หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 808 พังทลาย
เสียง “ตูม!” ดังกระหึ่ม ประตูชุบเหล็กหนาของเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กถูกทำลายเป็นรูใหญ่ บานประตูใหญ่นั้นส่ายโงนเงนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็พังครืนลงไป
“ฆ่ามัน ฆ่าคนในนั้นให้หมด!”
ทหารเด็กรูปร่างเตี้ยเล็กแต่ละคนพากันร้องตะโกนขึ้นมา พลางถือปืนบุกเข้าไปข้างในอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ พวกเขากำลังจมจ่อมอยู่กับความตื่นเต้นเร้าใจที่ได้เข่นฆ่าและฉกชิง กระทั่งยังไม่ได้สังเกตเลยว่า ผู้บัญชาการของพวกตนนั้นได้สิ้นใจไปยมโลกแล้ว
แม้แต่นายทหารผู้ช่วยของอึนบันเกอดาก็ยังมองไปที่ประตูเหมืองทองด้วยสีหน้าละโมบ ในความคิดของพวกเขา ข้างในเหมืองทองจะต้องมีทองคำอยู่อย่างมากมายก่ายกองแน่นอน และเป็นความร่ำรวยมหาศาลชนิดที่ใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมดสิ้น
“แบบนี้…ก็เรียกว่ากองทัพได้ด้วยรึ?”
หลังจากที่เยี่ยเทียนบีบลูกกระเดือกของอึนบันเกอดาจนแหลกไปแล้ว เขาก็ปล่อยมีดบินออกมาทันที ตามที่เขาคิดไว้ พวกทหารที่ล้อมรอบเขาอยู่นี้จะต้องเข้ามาสู้ตายกับเขาแน่นอน แต่ใครเลยจะรู้ว่า เมื่อประตูเหมืองทองถูกพังลงไปแล้ว กลับไม่มีใครสนใจแม้แต่จะเหลือบมองมาทางเขาเลยสักคน
“ลุยเลย! บุกเข้าไป!”
ใครเป็นคนตะโกนขึ้นมาเช่นนั้นก็สุดจะรู้ได้ พวกทหารเด็กที่ทนรอไม่ไหวมานานแล้วเปล่งเสียงร้องแปลกๆ ออกมาพลางบุกเข้าไปในเหมืองทอง กระทั่งแม้แต่พวกครูฝึกทหารซึ่งมีหน้าที่ควบคุมทหารเด็กเหล่านี้ ก็ยังพากันวิ่งแข่งยื้อแย่งตำแหน่งหน้าสุด เพราะกลัวว่าหากช้าไปเพียงก้าวเดียว ทองคำในนั้นอาจจะถูกคนอื่นชิงไปจนหมด
เพียงชั่วพริบตา บริเวณที่เยี่ยเทียนยืนอยู่ก็กลับเหลือแต่เขาเพียงคนเดียวโดดเดี่ยวเดียวดาย แทบเท้าของเยี่ยเทียนนั้น ยังมีร่างของอึนบันเกอดาที่สิ้นลมไปนานแล้ว ทว่าดวงตากลับเบิกโพลงอย่างคนตายตาไม่หลับกองอยู่
“กะอีแค่นกกาฝูงนึงก็คิดจะมาฆ่าฉันงั้นเรอะ?”
ยามนั้นเยี่ยเทียนทำหน้าเหมือนไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี ซ่งเสี่ยวหลงนี่จะดูถูกเขาเกินไปแล้ว คนพวกนี้ถ้าใช้ให้ไปฆ่าคนวางเพลิงก็คงจะเหมาะอยู่ แต่ถ้าจะให้มาจัดการกับเขาละก็ ถือว่ายังอ่อนหัดนัก
“ปังๆ!”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังนิ่งอึ้งอยู่ ภายในเหมืองก็มีเสียงปืนดังขึ้นมาอย่างฉับพลัน อาศัยเพียงปืนเจ็ดแปดกระบอกของยามคุมเหมือง ย่อมไม่อาจต้านทานทหารเด็กที่ฆ่าคนเหมือนบี้มดเหล่านี้ได้อยู่แล้ว เพียงชั่วครู่เดียว ทหารเด็กหลายร้อยคนก็กรูกันเข้าประตูเหมืองทองไป
“อย่างนี้มันโจรฝูงหนึ่งชัดๆ!”
เมื่อเห็นทหารเด็กเหล่านี้เข่นฆ่าทุกคนที่ขวางหน้า เยี่ยเทียนก็อดส่ายหน้าไม่ได้ แล้วตั้งจิต มีดบินที่โคจรอยู่รอบกายเขาพุ่งออกไปปานสายฟ้าแลบ ตามไปล้อมกลุ่มทหารเด็กที่รั้งอยู่ท้ายสุดเอาไว้
“อ๊าก…”
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาจากท้ายหมู่ แต่เสียงเหล่านี้ดังสั้นกระชั้นอย่างยิ่ง เพราะภายใต้คมมีดบินของเยี่ยเทียนนั้น ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของพวกทหารหรืออาวุธที่ถืออยู่ในมือ ก็ล้วนถูกฟันขาดเป็นสองท่อน ในชั่วพริบตาศพหลายสิบร่างก็กองอยู่เต็มหน้าประตูเหมือง
พวกทหารเด็กที่กำลังคลั่งอยากได้ทองคำจนตาแดงก่ำเหล่านั้น ถึงกับไม่มีใครสังเกตเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างหลังเลยสักคน ในสายตาของพวกเขามีเพียงบรรดานักท่องเที่ยวและเจ้าหน้าที่ในเหมืองทองซึ่งกำลังหนีเตลิดไปคนละทิศทางเท่านั้น และเสียงปืนยังกลบเสียงกรีดร้องของเพื่อนทหารไปจนหมดอีกด้วย
“ไอ้พวกนี้นี่มันบ้าบิ่นจริงๆ!”
เมื่อเห็นพวกทหารเด็กซึ่งปราศจากคนควบคุมเหล่านั้นรื้อค้นของมีค่าบนร่างของนักท่องเที่ยวที่ตายไปแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่รู้จะว่าจะทำยังไงดีแล้วจริงๆ จึงตั้งจิตสั่งให้มีดบินแปลงสภาพเป็นประกายสีแดง บุกสังหารเข้าไปท่ามกลางฝูงทหารที่กำลังกราดยิงสุ่มๆ ไปทั่ว
มีดบินซึ่งตีขึ้นจากทองคำแท้ และยังเพิ่มทองสีน้ำเงินเข้าไปอีกนั้น แทบจะเรียกได้ว่าสามารถทำลายได้ทุกสิ่ง ไม่ว่ามีดบินผ่านไปที่ใด ก็จะเกิดลมคละคลุ้งและฝนเลือด แขนขาขาดกระเด็นไปทุกทิศทาง ภาพนี้ยังยิ่งกว่าตอนที่พวกทหารเด็กก่อการสังหารหมู่ไปเมื่อครู่เสียอีก เลือดปริมาณมหาศาลเมื่ออยู่ภายใต้แสงแดดอันแผดเผาจึงระเหยไปอย่างรวดเร็ว ในเหมืองทั้งเหมืองคล้ายจะมีกลิ่นคาวเลือดเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว
“อ้าว ท…ทำไมตายกันหมดเลยล่ะ?”
ในที่สุดก็มีคนสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลได้เสียที แต่ทว่าพวกเขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาโต้ตอบ มีดบินของเยี่ยเทียนก็คร่าชีวิตของพวกเขาไปแล้ว ยังมีทหารอีกจำนวนมากที่บุกเข้าไปถึงส่วนลึกในเหมืองทองแล้ว เยี่ยเทียนตามหลังไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว ร่างที่มีชีวิตแต่ละร่างกลายเป็นศพไปในชั่วพริบตา
เยี่ยเทียนไม่ได้มีความคิดที่จะเป็นผู้ไถ่บาปช่วยเหลือมวลมนุษย์ เขาเพียงแต่พยายามลดการเข่นฆ่าของทหารเด็กเหล่านั้นให้น้อยลงเท่าที่จะทำได้เท่านั้น แม้กระนั้นก็ยังคงมีนักท่องเที่ยวที่เข้าไปในเขตทำเหมืองแล้วถูกสังหารไปเป็นจำนวนมากอยู่ดี ระหว่างทางจึงเห็นศพของพวกนักท่องเที่ยวกระจัดกระจายไปทั่ว
“ให้ตายเถอะ ยังเด็กอยู่เลยทำไมมันรู้จักทำเรื่องแบบนี้แล้ววะ?”
เมื่อเยี่ยเทียนตามไปจนถึงหน้าทางเข้าหลุมเหมืองแล้ว เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่า ทหารเด็กสี่ห้าคนกำลังฉีกกระชากเสื้อผ้าของหญิงคนหนึ่ง เพราะอากาศร้อนจึงมักจะนุ่งเสื้อผ้าน้อยชิ้นกันอยู่แล้ว หญิงคนนั้นจึงถูกเปลื้องผ้าจนเปลือยล่อนจ้อนอย่างรวดเร็ว ได้แต่ใช้สองมือปิดป้องหน้าอกไว้อย่างไร้กำลังต้านทาน
“ไปตายกันให้หมด!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า แสงสีแดงสว่างวาบ มีดบินวนรอบทหารเด็กกลุ่มนั้นรอบหนึ่งอย่างเงียบเชียบ แล้วเลือดก็พุ่งกระฉูดจากต้นคอของทั้งสี่ห้าคนนั้น ดันศีรษะลอยกระเด็นขึ้นไปสูงลิ่วทันที เลือดที่สาดกระเซ็นแทบจะย้อมร่างของหญิงคนนั้นจนแดงฉานไปทั้งร่าง
“ฮือ…โฮ!” การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ ทำให้หญิงคนนั้นเริ่มร้องห่มร้องไห้ขึ้นมาอย่างฟูมฟาย กลิ่นเลือดอันเหม็นคาวทำให้สภาพจิตของเธอแทบจะพังทลายไป
“อ้าว? ทำไมเป็นคุณล่ะ?” หลังจากเยี่ยเทียนเห็นหน้าตาของหญิงคนนั้นอย่างชัดเจนแล้วก็อึ้งไปครู่หนึ่ง เพราะผู้หญิงที่เกือบจะถูกพวกทหารเด็กขืนใจไปคนนี้ กลับกลายเป็นมัคคุเทศก์ที่ชื่ออวี๋ลี่ลี่คนนั้นนั่นเอง
“ห้องสังเกตการณ์อยู่ตรงไหน?” เยี่ยเทียนยื่นมือไปดีดใส่ศีรษะด้านหลังของอวี๋ลี่ลี่หนึ่งที จึงเรียกสติของเธอกลับมาได้บ้าง
แม้ว่าการขจัดความชั่วจะเป็นการทำความดี แต่เยี่ยเทียนไม่อยากถูกฝ่ายทางการแอฟริกาใต้เพ่งเล็งอีกแล้ว เบื้องหลังของรัฐบาลแอฟริกาใต้นั้นมีความสัมพันธ์อันซับซ้อนยุ่งเหยิงกับหลายประเทศอย่างอังกฤษและอเมริกาอยู่ ไม่แน่ว่าเขาอาจต้องตกเป็นเป้าหมายของผู้อื่นอีกก็เป็นได้
“คุณเป็นใคร สวรรค์ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
บนใบหน้าและในดวงตาของอวี๋ลี่ลี่เต็มไปด้วยเลือด เธอจึงเห็นไม่ชัดว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นใคร แต่ในน้ำเสียงนั้นฟังดูราวกับมีอำนาจบางอย่างที่ไม่อาจขัดขืนได้อยู่ อวี๋ลี่ลี่จึงตอบไปว่า “ห้องสังเกตการณ์อยู่ทางขวา ตรงที่เป็นที่อยู่ของยามเฝ้าเหมืองน่ะ!”
“โอเค คุณจะหลับสักตื่นก็ได้นะ พอตื่นมาแล้วก็จะพบว่านี่เป็นแค่ฝันร้ายเท่านั้น!”
เยี่ยเทียนยื่นมือขวาออกไปปัดผ่านจุดไท่หยาง (ขมับ) ของอวี๋ลี่ลี่ มือซ้ายกางออกไปกลางอากาศ ดึงธงผืนหนึ่งที่อยู่ตรงทางเข้าหลุมเหมืองมาห่อหุ้มร่างที่เปลือยเปล่าของอวี๋ลี่ลี่ไว้ จากนั้นจึงทุบกระจกป้อมยามเฝ้าประตูเหมืองแตก แล้ววางร่างของเธอไว้ใต้โต๊ะทำงานที่อยู่ในป้อมนั้น
หลังจากการล่าสังหารของเยี่ยเทียน ในที่สุดทหารเด็กเหล่านั้นก็ตระหนักว่า ทหารหลายร้อยคนที่เข้าเหมืองมานั้น กลับเหลืออยู่เพียงไม่กี่สิบคน และศพของเพื่อนทหารซึ่งบิดเบี้ยวเละเทะกระจายเต็มพื้น ก็ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงเข้าไปใหญ่
ภาษิตว่า แม่ทัพคือขวัญของกองทัพ สถานที่ซึ่งมีสภาพราวกับนรก รวมกับการสาบสูญของอึนบันเกอดา ทำให้พวกทหารเด็กที่ฆ่าคนได้เหมือนบี้มดนั้นต่างขวัญหนีดีฝ่อ พวกเขาไม่สนใจจะไล่ฆ่านักท่องเที่ยวอีกแล้ว แต่กลับพากันวิ่งหนีออกไปนอกเหมืองทองอย่างไม่คิดชีวิต
ภายในเหมืองนั้น มีนักท่องเที่ยวที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ทั่วทุกแห่ง เสียงกรีดร้องโหยหวนดังระงมไปทั่ว ที่ที่เคยเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ในยามนี้กลับดูคล้ายสมรภูมิรบมากกว่า เงาทะมึนของความตายปกคลุมไปทั่วทุกซอกมุมในเหมืองแห่งนั้น
“จะก่อกรรมทำเข็ญไปถึงไหนวะ ไอ้ซ่งเสี่ยวหลงนี่มันชั่วช้าสิ้นดี ไม่กลัวสวรรค์จะลงโทษเลยรึไง?”
เยี่ยเทียนไม่ได้ไปตามล่าสังหารพวกทหารเด็กที่ขวัญกระเจิงไปแล้วเหล่านั้นอีก แต่มาที่ห้องสังเกตการณ์ของเหมืองแทน พอเปิดประตูเข้าไป ก็ปะทะกับศพร่างหนึ่งที่กองอยู่บนพื้น เห็นได้ชัดว่า ที่นี่ก็ถูกคนพวกนั้นล้างบางไปแล้วเช่นกัน
หลังจากนำเทปวิดีโอออกมาจากเครื่องบันทึกที่ยังทำงานอยู่แล้ว เยี่ยเทียนก็กำมือขวา แสงเพลิงสว่างลอดออกมาระหว่างนิ้วมือ เผาเทปวิดีโอม้วนนั้นจนกลายเป็นเถ้าถ่านกองหนึ่งในพริบตา โศกนาฏกรรมที่เหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กและการเสียชีวิตของทหารเด็กเหล่านั้นจึงต้องกลายเป็นปริศนาไป
เยี่ยเทียนออกจากห้องสังเกตการณ์ แล้วกลับไปยังตำแหน่งที่ทหารรับจ้างเหล่านั้นซุ่มโจมตีเขา แม้เวลาจะผ่านไปเพียงสิบกว่านาที แต่อากาศอันร้อนระอุก็ทำให้อวัยวะภายในที่โผล่ออกมาภายนอกเริ่มส่งกลิ่นเหม็นเน่าชวนอาเจียนแล้ว
“ยายเด็กคนนี้ออกจะแปลกพิลึกอยู่ พาไปด้วยก่อนก็แล้วกัน”
สายตาของเยี่ยเทียนเหลือบมองไปที่ร่างของเจียงซานซึ่งอยู่ในมุมหนึ่ง เขารู้ว่า เด็กหญิงคนนี้ยังไม่เสียชีวิต เพียงแต่ถูกปราณแท้ของเขากระแทกจนหมดสติไป เมื่อยื่นมือไปหิ้วร่างของเธอขึ้นมาแล้ว เยี่ยเทียนก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
“กล้องวงจรปิด เครื่องดักฟัง ล้ำสมัยเสียเหลือเกินนะ!”
เยี่ยเทียนหยิบวัตถุสองอย่างมาจากกระดุมบนเสื้อผ้าของเจียงซาน แล้วมองไปที่กล้องตัวจิ๋วนั้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด“ซ่งเสี่ยวหลง ล้างคอเตรียมไว้ได้เลย เดี๋ยวฉันจะไปเยี่ยมแกเร็วๆ นี้แหละ!”
…
“เจอร์รี มัน…มันยังไม่ตายเลยนะ!”
ในหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตร เคลวินกำลังมองจอคอมพิวเตอร์ด้วยสีหน้าซีดเผือด ใบหน้าเจือรอยยิ้มจางๆ ของเยี่ยเทียนนั้น ยามนี้กลับดูน่าสะพรึงกลัวราวกับปีศาจ
“ผู้พันอึนบันเกอดา ผู้พัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่น่ะ?”
เหมียวจื่อหลงก็กำลังใช้วิทยุสื่อสารเรียกอึนบันเกอดาอยู่เช่นกัน แต่น่าเสียดาย อึนบันเกอดากลายเป็นศพไปตั้งนานแล้ว บริเวณหน้าทางเข้าเหมืองทองอันกว้างขวางนั้น มีเพียงเสียงของเหมียวจื่อหลงดังสะท้อนไปมา แต่กลับไม่มีการตอบรับใดๆ เลย
“คุณเหมียว ไม่ต้องเรียกแล้ว พวกนั้น…คงจะตายกันหมดแล้วละ!”
สีหน้าของเจอร์รีดูคร่ำเคร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในใจเริ่มรู้สึกไม่เข้าท่า ฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งกว่าที่เขาคาดไว้มากนัก แม้แต่มนุษย์หมาป่าแปลงร่างได้ที่เคยเจอไปเมื่อสองปีก่อน ก็ไม่น่าจะมีพลังทำลายล้างสูงถึงขนาดนี้
“ผู้การเจอร์รี จะทำยังไงดี? ม…มันต้องมาฆ่าพวกเราแน่ๆ เลย!”
เหมียวจื่อหลงแม้จะเป็นผู้ฝึกวิชายุทธ แต่การใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมานานได้ทำให้เขี้ยวเล็บของเขาหมดคมไปแล้ว เหมียวจื่อหลงไม่มีความกล้าและความมั่นใจที่จะไปเผชิญหน้ากับศัตรูตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้เขานึกอยากจะไปจากที่นี่เสียเดี๋ยวนั้น ไปจากบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างแอฟริกานี่ให้ไกลๆ เลย
“ถึงจะร้ายกาจแค่ไหน แต่มันก็ตัวคนเดียว ขอแค่เป็นคน…ยังไงมันก็ต้องตายอยู่ดี!”
เจอร์รีเหลือบมองเหมียวจื่อหลงอย่างเย็นชา ชักมือขวาออกมาจากกระเป๋าอย่างเชื่องช้า พอแบมือออก ก็ปรากฏรีโมทขนาดเท่ากุญแจรถยนต์วางอยู่บนฝ่ามือ
“เจอร์รี จำเป็นต้องทำแบบนี้จริงๆ หรือ? อย่างมากเราก็ถอนตัวออกจากแอฟริกา ถือว่าภารกิจครั้งนี้ล้มเหลวเสียก็ได้นี่!”
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นของบรูกแมนฉายความไม่เห็นด้วยออกมาเล็กน้อย เวลาอยู่ในสนามรบเขาก็นับว่าเป็นนักรบผู้แกร่งกร้าวคนหนึ่ง แต่กลับไม่เคยเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์มาก่อน เขารู้ว่า หากนิ้วของเจอร์รีกดปุ่มลงไป ผู้คนในเหมืองที่ยังไม่เสียชีวิตก็จะแหลกเป็นจุลไปกันหมด
ถ้าก้าวนี้ก้าวพลาดไปละก็ พวกเขากองกำลังแม่ม่ายดำก็จะไม่มีทางให้ย้อนกลับได้อีก และในวันหน้าก็คงจะต้องหนีตายไปจนถึงสุดขอบโลก
“ถ้ามันไม่ตาย พวกเราก็ตาย!”
เจอร์รีพูดต่ออย่างเย็นชา “คนประเภทนี้น่ะเป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้น ถ้าวันนี้กำจัดมันไม่ได้ พวกเราก็จะต้องตายด้วยน้ำมือมันนี่แหละ”
“เจอร์รี คุณตัดสินใจเถอะ!” บรูกแมนลูบแผลเป็นบนหน้า แล้วเงียบขรึมไป
……………………….