หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 836 ทรัพยากรที่สมบูรณ์
“อาจารย์ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”
เมื่อเห็นสายตาของเยี่ยเทียนกวาดมองตัวเอง เหลยหู่จึงอดสั่นสะท้านไม่ได้ ถึงแม้เยี่ยเทียนจะไม่ได้จงใจแผ่อำ นาจของตัวเองออกมา แต่ความน่าเกรงขามที่ไร้ตัวตนแบบนั้นก็สามารถทำให้เหลยหู่ถึงกับเข่าอ่อนได้
“ฉันไม่เป็นไร”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วพูดอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ว่า
“ก่อนที่ฉันจะเข้าฌาน ฉันได้ใช้เสียงบอกแกแล้ว ว่าอย่ารบกวนฉันไม่ใช่เหรอ? ทำไมแกถึงมารบกวนการฝึกวรยุทธของฉัน?”
การฝึกวรยุทธครั้งนี้ มีข้อดีมากมายจนเยี่ยเทียนไม่สามารถพูดหรือเปรียบเทียบได้ กระทั่งเขามีความรู้สึกว่าถ้าตัวเองเข้าใจหลักของการหลอมรวมปราณวิเศษทั้งหมดแล้ว ไม่แน่ว่าเขาก็อาจจะเข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นปลายได้ เพียงแต่ความโชคดีนี้กลับถูกเหลยหู่ทำลายเสีย
“อาจารย์ ท่าน…ท่านเข้าฌานมาครึ่งปีกว่าแล้วนะครับ”
เหลยหู่กระแอมเสียง แล้วจึงพูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
“ช่วงนี้ดูเหมือนสัตว์ร้ายบนเกาะจะเข้ามารบกวน มีบางส่วนมาอยู่บริเวณใกล้ๆ ชายหาด และกระท่อมไม้หลังนี้ก็อยู่ใกล้ภูเขามากเกินไป ผมกลัวว่าอาจารย์จะได้รับบาดเจ็บครับ”
ถึงแม้นิสัยเดิมของเหลยหู่นั้นจะไม่ได้มีคุณธรรมอะไรมากนัก แต่เยี่ยเทียนมองไม่ผิดอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือความกตัญญูรู้คุณ หลังจากกราบเยี่ยเทียนเป็นอาจารย์แล้ว เหลยหู่จึงปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง ที่ไม่เหมือนกับการปฏิบัติต่อผู้อาวุโสของสมาคมหงเหมิน
ดังนั้นหลังจากที่เขาพบว่ามีพลังปราณชีวิตของสัตว์ร้ายที่มีพลังแข็งแกร่งเข้าใกล้หาดทรายนั้น จึงคิดอยากจะปลุกเยี่ยเทียนอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะช่วงนี้พวกสัตว์ร้ายบนเกาะจะเกิดการเคลื่อนไหวรุนแรงขึ้น เหลยหู่ถึงไม่สนใจว่าจะถูกเยี่ยเทียนดุด่า จึงปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมา
“ฉันเข้าฌานนานครึ่งปีกว่าเรอะ?”
เยี่ยเทียนได้ยินก็ตกตะลึง ไม่ได้ฟังคำพูดที่เหลยหู่พูดต่อจากนั้น เขาพอจะนึกภาพออกว่า ตัวเองหายตัวไปนานครึ่งปีกว่า จะทำให้ครอบครัวที่อยู่โลกภายนอกร้อนใจมากแค่ไหน
“และแล้วการอยู่ในนี้ก็ไร้มิติแห่งกาลเวลาจริงๆ…”
เยี่ยเทียนก้มหน้ามองตัวเอง จึงเห็นฝุ่นเกาะอยู่บนไหล่ทั้งสองข้างเป็นชั้นๆ หลังจากเยี่ยเทียนลุกขึ้น ฝุ่นละอองทั้งหลายจึงกระจายร่วงหล่นลงมาจากตัว
เขาถอนหายใจ มือขวาของเยี่ยเทียนคว้าจับไปกลางอากาศ เบาะรองนั่งสมาธิที่อยู่บนพื้นก็ถูกดูดเข้ามาอยู่กลางฝ่ามือ เยี่ยเทียนมองเหลยหู่แล้วพูดว่า
“ถือว่าครึ่งปีที่ผ่านมาแกก็ไม่ได้อยู่เปล่าๆ ขาดอีกก้าวเดียวก็สามารถเลื่อนขั้นสู่ระดับเซียนเทียนได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะช่วยแกอีกแรงหนึ่ง!”
“ขอบคุณครับอาจารย์!” เหลยหู่ได้ยินจึงดีใจเป็นอย่างมาก รีบเข้าไปรับวัตถุที่อยู่ในมือของเยี่ยเทียนอย่างเป็นการเอาใจ
หลังจากเสียแขนขวาไปข้างหนึ่ง เหลยหู่ถึงได้ตระหนักว่ามีเพียงพลังที่สุดยอดเท่านั้น ถึงจะเป็นแก่นแท้ที่สุด ดังนั้นช่วงที่เยี่ยเทียนฝึกวรยุทธตลอดครึ่งปีนี้ เขาก็ไม่ได้ทำตัวให้ว่างเลย อาศัยเงื่อนไขเฉพาะของที่นี่ ไม่เพียงแต่สามารถสร้างความเสถียรของระดับก่อนหน้านี้ หนำซ้ำยังสามารถฝึกวรยุทธเข้าสู่ระดับพลังสับเปลี่ยนขั้นปลายได้แล้ว
เยี่ยเทียนโบกมือ แล้วพูดว่า
“ฉันถือเองก็พอแล้ว ของชิ้นนี้มีความแปลกประหลาด อาจจะถึงแก่ความตายได้ วรยุทธของแกไม่ถึง หากสัมผัสแล้วจะไม่ใช่เรื่องดี!”
ปราณวิเศษธาตุไม้ที่แฝงอยู่ในของสิ่งนี้นั้น มีประโยชน์สูงต่อคนอย่างแน่นอน แต่ดังคำโบราณว่าไว้สิ่งต่างๆ เมื่อพัฒนาไปถึงจุดหนึ่งก็จะกลับกลายไปในทางตรงกันข้าม หากเหลยหู่ไปสัมผัสปราณวิเศษชนิดนี้อย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องดี และนี่ก็คือสิ่งที่เยี่ยเทียนเข้าใจและรู้แจ้งจากการฝึกตนครั้งนี้
“อาจารย์ นี่มันคืออะไรกันแน่ครับ?”
สำหรับสิ่งของที่มีลักษณะเหมือนเบาะรองนั่งสมาธินั้น เหลยหู่ก็ฉงนสนเท่ห์มากเช่นกัน เขารู้ว่าตัวเองเลื่อนขั้นได้เร็ว ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับของชิ้นนี้ที่ตัวเองลงนั่งสมาธิอย่างแน่นอน
เยี่ยเทียนส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวอีกสักพักลองไปดูว่าท่านนักพรตจางได้บันทึกอะไรไว้หรือเปล่า!”
เดิมทีเยี่ยเทียนคิดว่าของสิ่งนี้อาจมีส่วนผสมของพลอยวิเศษธาตุไม้ แต่ตอนที่เขาลองสัมผัสด้วยตัวเองนั้น กลับพบว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิด ของสิ่งนี้ดูเหมือนจะมีปราณวิเศษที่แฝงตัวอยู่ในไม้ท่อนนี้ กระทั่งยังบริสุทธิ์มากกว่าพลอยวิเศษธาตุไม้เสียอีก
หากเยี่ยเทียนอยู่ในโลกของมนุษย์ก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือ แต่ในโลกของการฝึกวรยุทธนั้นกลับไม่รู้อะไรสักอย่าง ดังนั้นจึงไม่อาจวิเคราะห์ความเป็นมาของสิ่งนี้ได้ จึงได้แต่นำบันทึกของจางซันเฟิงมาค้นหาประวัติความเป็นมาของวัตถุชิ้นนี้
“โกรล!”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดกันอยู่ ในป่าที่อยู่ไกลๆ นั้น ก็เกิดเสียงคำรามขึ้นมาอย่างกะทันหัน เป็นเสียงที่ดังมาก จนกระทั่งทำให้กระท่อมไม้สะเทือน ฝุ่นละอองตกลงมาจากไม้กระดานที่อยู่เหนือศีรษะ
เยี่ยเทียนยื่นมือออกไป ปรากฏปราณแท้ก่อตัวเป็นลักษณะสายน้ำวน ลอยอยู่กลางอากาศด้านหน้าลำตัว ดูดฝุ่นละอองที่อยู่เต็มทั่วห้องเข้าไปทั้งหมด เยี่ยเทียนพูดพลางขมวดคิ้วว่า
“หืม? วรยุทธของสัตว์ร้ายตัวนี้น่าจะอยู่ระดับเซียนเทียนขั้นปลาย ทำไมมันถึงมาที่นี่?”
ถึงแม้ในเขตแดนนี้จะมีสัตว์ร้ายน้อยกว่าในภูเขา แต่เยี่ยเทียนก็ไม่กลัวมัน นับตั้งแต่เยี่ยเทียนเห็นฉงฉีก็มองออกว่า ถึงแม้สัตว์ร้ายพวกนี้จะมีวรยุทธสูง แต่เหมือนด้านสติปัญญาจะยังไม่เกิด อีกทั้งยังไม่ฉลาดแสนรู้เหมือนกับเหมาโถวที่อยู่เสินหนงเจี้ยอีกด้วย เมื่อมีมีดบินคู่กาย เยี่ยเทียนจึงมีความมั่นใจมากว่าตัวเองสามารถเอาชนะสัตว์ร้ายที่อยู่ในเขตแดนแห่งนี้ได้
“อาจารย์ ช่วงนี้สัตว์ร้ายที่อยู่ในเกาะดูเหมือนจะบ้าคลั่งมาก มีจำนวนไม่น้อยที่ถูกฟ้าผ่าตาย…”
เหลยหู่มีวรยุทธเพียงแค่ระดับโฮ่วเทียน เขายังต้องการน้ำและอาหารในการบำรุงร่างกาย ทุกสามหรือห้าวัน เหลยหู่จะต้องพายแพชูชีพไปจับปลาในทะเล เขาพบว่าบนชายหาดที่ห่างออกไปหนึ่งพันกว่าเมตรจากกระท่อมไม้ที่เป็นจุดศูนย์กลางนั้น เกิดเหตุการณ์ของสัตว์ป่าดุร้ายกำลังบุกโจมตีค่ายกลอยู่
แต่สิ่งที่ทำให้เหลยหู่สบายใจก็คือ แม้ว่าสัตว์ดุร้ายจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่สามารถต้านทานสายฟ้าที่ฟาดลงมาจากฟากฟ้าได้เลย ยกเว้นเพียงไม่กี่ตัวที่สามารถหนีเข้าไปในเกาะได้อีก ส่วนใหญ่แล้วจะถูกฟ้าผ่าตายกันหมด ทำให้เหลยหู่ได้ลิ้มรสเนื้อย่างสดใหม่ไม่น้อย
“มีค่ายกลใหญ่คอยคุ้มกันอยู่ แกไม่ต้องกลัวหรอก!”
หลังจากได้ยินเหลยหู่พูดจบแล้ว เยี่ยเทียนจึงครุ่นคิดพักหนึ่ง แล้วพูดว่า
“ฉันจะจัดระเบียบบันทึกของนักพรตจางอีกหน่อย แกไปฝึกวรยุทธข้างนอกเถอะ!”
เยี่ยเทียนเชื่อว่า จางซันเฟิงใช้ชีวิตอยู่บนเกาะแห่งนี้มาหลายร้อยปี จะต้องพบอะไรบางอย่าง และมู่เจี่ยนที่วางกองอยู่ในมุมห้องพวกนั้น ไม่แน่อาจจะมีสิ่งที่ตัวเองต้องการทำความเข้าใจ ดังนั้นจึงรีบไล่เหลยหู่ออกไป เพื่อทยอยดูมู่เจี่ยนเหล่านั้น
…
มู่เจี่ยนที่จางซันเฟิงหลงเหลือไว้ ส่วนใหญ่เป็นบันทึกการฝึกบำเพ็ญตบะในช่วงสองพันกว่าปีของตัวเอง จึงเล่าเรื่องเกี่ยวกับเขตแดนต่างๆ ได้อย่างละเอียดมาก หนึ่งในนั้นมีเนื้อหาที่ทำให้เยี่ยเทียนอ่านแล้วสบายใจ ซึ่งสามารถไขข้อข้องใจในการฝึกวรยุทธได้ไม่น้อย และบ่อยครั้งเพียงแค่ประโยคเดียว ก็สามารถสะกิดให้เยี่ยเทียนต้องนั่งทำสมาธิขึ้นมา
เพียงแต่การทำเช่นนี้ ทำให้ความเร็วในการจัดระเบียบมู่เจี่ยนช้าลงเป็นอย่างมาก เขาใช้เวลาทั้งหมดสองเดือนกว่า จึงสามารถแยกประเภทของมู่เจี่ยนทั้งหมดเรียบร้อย สิ่งที่วางอยู่ขวามือของโต๊ะคือการฝึกจิต และที่วางอยู่ซ้ายมือกลับน้อยลงมาหน่อย เป็นบันทึกบางส่วนของจางซันเฟิง เกี่ยวกับสิ่งที่เคยเห็นและได้ยินบนเกาะเซียน “เผิงไหล” แห่งนี้
หลังจากอ่านสิ่งที่ได้พบและได้ยินพวกนั้นแล้ว เยี่ยเทียนจึงรู้ความเป็นมาของ “เบาะรองนั่งสมาธิ” ที่ตัวเองนั่งสมาธิมาตลอด
ที่แท้บนเกาะนี้เรียกอีกอย่างว่าเกาะดิน มีต้นไม้ขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ก็คือต้นหม่อนโบราณที่เยี่ยเทียนเคยเห็นก่อนหน้านี้ ต้นไม้ชนิดนี้ต่ำที่สุดก็มีความสูงประมาณหนึ่งร้อยเมตร พบเห็นน้อยมากบนเกาะแห่งนี้ ทั้งหมดมีเพียงสิบกว่าต้นเท่านั้นซี่งน้อยมากเหลือเกิน
เบาะรองนั่งสมาธินี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสิบเซ็นติเมตรกว่าๆ ความจริงแล้วมันคือหัวใจของต้นหม่อนโบราณ มีครั้งหนึ่งตอนที่จางซันเฟิงต่อสู้กับสัตว์ร้าย ได้ทำร้ายต้นหม่อนขนาดใหญ่ต้นนั้นโดยไม่ตั้งใจ หลังจากสัตว์ร้ายล่าถอยไปแล้ว เขาจึงรับรู้ถึงพลังชีวิตบางอย่างที่มาจากตอไม้ที่แตกหัก
เมื่อเห็นว่าต้นไม้ยักษ์อาจจะไม่รอดแล้ว จางซันเฟิงจึงขุดต้นไม้ท่อนหนึ่งที่ยังมีพลังชีวิตอยู่ออกมา แล้วทำมันเป็นเบาะรองนั่งสมาธิทุกวัน จางซันเฟิงประเมินคุณค่าของมันสูงมาก และเขาจะนั่งมันเกือบทุกครั้งที่ฝึกวรยุทธ
หลังจากได้แก่นของต้นไม้ท่อนนี้มาแล้ว จางซันเฟิงก็เคยคิดจะไปตัดต้นไม้ยักษ์อื่นๆ เพียงแต่อย่างแรกคือข้างๆ ของต้นไม้ยักษ์เหล่านั้นจะมีสัตว์ดุร้ายที่แข็งแกร่งอยู่ด้วย อย่างที่สองด้วยนิสัยที่รักสงบของจางซันเฟิง พอคิดคำนวณดูแล้ว ก็ไม่ได้ลงมือทำ
หลังจากอ่านบันทึกส่วนนี้แล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่มีความคิดที่จะไปเอาแก่นของต้นไม้อีก เพราะแม้แต่จางซันเฟิงก็ยังรู้สึกกลัวสัตว์ดุร้าย ซึ่งน่าจะมีพลังยุทธระดับจินตันเป็นอย่างน้อย ยกเว้นสมองของเยี่ยเทียนจะใช้การไม่ได้แล้วถึงจะกล้าเข้าไป
ส่วนเรื่องที่สัตว์ร้ายพวกนั้นที่บุกโจมตีชายหาด เยี่ยเทียนก็ได้รับคำตอบจากบันทึกของจางซันเฟิงเช่นกัน
ที่แท้ค่ายกลยักษ์ที่ปิดล้อมเกาะแห่งนี้ ทุกยี่สิบปีจะมีช่วงหนึ่ง ที่พลังอานุภาพของค่ายกลจะอ่อนแรงมาก ทำให้สัตว์ร้ายที่ถูกขังอยู่บนเกาะแห่งนี้ เลือกที่จะบุกทำลายค่ายกลในช่วงเวลานี้ ซึ่งมักจะกินเวลานานถึงหนึ่งปีเต็ม
จังหวะที่เยี่ยเทียนกับเหลยหู่เข้ามาอยู่ที่นี่ ก็เป็นช่วงเวลาบ้าคลั่งของสัตว์ร้ายเหล่านั้นพอดี เหตุการณ์ที่เหลยหู่เห็นนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าหากไม่ใช่เพราะปราณวิเศษที่กระท่อมไม้นี้มีเปี่ยมล้นมากที่สุด การลงทัณฑ์ของสายฟ้าฟาดก็คงรุนแรงดุเดือดเช่นกัน เกรงว่าสัตว์ร้ายพวกนั้นคงจะบุกโจมตีไปนานแล้ว
แต่ข้อมูลที่มีคุณค่ามากที่สุดของจางซันเฟิง กลับไม่ใช่สองสิ่งนี้ แต่เป็นสิ่งที่เขาเคยค้นพบว่า ในเกาะที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่มหึมาแห่งนี้ มีธาตุทั้งห้าได้แก่ ธาตุทอง ธาตุไม้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุดินครบทุกอย่าง นอกจากนี้พลอยวิเศษสองชนิดอย่างธาตุไม้และธาตุดินที่ล้ำค่าและมีน้อยมากที่สุดในโลกภายนอกนั้น กลับอุดมสมบูรณ์มากที่สุดในเกาะแห่งนี้
ด้วยวรยุทธระดับจินตันขั้นปลายของจางซันเฟิง กลับไม่สามารถใช้พลอยวิเศษเหล่านั้นเพื่อเลื่อนขั้นได้อีก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ไปขุดพลอยวิเศษพวกนั้น นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่เยี่ยเทียนไม่พบพลอยวิเศษชนิดใดๆ ในกระท่อมไม้หลังนี้
แต่ในบันทึกของจางซันเฟิง กลับทำให้เยี่ยเทียนดีใจแทบบ้า เพราะการดูดซับพลังปราณชีวิตแห่งฟ้าดิน จำเป็นต้องแปรเปลี่ยนพลังให้เป็นปราณแท้ของตัวเองก่อน แต่การดูดซับปราณวิเศษจากพลอยวิเศษนั้น ร่างกายสามารถรองรับเข้าไปได้โดยตรง เมื่อใช้พลอยวิเศษในการฝึกวรยุทธ จะทำให้เยี่ยเทียนพัฒนาได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
“เหลยหู่!”
รวมเวลาของการฝึกฝนก่อนหน้านี้ เยี่ยเทียนใช้เวลาอยู่ในกระท่อมไม้แปดเก้าเดือนเต็มๆ เพิ่งได้ออกมาจากกระท่อมเป็นครั้งแรก จึงเรียกเหลยหู่ที่กำลังนั่งสมาธิอยู่บนหาดทราย
“อาจารย์ ท่านออกมาแล้วหรือครับ?”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนออกมาแล้ว เหลยหู่จึงรีบเดินไปต้อนรับ ครั้งนี้เยี่ยเทียนไม่ได้เก็บตัวถือศีล เหลยหู่จึงสามารถถามปัญหายากที่จะพบเจอขณะที่ฝึกวรยุทธกับเยี่ยเทียนได้อยู่บ้าง
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป แกเอาอันนี้ไปฝึกนะ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปี แกจะสามารถเปลี่ยนจากพลังโฮ่วเทียนเป็นระดับเซียนเทียนได้แล้ว!”
เยี่ยเทียนนำพลอยวิเศษธาตุน้ำยื่นให้เหลยหู่ พลางคิดในใจว่าเจ้านี่โชคดีจริงๆ เพราะอายุศิษย์พี่ทั้งสองคนของเขาเมื่อรวมกันแล้วก็มีอายุเกินหนึ่งร้อยหกสิบปีแล้ว กลับมีสภาพไม่ต่างไปจากของเหลยหู่เลย
โดยเฉพาะโก่วซินเจีย เนื่องจากไม่มีพลอยวิเศษที่เหมาะสม จึงไม่อาจเปลี่ยนจากพลังปราณชีวิตให้เป็นปราณแท้ได้ ทำให้ยังติดอยู่ในขั้นหลอมปราณสู่จิตมาตลอด
………………………….