั้งเต็มไปด้วยชีวิตชีวาแห่งนี้ เยี่ยเทียนก็พยักหน้า เขารู้ว่าตลาดหุ้นโจฮันเนสเบิร์ก ซึ่งเป็นตลาดการลงทุนระดับหนึ่งในสิบของโลกอยู่ที่เมืองแห่งนี้ ที่นี่จึงเป็นเมืองที่เศรษฐกิจรุ่งเรืองที่สุดในแอฟริกา
แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนประหลาดใจเล็กน้อยก็คือ ตามถนนหนทางที่แสงไฟส่องสว่างของเมืองนี้ กลับมีคนน้อยนิดอย่างมาก กระทั่งรถยนต์ยังมีน้อยเหลือเกิน บนถนนเส้นใหญ่ยังมีรถขับมาเพียงแค่สามถึงห้าคันเท่านั้นเอง
“เมืองประหลาด” เยี่ยเทียนส่ายหน้า แต่ไม่ถามไปทางหวาจวิน เมืองที่อยู่ต่างประเทศบางแห่งก็เป็นเช่นนี้ ทุกครั้งที่ตกกลางคืนจะกลับกลายเป็นเหงาหงอย ราวกลับคนทั้งเมืองหายตัวไปอย่างฉับพลัน
“พี่จ้าว พวกเราพักกันก่อน แล้วพรุ่งนี้ผมจะพาพี่ชมเหมืองร้างที่ใหญ่ที่สุดของโจฮันเนสเบิร์กนะครับ อยู่ที่นั่นแล้วพี่จะเข้าใจประวัติศาสตร์เหมืองทองทั้งหมดของแอฟริกาเลย!”
หวาจวินลงจากรถอย่างคล่องแคล่ว หลังจากก้าวไปยังหน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับของโรงแรมแล้ว ก็หยิบบัตรใบหนึ่งเดินมานั่งข้างเยี่ยเทียนที่โซฟาสำหรับต้อนรับลูกค้า บอกว่า “พี่จ้าวครับ ขั้นตอนการเข้าพักจัดการให้พี่เรียบร้อยแล้ว ผมกับพี่หลิวไม่รบกวนการพักผ่อนของพี่ล่ะ พรุ่งนี้จะมารับพี่แต่เช้าครับ!”
เนื่องจากผู้สนับสนุนเงินทุนโดยไม่ประสงค์ออกนามคนนั้น ออกเงินค่าท่องเที่ยวให้เยี่ยเทียนในครั้งนี้ เยี่ยเทียนจึงได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี โรงแรมแห่งนี้เป็นโรงแรมห้าดาวราคาแพงที่สุดในโจฮันเนสเบิร์ก มีแต่เยี่ยเทียนเข้าพักได้เท่านั้น ส่วนหวาจวินและพี่หลิวผู้มีฐานะไกด์นำเที่ยวและคนขับรถ จึงสามารถเข้าพักได้เพียงโรงแรมทั่วไปที่อยู่ไม่ไกลเท่านั้นเอง
“ตกลงครับ งั้นเราเจอกันพรุ่งนี้” เยี่ยเทียนคว้าเป้สะพายหลังขึ้นมา วันนี้เขาใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ รู้สึกเหมือนจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา กำลังคิดจะกลับไปทำนายที่ห้องอยู่พอดี
“เอ้อ พี่จ้าว มีเรื่องบางอย่างอยากจะบอกพี่ครับ”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังจะเดินไป หวาจวินก็รีบร้องเรียกเขา บอกว่า “พี่จ้าว โรงแรมแห่งนี้พื้นที่กว้างขวาง เมื่อครู่ตอนที่พวกเราเข้ามา สิ่งอำนวยความสะดวกสองข้างทางล้วนเป็นของโรงแรมทั้งหมด มีทั้งคาสิโนและไนท์คลับ อยู่ที่นี่พี่จะเล่นอะไรก็ได้ทั้งนั้นครับ”
“ผมรู้แล้วล่ะ ทำไมเหรอ?” เยี่ยเทียนมองหวาจวินด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อย เรื่องพวกนี้จำเป็นต้องย้ำกับเขาซ้ำๆ ด้วยหรือไง?
หวาจวินส่ายหน้า ตอบว่า “พี่จ้าว ความหมายของผมก็คือ ตอนกลางคืนถ้าพี่อยากเที่ยว เที่ยวภายในขอบเขตของโรงแรมก็ได้ แต่อย่าออกไปข้างนอกเชียว”
“ทำไมล่ะ ความปลอดภัยของที่นี่แย่กว่าในเคปทาวน์อีกเหรอ?”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว เขาเคยเห็นผ่านกระจกจากห้องโรงแรมด้วยตาตัวเอง ว่าด้านล่างเกิดเหตุใช้ปืนก่อคดีปล้นชิงที่กระทำโดยเด็กหนุ่มผิวดำสองคน ไม่มีใครในพื้นที่รอบข้างไปหยุดเขา กระทั่งผู้หญิงคนนั้นที่ถูกปล้นก็ยังส่งกระเป๋าเงินของตัวเองให้โดยดี ทุกคนดูราวกับเคยชินจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว นั่นทำให้เยี่ยเทียนตกตะลึงพูดไม่ออก และนับว่าเข้าใจสภาพสังคมอันวุ่นวายของแอฟริกาใต้ขึ้นมา
“จะไม่แย่กว่าเคปทาวน์ได้ยังไงล่ะครับ? พี่จ้าว เมื่อครู่ตอนขึ้นรถ พี่ก็ถามนี่นาว่าทำไมไม่เห็นคนเดินถนนเลย?”
ใบหน้าหวาจวินมีรอยยิ้มเจื่อน พูดอย่างจนใจว่า “นั่นเป็นเพราะเมืองนี้มีสถิติคดีอาชญากรรมสูงมาก ไม่มีใครกล้าออกจากบ้านตอนกลางคืนหรอกครับ ขนาดตำรวจยังถูกคนดักปล้นเลย…”
“แย่ขนาดนั้นเชียว?” ได้ยินคำอธิบายของหวาจวินแล้ว ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็มีสีหน้าตกตะลึง เมืองแห่งทองคำอะไรกันเล่า เรียกว่าเมืองแห่งอาชญากรรมยังเข้าท่าเสียกว่า
เยี่ยเทียนคาดเดาไว้ไม่ผิด ภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้าจนตาพร่าในทิศใต้ของแอฟริกา ภายใต้ภาพลักษณ์อันเจริญรุ่งเรือง สิ่งที่โด่งดังพอๆ กับเมืองแห่งนี้ ก็คือสถิติอาชญากรรมสูงลิ่ว จนสามารถเทียบระดับสูงสุดในโลกได้เช่นเดียวกัน
เนื่องจากสถิติว่างงานในแอฟริกาใต้สูงถึง 40% คนส่วนใหญ่ในกลุ่มคนว่างงานเป็นคนดำที่ขาดแคลนทักษะ และการศึกษาต่ำ การปล้นชิงจึงเป็นหนทางหาเงินที่ได้มาอย่างรวดเร็วที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย การแพร่หลายของอาวุธปืนจึงยิ่งทำให้เหตุการณ์นี้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ความปลอดภัยที่ย่ำแย่ลงทำให้พบเห็นการจี้ปล้นได้บ่อยครั้ง อีกทั้งยังบ่มบรรยากาศความขัดแย้งทางเชื้อชาติ ทำให้คนชนชั้นระดับกลางและสูงหรือบริษัทตัวแทนการลงทุนขนาดใหญ่ในแอฟริกาจำเป็นต้องอพยพไปสู่ชายแดนทางเหนือ และระบบต่างๆ ของเมืองก็ย้ายไปทางเหนือไม่หยุด
นอกเหนือไปจากนี้ เงินทุนต่างชาติที่เกรงกลัวความเสี่ยงเองก็ย้ายตามไปข้างนอกด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ร้านอาหารในเขตเมืองและไนท์คลับทั้งหลายต่างปิดกิจการตามๆ กันไป ทำให้เมืองแห่งทองคำที่แสนวุ่นวายจอแจแห่งนี้ กลายเป็นเมืองที่ถูกทิ้งร้างในเวลากลางคืน เฉกเช่นบรรยากาศเหงาหงอยที่เยี่ยเทียนเห็นก่อนหน้านี้
“ได้ครับ ผมเข้าใจแล้ว ตอนพวกคุณกลับไปก็ระวังตัวด้วยล่ะ”
สำหรับเรื่องความไม่สงบในแอฟริกาใต้นั้น เยี่ยเทียนกลับไม่นึกสนใจ เขาแค่ไม่ชื่นชอบเที่ยวคลับพวกนั้นเท่าไหร่ หากมีเวลาขนาดนั้นสู้นั่งสมาธิอยู่ในห้องหยั่งรู้ลิขิตฟ้าดีกว่า
นับตั้งแต่เข้ามาในขอบเขตเซียนเทียน เยี่ยเทียนก็มีความรู้สึกว่าการดูดซับปราณวิเศษมีความสำคัญโดยแท้จริง แต่การฝึกฝนขอบเขตจิตใจก็จำเป็นไม่น้อยไปกว่ากัน ทั้งสองอย่างต้องเติมเต็มซึ่่งกันและกันโดยขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้
“พี่จ้าว วางใจเถอะครับ ผมมีเจ้านี่มาด้วย”
หวาจวินยิ้มตบหน้าอก แล้วร่องรอยของปืนพกก็เผยออกมาให้เห็น แต่เขากลับไม่รู้ตัวเลยว่า ตั้งแต่ตอนที่เจอเขาครั้งแรก เยี่ยเทียนก็มองเห็นว่าเขาพกอาวุธมาแต่แรกแล้ว
หลังจากร่ำลาหวาจวิน เยี่ยเทียนก็มายังห้องที่อยู่บนชั้นแปดของโรงแรม เมื่อกดปุ่มห้ามรบกวนแล้ว เขาก็พุ่งตัวเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ พออยู่กับพวกหวาจวินแล้ว เยี่ยเทียนปิดรูขุมขนขับเคลื่อนลมหายใจภายในร่างกายโดยไม่ตั้งใจ ดังนั้นการเดินทางสองวันนี้จึงทำให้ตัวเขาส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยวไปหมด
“เก็บกดมาหลายวัน ในที่สุดก็จะได้ลงมือเสียทีสินะ?”
หลังอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนก็เปลี่ยนใส่เสื้อผ้าสะอาด นั่งลงตรงโต๊ะน้ำชาของห้อง ปิดตารวบรวมสมาธิ คนโบราณก่อนที่จะเริ่มทำนายดวงชะตา มักจะชำระล้างร่างกายให้สะอาดเสมอ โดยอ้างว่าเป็นการเทิดทูนฟ้าดิน แต่ความจริงแล้วกลับแค่เป็นการปรับสภาพจิตใจตนเองเท่านั้น
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนจึงหยิบเหรียญทองแดงสามเหรียญรวมถึงเหรียญต้าฉีทงเป่าออกมา แม้ว่าวรยุทธ์ของเยี่ยเทียนจะพัฒนาขึ้นแล้ว แต่จนปัจจุบันเขาก็ยังไม่สามารถหาเครื่องรางพยากรณ์ได้ดีไปกว่าต้าฉีทงเป่าเลย
ระหว่างทางเมื่อสองวันก่อน เยี่ยเทียนก็ได้ลองเสี่ยงทายดู เพียงแต่คำทำนายที่ได้กลับไม่ชัดเจนนัก เวลาที่อยู่กับหวาจวินยิ่งไม่สามารถหยิบเหรียญทองแดงออกมาทำนายได้ เพราะเหตุนั้นจนถึงตอนนี้เยี่ยเทียนจึงจะมีเวลาทำนายให้ตนเองอย่างแท้จริง
ถูเหรียญทองแดงในมือเล็กน้อย แล้วเยี่ยเทียนก็โยนมันลงบนโต๊ะ จากนั้นก็โยนเหรียญทองแดงลงอีกครั้ง คราวนี้ทำซ้ำหกครั้ง เพราะใช้ศาสตร์โจวอี้ทำหกเหยาทำนาย คำทำนายในทุกครั้งล้วนถูกเขาบันทึกในใจอย่างมั่นคง
“กลับกลายสองเหยาหรือ? ให้ตายสิ พวกมันเตรียมวิธีการอะไรไว้กันแน่ ถึงได้สถานการณ์แบบนี้?”
หลังจากเยี่ยเทียนเสี่ยงทายแล้ว ใบหน้าก็มีสีหน้าตกตะลึง ปกติการทำนายจะใช้การเปลี่ยนแปลงของเหยาบนเป็นหลัก โดยปกติก็คือจะมีโชคดีหรือโชคร้ายพอๆ กัน
แต่ที่เยี่ยเทียนทำนายออกมาได้ครั้งนี้ บนและล่างทั้งสองเหยาล้วนทำนายว่าแย่ โดยเฉพาะเหยาบนเป็นอี๋กว้า(ซานเหลยอี๋) ไขอักษรหกเหยาทั้งสองครั้งแสดงให้เห็นว่าอนาคตอันใกล้จะมีเหตุรุนแรง ถูกผิดแยกกัน ผู้พลั้งพลาดประสบเคราะห์กรรมถึงตายได้
เยี่ยเทียนทำสัญลักษณ์มือข้างหนึ่ง ไขว้นิ้วท่องคาถาสองสามคำ มีคำทำนายก็ย่อมแก้ไขได้ เยี่ยเทียนจึงทำนายให้ลึกลงไปอีก พลันก็ตกตะลึงขึ้นมา เอ่ยปากพึมพำว่า “สูญสิ้นเมื่อพบทอง? เข้าใจแล้วล่ะ บังอาจคิดใช้เล่ห์กลที่นั่นเชียว?”
สองวันที่ผ่านมานี้ เยี่ยเทียนได้ลงไปเหมืองทองสามแห่ง ทุกเหมืองทองล้วนลงไปใต้ดินถึงร้อยกว่าเมตร ในบรรยากาศแบบนั้น ต่อให้เป็นเยี่ยเทียนก็ยังรู้สึกอึดอัดไม่เป็นสุข นั่นเพราะหากเกิดเหตุเหมืองถล่มหรือภัยพิบัติขึ้นมา ต่อให้เป็นเทวดาก็เอาตัวไม่รอด
อีกทั้งหากเกิดภัยพิบัติที่ไม่อาจคาดเดาได้ในเหมืองทองร้างเหล่านั้น ก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้ยาก เพียงแค่ติดตั้งสารระเบิดบางอย่างก็สามารถฝังตัวเยี่ยเทียนเอาไว้ใต้ดินแล้ว และในดินแดนอย่างแอฟริกาใต้นี้ คงไม่มีใครขุดค้นหาสาเหตุภัยพิบัติในเหมืองหรอก
“บัดซบเอ๊ย ถ้าหากวันนี้ไม่ทำนายดวง มีหวังได้ทรมานแสนสาหัสแน่นอน!”
หน้าผากของเยี่ยเทียนผุดเหงื่อฉาบบางหนึ่งชั้น นักพยากรณ์ใช่ว่าจะทำได้ทุกสิ่งอย่าง พอเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับตัวเอง ก็มักจะถูกลิขิตฟ้าบังตาเอาไว้ ขนาดที่ต่อให้เยี่ยเทียนสามารถคาดเดาจากลางสังหรณ์ล่วงหน้าได้ แต่หากร่างกายอยู่ลึกใต้ดินเกรงว่าเขาเองก็คงไม่มีปัญญาทะยานกลับสู่ฟ้า
“อยากให้ฉันตาย ก็ต้องมาดูกันว่ามีปัญญาพอไหม!” เยี่ยเทียนหัวเราะเยือกเย็นออกมา ลดพลังลมปราณจากทั่วร่างลง ถึงแม้ตอนนี้วรยุทธ์ของเขาจะพัฒนาขึ้นทุกวัน แต่เยี่ยเทียนก็ยังคงให้ความเคารพ ไม่กล้าบังอาจทำนายดวงชะตาตนเองโดยไม่เกรงกลัวฟ้าดิน
“หืม? ใครโทรศัพท์มาหาเราตอนนี้?”
หลังจากที่เยี่ยเทียนลดพลังลมปราณที่แผ่ไปทั่วร่างกลับมานั้น โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเป้ก็ดังขึ้นทันที ซึ่งเป็นหมายเลขที่เขาใช้ชั่วคราวในแอฟริกาใต้ มีเพียงพวกมาลาไกย์และไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้
………………………………………………