หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 824 เลื่อนขั้น
“ขอบใจ!”
ตอนที่ปราณวิเศษเหล่านั้นถูกดึงออกจากร่างกาย เหลยหู่ก็ได้สติขึ้นมา พลางมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยแววตาที่ซับซ้อน ถึงแม้จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง แต่จากรูปปากนั้นก็ได้พูดคำว่าขอบคุณออกมาสองคำ
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ความสนใจของเยี่ยเทียนไม่ได้อยู่ที่ตัวของเหลยหู่ เพราะเขาพบว่า เดิมทีท้องฟ้าที่มืดมิด ตอนนี้เหมือนจะถูกธาตุแท้ของปราณวิเศษห่อหุ้มเอาไว้เกือบทั้งหมด รอบตัวของเขาล้วนขาวโพลน และปราณวิเศษเหล่านั้นก็มีความจำกัดต่อพลังจิต เยี่ยเทียนสามารถตรวจจับสภาพที่อยู่ไกลออกไปได้เพียงสิบกว่าเมตรเท่านั้น
ก่อนที่จะตกลงมาในรอยแยก เยี่ยเทียนเดาว่าระยะห่างจากพื้นน่าจะอยู่ที่ความสูงสี่ห้าร้อยเมตร ดังนั้นเขาจึงใช้ปราณแท้ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ แล้วค่อยๆ ลดระดับความเร็วลงอย่างช้าๆ
“อืม เหมือนจะออกจากพื้นที่ที่มีปราณวิเศษโดยรอบแล้ว แต่ทำไมถึงรู้สึกมีแรงกดดันที่หนักมากเช่นนี้?”
หลังจากหนึ่งนาทีผ่านไป พลังจิตของเยี่ยเทียนจึง “มอง” ไปที่ด้านล่างของร่างกาย หมอกควันสีขาวแทบจะไม่เห็นแล้ว เขาจึงดีใจยกใหญ่แล้วเพิ่มความเร็วในการลงไป
เพียงแต่ตอนที่ร่างกายของเขากำลังจะออกจากม่านหมอกนั้น จู่ๆ ก็มีพลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งเกิดขึ้นรอบทิศในขณะเดียวกัน และเยี่ยเทียนถูกบีบอัดโดยไร้การป้องกันใดๆ กระดูกเกิดเสียงดัง “กร๊อบ” ใบหน้าเผยความหวาดผวาขึ้นมาในทันที
“นี่…นี่ก็คือปราณวิเศษเหรอ” เยี่ยเทียนพยายามฝืนความเจ็บปวดของร่างกายเค้นปราณแท้ออกมา เพื่อกำจัดแรงกดดันนี้ แต่กลับพบว่าหลังจากที่แรงกดดันที่หนักหน่วงราวกับผืนดินขนาดใหญ่มาอยู่ที่ร่างกายตัวเองแล้ว มันกลับไหลเข้าไปภายในร่างกายของเขาโดยตรง
หากจะพูดถึงปราณวิเศษก่อนหน้านี้ เยี่ยเทียนยังสามารถผ่านจุดตันเถียนหยินหยางให้แปรเปลี่ยนเป็นปราณแท้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ปราณวิเศษนี้จู่ๆ ก็ไหลเข้ามาจำนวนมากอย่างฉับพลัน ต่อให้เป็นตันเถียนหยินหยางก็ยังรับภาระไม่ไหว จึงไม่สามารถแปรเปลี่ยนปราณวิเศษที่พุ่งเข้าสู่เส้นลมปราณของเยี่ยเทียนได้โดยตรง
ร่างกายของมนุษย์เรานั้น สามารถทนรับพลังที่ไม่เหมือนกันได้ในแต่ละช่วง ถึงแม้เยี่ยเทียนจะอยู่ระดับเซียนเทียนแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถรับปราณวิเศษรุนแรงที่มาจากรอบทิศได้เช่นนี้ และความรู้สึกที่กดดันที่เกิดจากปราณวิเศษเหล่านั้น ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแป้ง ที่ถูกคนบดนวดไปตามความต้องการของคนอื่น เสียงเจ็บปวดที่มาจากกระดูกของแขนขานั้น ได้พุ่งตรงเข้าสู่สมองของเขาทันที
ทว่าเหลยหู่ที่อยู่ด้านล่างของเยี่ยเทียน หลังจากที่ร่างกายถูกปราณแท้ของเยี่ยเทียนตัดขาดการสัมผัสกับโลกภายนอก จึงไม่ได้ถูกการดูดกลืนของปราณวิเศษเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงมองใบหน้าของเยี่ยเทียนที่เปลี่ยนไปเพราะความเจ็บปวดอย่างไม่เข้าใจ
“แม่งเอ้ย แบบนี้ข้าทนไม่ไหวนะ!”
ความเจ็บปวดทรมานที่อยู่ทั่วร่างกาย ราวกับเข็มเงินทิ่มเข้าไปในสมอง ทิ่มแทงเยี่ยเทียนจนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และในเวลานี้เอง จู่ๆ เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าร่างกายท่อนล่างเบาลง และปราณวิเศษที่พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่งพลันหายวับไปในพริบตาเดียว
ทว่าเยี่ยเทียนก็ยังคงลำบากต่อไป เพราะร่างกายท่อนบนของเขา ยังคงต้องรับการโจมตีจากปราณวิเศษอยู่ดี ความรู้สึกของความเย็นและความร้อนที่ปะทะกันเช่นนี้ ทำให้เยี่ยเทียนทนไม่ไหวอีกครั้ง ในหัวของเขาเกิดเสียงดังหวึ่ง และในที่สุดขณะเดียวกันที่ร่างกายกำลังหลุดออกจากขอบเขตของพลังปราณวิเศษนั้น เยี่ยเทียนก็สูญเสียความรู้สึกและการควบคุมของร่างกายทั้งหมด
“อ้าว เยี่ยเทียน อย่าทำแบบนั้นสิ?!”
เหลยหู่ที่สังเกตสีหน้าของเยี่ยเทียนตลอดเวลา จู่ๆ ก็พบว่าร่างกายของตัวเองกำลังร่วงหล่นลงไปอย่างรวดเร็ว เขาจึงรีบก้มหน้าดู แล้วจึงรู้สึกตกใจขวัญหนีดีฝ่อ
เพราะเหลยหู่พบว่า ผืนน้ำด้านล่างที่มีระยะห่างจากตัวเอง อยู่ที่ระดับความสูงประมาณสิบกว่าเมตรเท่านั้น และบนผืนน้ำก็ยังมีหมอกที่ลอยคลุ้งอยู่อีกชั้น เขาจึงไม่สามารถรู้ได้ว่าน้ำลึกแค่ไหน และข้างล่างนั้นมีโขดหินหรือเปล่า?
เมื่อไม่มีปราณแท้ของเยี่ยเทียนคอยควบคุมร่างกายเอาไว้ ทั้งสองคนจึงตกลงไปในน้ำทะเลอย่างรวดเร็ว หลังจากสองสามวินาทีผ่านไป จึงเกิดเสียงดัง “ตู้ม ตู้ม” สองครั้ง ทั้งสองคนทยอยตกลงไปในทะเล จากนั้นก็ถูกแรงคลื่นขนาดใหญ่ซัดสาด ทำให้เหลยหู่ที่ลอยตามหลังเยี่ยเทียน ศีรษะโอนเอนไปมาแล้วจึงสลบไป
แต่ก็ยังคงเป็นท้องฟ้าสีครามและทะเลสีเขียวมรกต เพียงแต่น้ำทะเลของที่นี่นั้น ไม่มีคลื่นโหมซัดสาดขนาดใหญ่เหมือนตอนก่อนหน้า แต่กลับเงียบสงบเป็นอย่างมาก สถานที่สูงจากระดับน้ำทะเลหนึ่งพันกว่าเมตรที่เยี่ยเทียนทั้งสองคนตกลงไปนั้น มีเกาะอยู่แห่งหนึ่ง คลื่นละเอียดพัดเข้าหาหาดทรายสีขาวสะอาด เกิดเป็นคลื่นที่แตกกระสานซ่านเซ็นเป็นฟองฝอยสีขาวราวหิมะ
ถึงแม้การไหลของน้ำทะเลจะช้ามาก แต่ก็ยังซัดแพชูชีพที่มัดทั้งสองคนไปที่ชายหาด หลังจากสองสามชั่วโมงผ่านไป ร่างของทั้งสองคนจึงปรากฏอยู่บนหาดทราย
“แม่งเอ้ย ทำไมถึงมาอยู่ในห้วงอากาศนี้อีกแล้ว?”
เยี่ยเทียนที่สูญเสียความรู้สึกของร่างกายไปแล้ว แต่สิ่งที่น่าเศร้ากว่าก็คือการพบว่าตัวเองได้กลับมาอยู่ในห้วงแห่งความมืดมิดอีกครั้ง เหมือนกับหลังจากเกิดเหตุการณ์โศกวินาฏกรรม “911” ในครั้งนั้น ที่เขาถูกขังอยู่ในจิตวิญญาณของตัวเอง เมื่อมีประสบการณ์ในครั้งนั้น เยี่ยเทียนจึงรู้ว่า นี่คือการปกป้องร่างกายของตัวเองรูปแบบหนึ่ง เพราะกลัวว่าพลังจิตของเขาจะทนรับความเจ็บปวดและพังทลายไม่ไหว
“ถ้าหากกายเนื้อถูกกระแทกจนแตกสลาย จิตวิญญาณของฉันยังจะมีชีวิตรอดอยู่ไหม?”
รอบด้านเต็มไปด้วยความมืด เยี่ยเทียนกลุ้มใจสุดขีด เขาไม่รู้ว่าในพื้นที่หมอกสีขาวที่มีการก่อตัวของปราณวิเศษตัวเองได้ตกลงมาจากระดับความสูงเท่าไร แต่เขาจำได้ว่าตัวเองยังคงลอยอยู่กลางอากาศอยู่
เมื่อสูญเสียการควบคุมของร่างกาย ไม่ว่าด้านล่างอีกสองสามร้อยเมตรจะเป็นน้ำทะเล หรือต่อให้เยี่ยเทียนจะหนังหนาผิวหนังหยาบกร้าน แต่นั่นก็คือจุดจบที่ทำให้ร่างกายแตกสลายได้
ทว่าเยี่ยเทียนกลับไม่รู้ว่า เวลานี้ในกายเนื้อของเขา กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
ขณะเดียวกับที่เยี่ยเทียนออกมาจากพื้นที่หมอกสีขาวนั้น ถึงแม้สติจะทนรับความเจ็บปวดไม่ไหว จนถูกดึงเข้าไปอยู่ในจุดลึกสุดของจิตวิญญาณก็ตาม ทว่าตันเถียนหยินหยางกลับเสถียรมากขึ้น แล้วค่อยๆ แปรเปลี่ยนปราณวิเศษของเส้นลมปราณที่อัดแน่นอยู่ทั่วร่างของเยี่ยเทียน
และดาบบินคู่กายที่อยู่ในจุดตันเถียนนั้น ก็ค่อยๆ หมุนอย่างช้าๆ ก่อเกิดแรงดึงดูดจำนวนมหาศาล นำปราณวิเศษที่ติดอยู่ในเส้นลมปราณของเยี่ยเทียนดูดเข้าไปในตัวดาบทั้งหมด และการหลั่งพรั่งพรูของปราณวิเศษจำนวนมาก ตัวดาบสีแดงจึงค่อยๆ เปลี่ยนสี แล้วเกิดแสงแวววาวสีเงินออกมาทั้งเล่ม
แต่ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ทั้งหมดกลายเป็นมีดสั้นสีเงิน แล้วในที่สุดมันก็ดูดซับพลังปราณที่รุกรานร่างกายภายในของเยี่ยเทียนเข้าไปทั้งหมด ดาบบินเกิดการสั่นสะเทือนพักหนึ่ง ก่อให้เกิดเสียงดังกังวานเข้าไปในจิตวิญญาณของเยี่ยเทียน แล้วจึงปรากฏอานุภาพเกรียงไกรของปราณดาบที่สามารถทำลายกำแพงเหล็กที่แข็งแกร่งได้ออกมา ทำให้อากาศที่อยู่เหนือร่างกายของเยี่ยเทียนเหมือนจะเกิดการบิดเบี้ยวขึ้นมา
“แม่งเอ้ย คราวที่แล้วผ่านไปนานแค่ไหนนะ?”
ดังคำโบราณกล่าวว่าในภูเขาไร้มิติแห่งกาลเวลา ซึ่งไม่ต่างจากเยี่ยเทียนที่ถูกขังอยู่ในจุดลึกสุดของจิตวิญญาณในตอนนี้ ในภาวะเช่นนั้น เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าโลกภายนอกผ่านไปนานเท่าไรแล้ว หลังจากที่เสียงดังกังวานของดาบบินส่งเสียงไปยังสมอง เขาจึงรู้ว่าตัวเองสามารถควบคุมร่างกายได้อีกครั้ง
“เอ๋? เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?”
เยี่ยเทียนที่เพิ่งฟื้นคืนสติ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าแก่นวิญญาณเกิดการสั่นระทึกครู่หนึ่ง คนร่างเล็กเสมือนจริงก็นั่งขัดสมาธิอยู่ที่จุดอิ้นถัง อ้าปากสูดลมหายใจ แล้วปราณแท้รอบกายที่เยี่ยเทียนยากจะรับไหวก็ทะลักออกมา จากนั้นก็ถูกดูดเข้าไปในแก่นวิญญาณราวกับปลาวาฬดูดน้ำ
“โอ้ว สบายจริง!”
ตอนที่ปราณแท้ไม่ได้หลงเหลืออยู่ในร่างกายของเยี่ยเทียนแล้วนั้น แก่นวิญญาณที่ขดแน่นอยู่ตรงกลางระหว่างคิ้วก็คลายตัวออก ลืมตาทั้งสอง แล้วจึงเหยียดแขนที่เล็กทั้งสองข้างขึ้นไปข้างบนพลางบิดขี้เกียจ ในขณะเดียวกันแก่นวิญญาณได้พ่นปราณแท้ขนาดย่อมติดต่อกันไม่ขาดสายออกมาแล้วกลับเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายของเยี่ยเทียนอีกครั้ง
“นี่…นี่คุณสมบัติของปราณแท้ ไม่เหมือนกับของเดิมอย่างสิ้นเชิง?”
เมื่อรู้สึกถึงพลังกลับมาอยู่ในร่างกายอีกครั้ง ใบหน้าของเยี่ยเทียนจึงเผยความตื่นเต้นดีใจออกมาอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าปราณแท้ที่ผ่านการคัดกลั่นผ่านแก่นวิญญาณ ถึงแม้ปริมาณจะน้อยกว่ามาก แต่ด้านคุณภาพนั้นกลับเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
ถ้าหากเมื่อก่อนเยี่ยเทียนใช้พลังสามส่วน ก็สามารถยกของที่มีน้ำหนักห้าพันกิโลกรัมได้ เช่นนั้นตอนนี้เพียงแค่เขาเค้นพลังออกมาครึ่งเดียว ก็สามารถบรรลุผลลัพธ์อย่างเดียวกันได้ นี่ก็คือการเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพ ปราณแท้เริ่มกระชับแน่นและเสถียรมากขึ้น
“หืม? ทำไมดาบบินถึงกลายเป็นสีนี้?”
ตอนที่เยี่ยเทียนสำรวจจุดตันเถียนนั้น เขาจึงอดตกตะลึงไม่ได้ เนื่องจากได้เพิ่มธาตุไฟเข้าไป ทำให้ดาบบินที่เดิมทีเป็นสีแดงทั้งเล่ม ตอนนี้กลับกลายเป็นสีเงินไปแล้ว และปราณดาบที่มีอานุภาพเกรียงไกรได้แผ่ซ่านออกมาด้านนอก ล้นทะลักเข้าไปอยู่ในจุดตันเถียน
“ฉัน…ฉันกำลังจะเข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นกลางแล้วเรอะ?”
เมื่อมองตันเถียนหยินหยางของตัวเองอีกครั้ง หัวใจของเยี่ยเทียนจึงเกิดความตระหนักรู้ขึ้นมา ถึงแม้ขนาดของตันเถียนจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่เยี่ยเทียนก็สามารถสัมผัสได้ว่า เวลานี้ตันเถียนสามารถรับปริมาณของปราณวิเศษเพิ่มขึ้นได้กว่าเมื่อก่อนถึงสิบเท่า
การเปลี่ยนแปลงของปราณวิเศษ ตันเถียนรวมทั้งดาบบิน ทั้งหมดนี้สามารถอธิบายได้ว่า วรยุทธของเยี่ยเทียนได้เข้าสู่โลกใหม่อีกแล้ว การเพิ่มขึ้นของพลังอันมหาศาลนับสิบเท่า ดูเหมือนจะมีแนวโน้มของความเป็นไปได้ในการเลื่อนระดับขั้นมากที่สุด
“แม่งเอ้ย ทำไมทุกครั้งจะต้องทำให้ตัวเองเกือบตายด้วย?”
หลังจากที่ตื่นเต้นดีใจไปแล้ว ในใจของเยี่ยเทียนจึงเกิดความหวาดกลัวตามมา เนื่องจากแรงกดดันที่ก่อตัวจากปราณวิเศษในตอนนั้น เป็นแรงกดดันที่มากกว่าตอนที่เขาได้รับเมื่ออยู่ในสระน้ำหยินหยางของภูเขาฉางไป๋ซานหลายเท่า ตัว ตอนนั้นเยี่ยเทียนมีความรู้สึกเหมือนร่างกายแทบจะถูกบีบออกไป
“ที่นี่คือที่ไหน? บ้าจริง” เมื่อสำรวจสภาวะร่างกายของตัวเองอย่างละเอียดแล้ว เยี่ยเทียนจึงมองสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัว
“โธ่เว้ย หรือว่าปราณวิเศษที่อยู่บนเกาะจะมีอยู่เต็มเปี่ยมแบบนี้? อย่างนั้นข้าจะมัวเสียเวลาไปสร้างค่ายกลชุมนุมพลังทำไมอีก?”
เมื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้า พายุฝนฟ้าคะนองที่เกิดจากฟ้าผ่าได้หายไปนานแล้ว ท้องฟ้ายังคงเป็นสีฟ้าครามแต่ไร้ซึ่งก้อนเมฆ พื้นโลกเต็มเปี่ยมไปด้วยปราณวิเศษที่แข็งแกร่ง แม้แต่น้ำทะเลที่อยู่ไม่ไกลจากบนชายหาด ก็ยังมีหมอกสีขาวที่เกิดจากการก่อตัวของปราณวิเศษ
เมื่อทอดสายตามองออกไปไกลๆ จึงมองเห็นป่าที่เขียวชอุ่มมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด และป่ายังคงรายล้อมไปด้วยปราณวิเศษ นอกจากนี้ยังมีต้นไม้ที่สูงหนึ่งร้อยกว่าเมตร ลำต้นสูงนั่นราวกับเสาหยกสูงเสียดฟ้า พุ่มต้นไม้ขนาดใหญ่ราวกับต้นหม่อนในเทพนิยาย ปกคลุมไปทั่วพื้นปฐพี
“สรุปแล้วข้ามาอยู่ที่ไหนกันแน่?”
เยี่ยเทียนงงเป็นไก่ตาแตก หลังจากที่เขายันตัวเองลุกขึ้นมา จู่ๆ ข้างหูก็ได้ยินเสียงร้องโอดครวญออกมา พอกันไปมอง เหลยหู่ที่ร่างกายท่อนล่างแช่อยู่ในน้ำทะเลก็ฟื้นขึ้นมา
“ท่านเยี่ย พวกเราไม่ได้ตกลงมาตายใช่ไหมครับ?”
พอเหลยหู่ลืมตาก็มองเห็นเยี่ยเทียน แต่สายตาของเขายังคงไม่กระปรี้กระเปร่า เห็นได้ชัดว่ายังฟื้นไม่เต็มที่
“พวกเราน่าจะถูกน้ำทะเลพัดเข้ามา ถ้าหากไม่ได้ตกอยู่บนหาดทรายนี้ เกรงว่าคงจะตายสถานเดียว!”
เยี่ยเทียนมองไปยังร่มชูชีพที่กำลังกระเพื่อมไปตามกระแสน้ำทะเล แล้วพลันเข้าใจในทันใด ทว่าสายตาที่ทอดมองอออกไปไกลๆ นั้น กลับทำให้เขาต้องขมวดคิ้วขึ้นมา ด้วยความสามารถในการมองของเขา สามารถมองเห็นผืนน้ำทะเลในระยะหนึ่งถึงสองร้อยเมตรเท่านั้น
…………………………..