หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 825 ซากศพ
ปกติแล้ว สายตาในการมองบนทะเลนั้นจะกว้างมาก แม้ว่าจะเป็นการมองด้วยตาเปล่า ก็ยังสามารถมองเห็นสถานที่ไกลๆ ได้ แต่ในน้ำที่อยู่ด้านนอกของเกาะแห่งนี้ กลับปกคลุมไปด้วยหมอกชั้นบางๆ เหมือนกับคลุมด้วยผ้าเนื้อบางอีกชั้น ห่อหุ้มเกาะแห่งนี้เอาไว้
“เหมือนที่นี่จะมีอะไรแปลกๆ?”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ว่าจะออกห่างจากผืนน้ำแล้ว เยี่ยเทียนก็ยังรู้สึกว่า ความเข้มข้นของพลังแห่งฟ้าดินที่อยู่ในพื้นที่แห่งนี้บริสุทธิ์มาก ซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อเทียบกับค่ายกลชุมนุมพลังที่เกาะฮ่องกงแล้ว ยังสู้ไม่ได้เลยจริงๆ
นอกจากนี้ท้องฟ้าที่อยู่เหนือศีรษะของเยี่ยเทียนนั้น เป็นสีฟ้าครามทว่าไม่มีแม้แต่ก่อนเมฆ เหมือนกับไพลินหนึ่งเม็ดที่ฝังอยู่บนท้องฟ้ามากกว่า และด้วยมลพิษของอุตสาหกรรมอย่างในทุกวันนี้ ก็ยากที่จะมองเห็นได้ อย่างน้อยเมืองหลวงที่ได้รับฉายาว่าเป็นเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ที่เยี่ยเทียนอาศัยอยู่ก็ยังไม่เคยเห็นท้องฟ้าแบบนี้มากก่อน
“ท่านเยี่ย ที่นี่คือที่ไหนครับ?”
ในที่สุดเหลยหู่ก็ได้สติแล้ว จึงรีบลุกขึ้น ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น สีหน้าพลันเปลี่ยนไป แล้วเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมาบนใบหน้า “เอ๊ะ ผม…เหมือนผมจะบรรลุขั้นแล้ว ทะ…ทำไมถึงบรรลุสองขั้นติดต่อกันได้? ตอนนี้วรยุทธของผมเข้าสู่ระดับหลอมปราณสู่จิตแล้ว!”
ในประเทศจีน การแยกประเภทของระดับการฝึกพลังยุทธนั้น ปกติจะแบ่งเป็นพลังปรากฏ พลังแฝง และพลังสับเปลี่ยน เดิมทีที่ต่างประเทศนั้นก็เรียกเช่นนี้ นอกจากศิษย์พี่สองสามคนแล้ว เหลยเจิ้นเทียนพ่อของเหลยหู่ คือยอดฝีมือเพียงคนเดียวที่เยี่ยเทียนเคยพบเห็น
เพียงแต่ในลัทธิเต๋า จะแยกประเภทของระดับการฝึกวรยุทธเป็น การฝึกพลังกายให้เป็นพลังปราณ การหลอมปราณสู่จิต กับการหลอมจิตสู่ความว่างเปล่า และในสองด้านนี้ยังมีการหลอมความว่างเปล่าเป็นเต๋าอีกด้วย ทว่าพวกนี้ก็เป็นเพียงในตำนานเท่านั้น
ตอนนั้นหลังจากที่เยี่ยเทียนได้ประมือกับเหลยเจิ้นเทียนในสมาคมหงเหมินนั้น เขารู้สึกเลื่อมใสในวรยุทธของเขาเป็นอย่างมาก ทั้งสองคนเคยพูดคุยกันอยู่บ้าง เยี่ยเทียนจึงบอกระดับการฝึกเต๋าให้เหลยเจิ้นเทียนได้รับรู้ สองสามปีที่ผ่านมาเหลยเจิ้นเทียนเก็บตัวศึกษาวิจัยวรยุทธของลัทธิเต๋าอยู่ในบ้านมาตลอด ดังนั้นเหลยหู่จึงเข้าใจและสามารถอธิบายระดับของแต่ละขั้นได้อย่างชัดเจน
ถึงแม้วรยุทธของเหลยเจิ้นเทียนจะสูงพอตัว แต่หลายครั้งที่เหลยหู่มัวแต่ยุ่งงานของสมาคมหงเหมิน ทำให้วรยุทธของเขาฝึกถึงระดับพลังปรากฏเท่านั้น ซึ่งหมายถึงใช้พลังในการต่อสู้คนอื่นได้ และช่วงสองสามปีที่ผ่านมาเขาได้เก็บตัวปลีกวิเวกอยู่กับพ่อ แต่ก็ฝึกได้ถึงขั้นสุดยอดของพลังปรากฏเท่านั้น โดยไม่สามารถเข้าสู่ขั้นพลังแฝงได้เลย
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ วรยุทธก่อนหน้าของเหลยหู่นั้น แม้แต่คุณสมบัติในการเข้าสู่การฝึกเต๋าเพื่อเป็นเซียนก็ยังไม่มี แน่นอนว่า เมื่อถึงระดับของเยี่ยเทียนแล้ว จำเป็นต้องเข้าสู่การหลอมจิตสู่ความว่างเปล่า ซึ่งก็คือระดับเซียนเทียน แบบนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญตบะของจริง
“ท่านเยี่ย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ? คือท่านที่ช่วยผมหรือครับ?”
เหลยหู่หันหลับมาแล้วตรวจสอบร่างกายอย่างละเอียด กลับพบว่าชี่แท้ที่อยู่ในร่างกายกำลังพลุ่งพล่าน จุดฝังเข็มที่ยากจะผ่านด่านไปได้ตอนนี้กลับทะลุปรุโปร่งไร้สิ่งกีดขวาง รู้สึกว่าร่างกายเบาสบายไปทั้งตัว ซึ่งก็คือระดับการหลอมปราณสู่จิตเหมือนที่พ่อเคยกล่าวไว้
“คุณนี่โชคดีไม่เบา ครั้งนี้ถือว่ามีความโชคดีในความโชคร้ายอยู่บ้าง!” เยี่ยเทียนมองเหลยหู่หนึ่งที ถึงแม้จะไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด แต่ในใจกลับเหมือนกระจกใสที่สะท้อนภาพความเป็นจริงออกมาก็ไม่ปาน
สาเหตุที่เหลยหู่สามารถกระโดดจากนักสู้ที่ไม่เข้าขั้น เลื่อนขั้นมาถึงการหลอมปราณสู่จิตได้ ถือว่าเป็นขั้นสูงสุดของผู้ฝึกวิชายุทธในโลกมนุษย์แล้ว และในความเป็นจริงมันก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับปราณวิเศษที่เขาได้พบเจอหลังจากตกเข้าไปอยู่ในรอยแยกนี้
ถึงแม้วรยุทธของเหลยหู่จะไม่พอ ทำให้เขาเกือบต้องตัวระเบิดตายเพราะปราณวิเศษขนาดใหญ่ แต่โชคดีที่ถูก เยี่ยเทียนใช้วิชาดึงปราณวิเศษออกมาได้ แต่ขณะเดียวกันที่ปราณวิเศษเข้าไปทำลายสมรรถนะมากมายในร่างกายของเขา พลังฟ้าดินที่แสนบริสุทธิ์เหล่านั้น ก็ได้ขยายเส้นลมปราณของเขาให้กว้างขึ้นเช่นกัน ทำให้สามารถรองรับชี่แท้ได้มากขึ้น
หลังจากตกลงไปในทะเลแล้ว ปราณวิเศษในทะเลอันกว้างใหญ่ก็ล้นทะลักเข้าไปในร่างกายของเหลยหู่ เข้าไปซ่อมแซมฟื้นฟูและหล่อเลี้ยงส่วนที่สึกหรอในร่างกาย ทำให้เส้นลมปราณถูกบังคับให้ขยายขนาดและมีความเสถียรภาพมากขึ้น จากนั้นถึงได้เข้าสู่ขั้นการฝึกหลอมปราณสู่จิต หากอยู่ในโลกมนุษย์แล้ว ถือว่าเขาก็เป็นปรมาจารย์ระดับเซียนคนหนึ่ง
เมื่อเข้าสู่ขั้นการหลอมปราณสู่จิต ก็หมายความว่าอายุขัยได้เพิ่มขึ้นเท่าตัว หากไม่เกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดเสียก่อน เขาน่าจะมีอายุราวหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าปีเหมือนกับหลี่ซั่นหยวนโดยไม่พิกลพิการก็เป็นได้ ดังนั้นเยี่ยเทียนถึงได้บอกว่าเหลยหู่มีความโชคดีอยู่ในความโชคร้ายนั่นเอง
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่จึงรีบคุกเข่าลงไปบนพื้นทันที ชูมือซ้ายไปบนท้องฟ้า มือขาวแนบตรงหน้าอก แล้วเอ่ยพูดว่า “ขอบคุณบุญคุณในการช่วยชีวิตของท่านเยี่ย ต่อไปหากเหลยหู่กระทำการใดที่ไม่เคารพต่อท่านเยี่ยอีก ผมก็คือคนที่สู้หมูหมาไม่ได้!”
เหลยหู่ที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นหลอมปราณสู่จิต เดิมทีก็รู้สึกกระหยิ่มใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นการมองด้วยความเย็นชาของเยี่ยเทียนแล้ว เหมือนกับคนที่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้ามายืนอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนก็ไม่ปาน จึงไม่มีความลับอะไรในใจอีก
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เยี่ยเทียนเหาะอยู่กลางอากาศในตอนนั้น เหลยหู่จึงเข้าใจว่าระยะห่างของตัวเองกับเยี่ยเทียนนั้นมีมากแค่ไหน เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับคนที่เลอะเลือน คิดแต่จะเป็นศัตรูกับเยี่ยเทียนมาตลอด
“ลุกขึ้นเถอะครับ คุณสมบัติของคุณก็มีพอตัวอยู่ เพียงแต่เมื่อก่อนความคิดและจิตใจใช้ผิดที่ก็เท่านั้นเอง!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ใช้มือขวาประคองขึ้นมาอย่างมีมารยาท เหลยหู่รู้สึกถึงพลังที่แข็งแกร่งพาดอยู่บนไหล่ทั้งสองของตัวเอง เขาไม่กล้าขัดขืน แล้วจึงลุกขึ้นไปตามแรงนั้น
“พวกเราน่าจะยังอยู่ในทะเล เพียงแต่ที่นี่มีหมอกห้อมล้อม จึงไม่สามารถมองเห็นสภาพบนผืนน้ำได้ ถึงจะมีเรือแล่นผ่านมา ก็ไม่น่าจะมองไม่เห็นพวกเราหรือเปล่า?”
เวลานี้เยี่ยเทียนก็รู้สึกดีใจที่เหลยหู่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต ไม่อย่างนั้นการเร่ร่อนอยู่บนเกาะแห่งนี้ เกรงว่าเขาจะไม่มีใครให้พูดคุยด้วยซ้ำ
“ท่านเยี่ย มีระบบระบุตำแหน่งอยู่ใต้ที่นั่งนั่นครับ พวกเขาจะต้องตามหาพวกเราเจอแน่นอน!”
ตอนที่เยี่ยเทียนข่มขู่พนักงานขับเครื่องบินทั้งสองคนในห้องนักบินนั้น เหลยหู่ได้ยินแอร์โฮสเตสพูดถึงเรื่องการติดตั้งตำแหน่งการช่วยเหลือไว้ที่ใต้เก้าอี้ ตอนนั้นเขาจึงเดินลงไปในน้ำทะเลสองสามก้าว ลากแพชูชีพกับร่มชูชีพที่ตกกระจายอยู่ข้างบนมาที่ชายหาด
“เหมือนของจะอยู่ครบ หืม? มีกรรไกรตัดเล็บด้วย?”
ขณะที่มองดูเหลยหู่หยิบของที่อยู่ในถุงกันน้ำออกมาจากแพชูชีพทีละชิ้น เยี่ยเทียนจึงอดขำขึ้นมาไม่ได้ สิ่งที่หยิบออกมาเป็นสิ่งแรกคือขวดน้ำเปล่าสี่ขวด นอกจากนี้ยังมีอาหารแคลอรี่สูงจำนวหนึ่ง อย่างเช่นพวกช็อกโกแลตเป็นต้น
นอกจากของพวกนี้แล้ว ภายในถุงยังชีพยังมียาลดอักเสบกับเข็มและด้าย บางทีอาจจะเป็นความต้องการของพวกแอร์โฮสเตส เพราะข้างในยังมีกล่องเครื่องสำอางอยู่หนึ่งกล่อง แถมยังมีอุปกรณ์ทำเล็บหนึ่งชุด ทำให้เยี่ยเทียนจะหัวเราะก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็ไม่ออก
“หืม? เหลยหู่ เป็นอะไร?” เยี่ยเทียนพบว่า ขณะที่เหลยหู่กำลังหยิบของออกมาข้างนอกนั้น จู่ๆ เขาก็ทำสีหน้าเศร้าขึ้นมา
“ท่านเยี่ย เหมือน…เหมือนเจ้านี่จะพังแล้ว!”
เหลยหู่หยิบกล่องพลาสติกที่มีขนาดเท่ากล่องไม้ขีดไฟกล่องหนึ่งออกมาด้วยสีหน้าขมขื่น แล้วพูดว่า “นี่คืออุปกรณ์ติดตั้งระบุตำแหน่งนั่นครับ ถ้าหากมันสามารถส่งสัญญาณออกไปได้ ตรงนี้ก็เป็นสีเขียว แต่…แต่ท่านดูสิ ตอนนี้มันโชว์ว่าเป็นสีเหลือง แสดงว่าสัญญาณไม่ได้ถูกส่งออกไป!”
อุปกรณ์การติดตั้งระบุตำแหน่งที่เหลยหู่ถืออยู่นี้ คือหลี่เชาเหรินสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษ และบนเส้นทางโคจรนอกโลก ยังมีดาวเทียมสื่อสารลูกหนึ่งโดยเฉพาะ เพื่อให้บริการระบุตำแหน่งรอบโลก ให้กับเหล่ามหาเศรษฐีทั่วโลกที่สามารถจ่ายเงินในราคาที่สูงลิบลิ่วเช่นนี้ได้
จากคำพูดของผู้ขายระบบแบบนี้ ขอเพียงคนที่พกอุปกรณ์การติดตั้งแบบนี้ยังอยู่บนโลกใบนี้ล่ะก็ พวกเขาก็สามารถจับตำแหน่งของผู้ที่พกพาได้ ภายในเวลาหนึ่งนาทีเท่านั้น นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมรัศมีที่อยู่ระยะสิบเมตรได้อย่างแม่นยำอีกด้วย
“แบตเตอรี่หมดหรือเปล่า?”
เยี่ยเทียนยื่นมือไปหยิบกล่องนั่นมา แล้วพลิกหาตำแหน่งที่ใส่แบตเตอรี่ โดยปกติแล้วเวลาที่รีโมททุกตัวในบ้านแบตหมด เยี่ยเทียนก็จะกัดแบตเตอรี่ด้วยความเคยชิน แบบนี้จะทำให้พลังงานของแบตเตอรี่กลับมาชั่วคราว
เหลยหู่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เป็นไปไม่ได้ครับ ท่ายเยี่ย แบตเตอรี่พวกนี้หลังจากห่างจากเครื่องบินแล้ว อย่างน้อยก็สามารถใช้ถ่านได้นานถึงห้าปี!”
สำนักหงเหมินนอกจากจะทำกิจการของตัวเองแล้ว ยังรับงานเป็นบอดี้การ์ดให้พวกมหาเศรษฐีเชื้อสายจีนบางคน จึงมีการติดต่อกับมหาเศรษฐีเชื้อสายจีนที่อยู่ในวงการอยู่บ้าง
เมื่อสองสามปีก่อนมีแก๊งโจรเรียกค่าไถ่ฉายาว่า “มหาเศรษฐีใหญ่” ได้สร้างความวุ่นวายอยู่ในเกาะฮ่องกง แม้แต่เหลยหู่ก็ยังเคยทำงานด้านความปลอดภัยให้กับพวกมหาเศรษฐีด้วยตัวเอง ตอนนั้นบนตัวของมหาเศรษฐี จะติดตั้งอุปกรณ์ระบุตำแหน่งพวกนี้เกือบทั้งหมด ดังนั้นเหลยหู่จึงเข้าใจของพวกนี้เป็นอย่างกี
“ขึ้นไปอยู่บนฝั่งก่อนเถอะ ทานอะไรสักหน่อยแล้วก็พักผ่อนเล็กน้อย ถ้าไม่ไหวจริงๆ พวกเราก็ต้องพายเรือออกจากเขตหมอกนี้ บางทีเจ้าสิ่งนี้อาจจะใช้การได้!”
หลังจากได้ยินเหลยหู่อธิบายแล้ว เยี่ยเทียนจึงเข้าใจใจทันที ก็เหมือนกับที่โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ ที่มักจะเกิดขึ้นกับตัวเยี่ยเทียนบ่อยๆ ไม่ใช่หรือ?
ในต่างประเทศ ผู้คนมักจะอธิบายถึงความสามารถที่เหนือมนุษย์ ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็ก ปราณแท้ที่ไหลทะลักออกมาจากตัวของเยี่ยเทียนนั้น ก็สามารถอธิบายได้ว่าเป็นสนามแม่เหล็กอย่างหนึ่ง และพลังแห่งฟ้าดินก็อัดแน่นอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นจึงมีผลกระทบอย่างมากสำหรับอุปกรณ์ไร้สายพวกนี้ จึงเป็นเรื่องที่ปกติมากที่ส่งสัญญาณออกไปไม่ได้
“ครับ ท่านเยี่ย พวกเราขึ้นไปดูข้างบนก่อน เหมือนเกาะแห่งนี้จะแปลกพิลึกชอบกล!” เหลยหู่พยักหน้า เขาเองก็มองเห็นต้นไม้ที่สูงเสียดฟ้าอยู่ไม่ไกลเช่นกัน แต่หากเทียบกับการพบว่าเยี่ยเทียนสามารถเหาะได้นั้น เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงแบบนี้ถือว่าไม่มีอะไรมาก
“ไปกันเถอะ ไปดูบนเกาะกัน ระวังตัวหน่อยนะ!”
เยี่ยเทียนนำสิ่งของที่วางกระจัดกระจายเก็บใส่ในถุงเป้สะพายหลัง จากนั้นจึงหยิบพลอยวิเศษสองสามชิ้นที่อยู่กับตัวออกมา กระเป๋าของเขาก็ขาดหลุดรุ่ยบ้างแล้ว ถ้าหากพลอยวิเศษตกหล่นลงไป ถึงเยี่ยเทียนจะร้องไห้ก็คงหาไม่เจอ
“ที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่? ทำไมปราณวิเศษถึงเปี่ยมล้นเช่นนี้ หรือข้างล่างจะมีสายแร่ของพลอยวิเศษ?”
ทุกจุดบนหาดทรายนี้มีความกว้างเป็นอย่างมาก กว้างประมาณห้าสิบกว่าเมตรเห็นจะได้ ขนาดเม็ดทรายละเอียดสีขาวนุ่ม ก็ยังมีหมอกสีขาวเลือนรางอยู่อีกหนึ่งชั้น
เมื่อเหยียบไปบนหาดทราย ในใจของเยี่ยเทียนแทบอยากจะขุดพื้นตรงนี้เสียด้วยซ้ำ หลังจากเข้าสู่ระดับเซียนขั้นกลางแล้ว ความต้องการปราณวิเศษของเขานั้นเพิ่มสูงขึ้น เมื่อครู่ตอนที่หยิบพลอยวิเศษสองสามชิ้นนั้น เยี่ยเทียนก็เกิดความรู้สึกบางอย่าง ว่าพลอยวิเศษเหล่านี้เดิมทีมากพอที่จะทำให้เขาตัวระเบิดได้ ทว่าก็ยังไม่สามารถทำให้เขาเลื่อนขั้นเข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นปลายได้
“ท่านเยี่ยครับ ดูเหมือนจะไม่ใช่พื้นดินนะครับ?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงของเหลยหู่ก็พลันดังขึ้นมา “ท่านเยี่ยรีบดู นั่น…นั่นคืออะไร?”
“แม่งเอ้ย นี่คือซากศพของสัตว์เรอะ?” เมื่อมองไปทางที่เหลยหู่ชี้ เยี่ยเทียนจึงเงยหน้าขึ้น ตอนที่เขามองเห็นวัตถุที่อยู่บนพื้นขนาดยี่สิบกว่าเมตรตรงหน้านั้น สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นความหวาดผวาทันที
นั่นคือซากกระดูกที่มีลำตัวยาวยี่สิบกว่าเมตร ความสูงประมาณสามเมตรได้ และเนื้อหนังทั้งตัวของซากศพนี้ก็ผุกร่อนเน่าเปื่อยไปนานแล้ว บางทีอาจจะเป็นเพราะถูกลมฝนพัดเข้า ทำให้เศษกระดูกเหล่านั้นหล่นกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ทว่าก็ยังมองออกถึงขนาดลำตัวที่ใหญ่มหึมาเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่
…………………………….