หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 820 สยองขวัญกลางอากาศ (4)
“ไอ้เหี้ย นี่มันฟ้าผ่าตายของจริงนิหว่า ?! ”
หลังจากดีดออกไปตัวก็ห่างออกจากเก้าอี้ แม้ไม่มีร่มชูชีพ ไม่มีเข็มขัดนิรภัยรัดไว้ แต่เยี่ยเทียนก็ไม่เป็นกังวลเท่าไหร่ แม้ความสูงระดับสามพันเมตรจะใช้ปราณแท้ช่วยบินไม่ได้ แต่เมื่อถึงระดับพันเมตรแล้ว เยี่ยเทียนก็จะควบคุมร่างกายได้ แล้วยังมีเวลาไปสำรวจสถานการณ์รอบๆ ตัวได้อีกด้วย
ตั้งแต่ดีดออกไปจนถึงตอนนี้ ทุกคนร่วงถึงระดับใต้เมฆแล้ว การชนกันของกลุ่มเมฆจนเกิดเป็นสายฟ้าแลบเป็นปรากฏการณ์ที่เยี่ยเทียนเห็นแล้วก็ยังรู้สึกกลัว แม้แต่ผู้ฝึกวิชาที่อยู่ระดับเซียนเทียนปลาย ถ้าโดนฟ้าผ่าก็คงหายวับไปกับตาเหมือนกัน
แต่โชคดีที่เครื่องบินใกล้จะบินออกจากเขตพายุ กลุ่มเมฆที่อยู่บนหัวของเยี่ยเทียนและคนอื่นๆก็ไม่หนาแน่นมาก ถึงแม้ที่ด้านหลังยังมีฟ้าผ่ากับฟ้าร้อง แต่มันก็ไม่ผ่าโดนใคร และเยี่ยเทียนมองเห็นทุกคนอย่างชัดเจนผ่านแสงไฟของฟ้าผ่า
คนขับเครื่องบินสองคนกับแอร์โฮสเตสอีกสามคนผ่านการฝึกอบรมอย่างมืออาชีพมาก่อน พวกเขาไม่รีบดึงร่มชูชีพทันที แต่ปล่อยให้ร่วงลงตามแรงโน้มถ่วง เพื่อให้อยู่ไกลจากเขตพายุให้ได้มากที่สุด เหลยหู่ก็ด้วยเช่นกัน เพราะว่าเขาคยมีประสบการณ์การกระโดดจากที่สูงมาก่อน
มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่รู้จะทำยังไง ก็คือเจียงซาน แม้ว่าหล่อนจะเป็นคนที่ใจกล้ามาก แต่ก็ตกใจอยู่ไม่น้อยกับพลังฟ้าอันน่ากลัวนี้ เธอไม่มีประสบการณ์ แต่เธอลืมดึงเชือกร่มชูชีพตรงหน้าอก
“ใจเย็นนะ นับถึง 20 แล้วดึงร่มชูชีพนะ! ”
เยี่ยเทียนส่งสติไปหาเจียงซาน ทันใดนั้นหญิงสาวก็ลืมตาที่ปิดอยู่และพยายามพยักหน้า หล่อนเริ่มนับในใจ ขณะเดียวกันมือขวาจับเชือกเส้นไว้แน่นหนา
“บึ้ม! ”
ตอนที่ทุกคนกำลังร่วงลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว เครื่องบินยังคงบินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่ทันบินออกจากระยะสายตาของเยี่ยเทียนกับคนอื่นๆ เสียงบึ้มดังขึ้นจนกลบเสียงฟ้าผ่าทั้งหมด เครื่องบินกลายเป็นลูกบอลไฟขนาดใหญ่อยู่กลางอากาศ
เศษเครื่องบินที่เกิดจากการระเบิดกระจายไปทั่วทุกสารทิศ เศษเหล็กบางชิ้นถึงกับบินเฉียดเยี่ยเทียนผ่านไป บางชิ้นเกือบจะทิ่มโดนตัวจนเหงื่อแตกไปหมด
“ระ…เบิดจริงด้วย? ”
กลุ่มแสงที่อยู่บนฟ้าอันมืดมัว สว่างจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ เมื่อเสียงระเบิดดังขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแอร์โฮสเตสหรือคนขับทั้งสองคน ต่างก็มองจุดที่มีแสงไฟส่องสว่างจนอ้าปากตาค้าง ถึงแม้จะอยู่กลางอากาศที่หนาวเย็น แต่พวกเขาก็ตกใจจนเหงื่อแตก
ถ้าเยี่ยเทียนไม่บังคับ ใครก็ตามที่อยู่ต่อบนเครื่องบินในเวลานี้ ก็คงตายเพราะระเบิดแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากปัญหาของเครื่องยนต์ที่ยังพอมีเวลาให้แก้ไข ด้วยความร้อนของไฟที่สูงมากจนทำให้อุณหภูมิพุ่งสูง เกรงว่าเหล็กกล้าอย่างดีก็ยังละลายได้เลย
แสงจ้าทำให้ฟ้าและดินสว่างขึ้นมาทันที คนที่อยู่กลางอากาศลืมตาขึ้นมาดูได้แปปเดียว น้ำตาก็ไหลเต็มหน้าเพราะลมกระโชกพัดใส่หน้า มีแค่เยี่ยเทียนที่มองไฟก้อนนั้นร่วงลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็วจนร่วงไปถึงมหาสมุทร
ความรุนแรงของพายุแผ่ขยายกว้างพอสมควร ในเวลาไร่เรี่ยกับเสียงระเบิด คนที่ถูกดีดออกจากเครื่องบิน ก็ถูกลมพัดไปคนละทิศคนละทาง โดยเฉพาะคนผอมที่สุดอย่างเจียงซาน ผ่านไปแปปเดียวก็หายไปแล้ว
เยี่ยเทียนเองก็เซไปเซมา แม้จะมีพลังวิชาระดับเซียนเทียนแล้วก็ตาม แต่ถ้าเผชิญกับพลังธรรมชาติที่เหนือกว่า เขาจะกลายเป็นสิ่งที่เล็กมาก ปราณแท้ที่ปล่อยออกมาด้วยการบีบคั้น จะไม่สามารถรวบรวมได้ และจะถูกลมกระโชกพัดจนกระจายทั้งหมด
“แม่ง ถ้าขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป จะไม่ตายทั้งเป็นเหรอ? ”
จู่ๆ เยี่ยเทียนก็พบว่าความเร็วการร่วงของเขาเร็วขึ้น ไม่ใช่แค่ลม ที่พัดปราณแท้จนกระจาย แค่การร่วงด้วยความเร็วแบบนี้ ก็ทำให้เขาไม่สามารถรวมปราณแท้ได้เหมือนกัน และถึงแม้จะร่วงมาถึงบริเวณที่ลมพัดไม่แรงมาก เกรงว่าเยี่ยเทียนก็ไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้
จนถึงตอนนี้ เยี่ยเทียนเพิ่งจะรู้สึกกระวนกระวาย ตอนนี้ห่างจากพื้นดินอีกแค่หนึ่งพันเมตรเท่านั้น แล้วก็มองเห็นชัดขึ้นกว่าเมื่อกี้ ตรงที่ห่างออกไปร้อยกว่าเมตร เขาเห็นร่มชูชีพแล้วหลายอันแบบลางๆ
“หืม เหลยหู่อยู่ด้านล่าง? ”
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะใช้ปราณแท้ไม่ได้ แต่ยังดีที่สติของเยี่ยเทียนไม่ได้รับผลกระทบจากลมแรง เมื่อเขาห่างจากพื้นดินอีกแปดเก้าร้อยเมตร เขาพบว่าข้างขวาล่างที่ห่างออกไปไม่กี่สิบมตร มีร่มชูชีพของเหลยหู่กำลังลอยอยู่
“ไม่โดดเดี่ยวแล้วโว้ย ! ”
ตอนก้มหัวลง เยี่ยเทียนดีใจมาก เขาพยายามเปลี่ยนทิศทางเพื่อให้ตัวลอยไปหาเหลยหู่ และตอนนี้เขาต้องการแรงผ่อนเพียงนิดเดียวเพื่อหยุดการร่วงลงล่าง ถ้าหากหยุดได้เขาก็จะใช้ปราณแท้ลดความอันตรายลงได้
“โอ้ย เกิดอะไรขึ้น? ”
เมื่อกี้เยี่ยเทียนอยู่ข้างบนของเหลยหู่ เหลยหู่จึงมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่บนหัว แต่ตอนที่เยี่ยเทียนดิ่งลงมาจนถึงข้างๆ เขาใช้มือขวาจับขาขวาของเหลยหู่เอาไว้ จนทำให้ร่างกายของเหลยหู่ดิ่งลงฮวบ แล้วร่มชูชีพก็เริ่มหมุนกลางอากาศ
“ไม่ต้องกลัว ผมจะปล่อยมือเดี๋ยวนี้แหละ! ” ตอนที่เหลยหู่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงของเยี่ยเทียนดังก้องอยู่ในหัว เขาถึงรู้ว่าคนที่จับขาเขาอยู่คือใครและก็รู้สึกโล่งใจไปที
และเป็นดั่งที่เยี่ยเทียนพูดไว้จริงๆ หลังจากที่ความตกใจของเหลยหู่แผ่วลง มีหมอกสีขาวกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มช่วงล่างของเยี่ยเทียนเอาไว้ ร่างของเยี่ยเทียนหยุดกลางอากาศในทันใด ราวกับเหยียบอยู่บนเมฆอย่างนั้น
“นี่…นี่มันลอยตัวบนเมฆนิ?”
เยี่ยเทียนที่อยู่ห่างจากตนออกไปไม่กี่เมตร เหลยหู่ขยี้ตาด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่มองเห็น เขาอยากจะยื่นมือออกไปลองจับหมอกสีขาวกลุ่มนั้น ไอ้ของสิ่งนี้มันทำให้คนยืนได้จริงๆ เหรอ?
“ลอยตัวบนเมฆ?”
เสียงงึมงำของเหลยหู่หนีไม่พ้นการได้ยินของเยี่ยเทียน เมื่อผ่านพ้นอันตรายถึงชีวิตแล้ว เยี่ยเทียนย่อมดีใจและพูดว่า “จะว่าลอยตัวบนเมฆก็ได้ แต่ความสามารถร้อยแปดพันอย่างเหมือนไซอิ๊วแบบนั้น ผมทำไม่ได้หรอกนะ! ”
แม้ครั้งนี้จะอันตรายมาก แต่มันทำให้เยี่ยเทียนรู้ขีดจำกัดของความสูงในการบินของตัวเอง ก็เหมือนกับความสูงเจ็ดแปดร้อยเมตรในตอนนี้ สิ่งที่เยี่ยเทียนสามารถทำได้ก็คือใช้ปราณแท้ควบคุมความเร็วในการร่วงของร่างกาย แต่จะไม่สามารถควบคุมได้อย่างราบรื่นเหมือนกับตอนบินในระยะต่ำ
“เทพ…เทพเจ้า!”
สิ่งที่เยี่ยเทียนกำลังทำอยู่ ทำให้เหลยหู่ตกตะลึงอ้าปากตาค้าง และความรู้ที่มีอยู่แล้วในสี่สิบปีที่ผ่านมันกลับพลิกแพลงไปหมด ไม่ว่าจะตำนานหรือนิยายโบราณต่าง ๆ ล้วนพรั่งพรูเข้าสมองของเหลยหู่ทั้งหมด
“แม่งเอ้ย เมื่อ…เมื่อก่อน ฉันหาที่ตายจริงๆ ”
เยี่ยเทียนคนที่เป็นเสี้ยนหนามตำใจตนมาตลอด สามารถลอยบนเมฆได้ เมื่อคิดถึงการกระทำต่างๆนานาของตัวเอง เหลยหู่ตบที่หน้าอย่างรุนแรง และตอนนี้เขาก็เพิ่งจะรู้ว่าสาเหตุที่เยี่ยเทียนไม่ฆ่าเขา ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวเหลยเจิ้นเทียน แต่มันเป็นขี้ปะติ๋วมากต่างหาก
“หืม? เกิดอะไรขึ้น ทำไมร่วงเร็วขนาดนี้ล่ะ ? ”
จู่ ๆ ความสนใจของเหลยหู่ก็ดึงกลับมาจากเยี่ยเทียนและสนใจความเร็วที่เพิ่มขึ้นของตัวเองแทน เขาพบว่าร่างของเขาร่วงลงไปเร็วกกว่าเดิม จึงได้เงยขึ้นมองร่มชูชีพ
สิ่งที่เขาเห็นทำให้เขาหัวใจแทบแหลกสลาย เพราะเชือกตรงกลางหลายเส้นพันกัน ทำให้ร่มชูชีพจับกลุ่มเป็นก้อนทรงตัวไม่อยู่
เมื่อไม่มีร่มชูชีพต้านแรงลม ร่างของเหลยหู่จึงม้วนตัวและร่วงลงไปอย่างรวดเร็ว เหลยหู่เคยคิดว่าชีวิตนี้อาจตายด้วยดาบกับปืน แต่ไม่เคยคิดเลยว่าตนกำลังจะตายเพราะฟาดกับพื้น
แม้ด้านล่างนี้จะเป็นมหาสมุทร แต่เขาไม่คิดว่าจะมีโอกาสรอดชีวิตแล้ว เพราะแรงพุ่งที่มาจากที่สูงเจ็ดแปดร้อยเมตรขนาดนี้ มันสามารถทำให้อวัยวะภายในทั้งหมดของเขาแหลกสลายได้ทีเดียว และไม่มีความหวังว่าจะมีชีวิตรอดเลย
“มีผมอยู่ คุณไม่ตายหรอก! ”
ความหมดหวังพุ่งปรี๊ดขึ้นสมอง และตอนที่เหลืออีกแค่สามสี่ร้อยเมตร ความจริงก็ใกล้เข้ามาทุกที จู่ๆ ร่างของเหลยหู่ก็ตึง และเสียงของเยี่ยเทียนก็ดังขึ้นในหู
“แม่ง หนักโคตร! ”
การดึงร่มชูชีพของเหลยหู่ก็ใช้แรงของเยี่ยเทียนมากพอสมควร เหลยหู่นอกจากตัวจะหนักแล้ว ถุงยังชีพใต้เก้าอี้ถุงนั้นก็น่าจะหนักหลายกิโลเหมือนกัน ปราณแท้ที่ห่อหุ้มเยี่ยเทียนเกือบจะกระจายเพราะดิ่งลงมาอย่างรวดเร็ว
บนโลกนี้นอกจากคนที่อยากฆ่าตัวตายแล้ว ไม่มีใครอยากตายหรอก โดยเฉพาะคนอย่างเหลยหู่ที่อายุเพิ่งจะสี่สิบ มันเป็นช่วงเวลาทองของผู้ชาย การยื่นมือเข้าช่วยของเยี่ยเทียน ทำให้ความขุ่นแค้นใจของเหลยหู่หายเป็นปลิดทิ้ง
“ท่านเยี่ย ขอบคุณครับ ผม…ขอโทษจริงๆ ครับ! ”
เหลยหู่ไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนได้ยินหรือไม่ หลังจากพูดจบ เขาเงยหน้าขึ้นมอง เบิกตากว้างและตะโกนว่า “ท่านเยี่ย ระวังฟ้าผ่า ! ”
ในเวลาเดียวกัน เยี่ยเทียนรู้สึกชาที่หัว ตอนที่ฟ้าผ่าที่ยังห่างจากเขาพันเมตร เขาก็รู้สึกถึงอำนาจของฟ้าแล้ว เขารู้สึกเหมือนถูกไฟช็อตตั้งแต่ผมจรดเท้า
“แม่ง กูยังไม่ถึงเวลาต้องมารับกรรมฟ้าผ่าโว้ย พระเจ้าจะล้อเล่นกับผมเหรอ? ”
เยี่ยเทียนเปล่งเสียงร้องโห่ และรวบรวมปราณแท้ทั้งหมดในร่างกายไว้บนหัวที่เอียงไปเล็กน้อย เขารู้วว่าพลังวิชาของตนไม่อาจต้านฟ้าผ่านี้ได้ แต่หวังแค่มันจะเอียงเล็กน้อย และไม่โดนร่างกายของตัวเองตรงๆ
“เปรี้ยง! ”
ความเร็วแสงไวกว่าความเร็วเสียง ตอนที่เยี่ยเทียนได้ยินเสียงฟ้าผ่า แสงไฟเส้นนั้นได้มาถึงหัวของเขาแล้ว หลังจากปะทะกับปราณแท้ มันก็เอียงไปนิดนึง
ความรุนแรงของฟ้าผ่าที่ดูเหมือนจะเบามาก กลับช็อตเยี่ยเทียนจนสั่นกระตุกไปหมด และเขาไม่สามารถควบคุมปราณแท้ได้อีก แล้วเยี่ยเทียนและเหลยหู่ก็ร่วงลงมหาสมุทรไปพร้อมกัน
ตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างจากพื้นผิวมหาสมุทรไม่ถึงสองร้อยเมตร เยี่ยเทียนกำลังจะปล่อยปราณแท้ออกมาอีกครั้ง แต่แสงฟ้าผ่าที่เอียงเมื่อกี้ มันผ่ากลางอากาศ จู่ๆ ด้านล่างของเยี่ยเทียนก็ปรากฏรอยร้าวขึ้นมาหนึ่งแถว
………………………………..