หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 841 ได้ผลผลิตค่อนข้างมาก
“เจ้า…เจ้าต้องการหาสิ่งนี้ใช่ไหม?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังทำงานอย่างลำบาก ก็เกิดเสียงดังขึ้นมาในหัวจึงรีบเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน พอมองดูแล้ว เยี่ยเทียนจึงตกตะลึงอ้าปากค้างทันที
ร่างของภูติต้นไม้ที่มีความสูงประมาณห้าเมตร เวลานี้เหมือนกับต้นไม้ที่โตอยู่ข้างหลุมลึก ใต้เท้าของมันคือรากของต้นไม้ที่มีหินแร่ที่เต็มไปด้วยลายไม้วางอยู่เป็นกองเล็กๆ
หินแร่สิบกว่าชิ้นวางกองอยู่ด้วยกัน แผ่ซ่านพลังแห่งชีวิตที่แข็งแกร่งออกมา ถึงแม้ก้อนหินพวกนี้จะมีสีเข้มบ้างอ่อนบ้าง แต่เยี่ยเทียนมองปราดเดียวก็รู้ว่าทั้งหมดนี้คือพลอยวิเศษธาตุไม้
“แกไปหาของพวกนี้มาจากที่ไหน?”
เยี่ยเทียนส่ายศีรษะไปมา หลังจากที่ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เกิดภาพลวงตา เขาจึงเอ่ยปากถามภูติต้นไม้ เพราะเขาลำบากขุดตั้งครึ่งค่อนวันจนเหนื่อยแทบตาย กลับได้พลอยวิเศษขนาดเท่าฝ่ามือเด็กทารก แต่ภูติต้นไม้กลับหามาได้มาก มายขนาดนี้อย่างไร้สุ้มเสียง
ภูติต้นไม้เอียงศีรษะพักหนึ่ง แล้วจึงชี้ไปยังสถานที่ที่อยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียน แล้วพูดว่า
“ก็อยู่ใต้ดินตรงนี้ไงเล่า จำนวนอาจจะไม่มาก เพราะมีบางส่วนที่ข้าก็เอาออกมาไม่ได้!”
“ดี แกช่วยเอาออกมาให้ฉันเท่าที่แกจะเอาออกมาได้ แล้วฉันจะช่วยต่อสู้กับภูติภูเขาให้แกเอง!”
เยี่ยเทียนได้ยินจึงดีใจมาก แล้วจึงพูดจาหลอกเด็กที่แม้แต่ตัวเองก็ยังหน้าแดงอีกแล้ว จากนั้นจึงเพิ่มความเร็วในการขุดของตัวเองอีก
เมื่อเทียบกับภูติต้นไม้แล้ว ความเร็วของเยี่ยเทียนยังช้ากว่ามาก ตอนที่เขาเพิ่งจะขุดเจอพลอยวิเศษชิ้นที่สอง ก็ไม่รู้ว่าภูติต้นไม้ไปเอามาจากไหนได้อีกสิบกว่าชิ้น ทำให้ดวงตาทั้งสองของเยี่ยเทียนแทบตาลาย ตอนนั้นเขาได้สายแร่ของพลอยวิเศษธาตุทองมาจากไซบีเรียทั้งหมดเพียงสิบกว่าชิ้นเท่านั้น แต่สายแร่ของธาตุไม้นี้ยังดีกว่าสายแร่ของไซบีเรียเสียอีก
การปรากฏตัวของพลอยวิเศษหนึ่งชิ้น ได้กระตุ้นเยี่ยเทียนให้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังทั่วทั้งตัว ตัวของเขาเหมือนกับเครื่องขุดเจาะ หลังจากระยะเวลาสั้นๆ สองชั่วโมงกว่าๆ เยี่ยเทียนก็ขุดคลองที่ยาวประมาณหกสิบเมตร กว้างห้าเมตรและลึกสามเมตรอยู่ที่ใต้รากของต้นไม้โบราณต้นนี้แล้ว
ในคูที่มีความยาวประมาณหกสิบกว่าเมตรนี้ มีรากไม้ขนาดใหญ่รากหนึ่งที่กลายเป็นหินแล้ว และพลอยวิเศษที่มีทั้งหมด ก็ได้มาจากส่วนที่อยู่ใกล้ๆ กับรากไม้นี้ ซึ่งก็หมายความว่า สายแร่ของพลอยวิเศษธาตุไม้สายนี้ เดิมทีก็คือรากไม้รากหนึ่งของต้นหม่อนโบราณ
“เยอะมากมายขนาดนี้เชียว!”
เมื่อมองดูพลอยวิเศษธาตุไม้สามสิบกว่าชิ้นที่วางกองอยู่ตรงหน้าตัวเอง เยี่ยเทียนจึงทำหน้ายิ้มแหยๆ ดวงตายิ้มจนแทบลืมไม่ขึ้น เพราะสีหน้าแบบนั้นมันเหมือนกับคนยากจนที่ไม่มีอะไรเลยกลับได้รับมรดกจนร่ำรวยมหาศาล
สีของพลอยวิเศษพวกนี้มีทั้งเข้มและอ่อน เยี่ยเทียนค้นพบจากการสำรวจว่า พลอยวิเศษที่มีสีของลายไม้ที่ยิ่งเข้มเท่าไร ปราณวิเศษที่แฝงอยู่ในนั้นก็ยิ่งเข้มข้นมากเท่านั้น หนึ่งในนั้นก็มีพลอยวิเศษชิ้นหนึ่ง ที่มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ แต่กลับมีสีเขียวเข้มมาก มีปราณวิเศษที่ทรงพลังแฝงอยู่ในนั้น แม้แต่หัวใจของต้นไม้ที่เยี่ยเทียนเคยเห็นก็ยังสู้มันไม่ได้
“ไม่แน่ชิ้นนี้อาจจะเป็นปราณวิเศษเกรดสูงก็เป็นได้”
เยี่ยเทียนสัมผัสปราณวิเศษที่อยู่ในพลอยวิเศษอย่างระวัง แต่ไม่ได้คิดจะดูดซับแต่อย่างใด เขารู้ว่า ด้วยวรยุทธของเขาในตอนนี้ การใช้พลอยวิเศษเกรดสูงเท่ากับเป็นการถลุงทำลายข้าวของเสียหาย บางทีควรรอให้เขาอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเซียนเทียนก่อน จึงจะสามารถใช้พลอยวิเศษชนิดนี้ในการฝ่าด่านเข้าสู้ระดับจินตันสำเร็จมหามรรค
ถึงแม้จะรู้ว่าพลอยวิเศษพวกนี้มีความแข็งมาก แต่เยี่ยเทียนก็ยังเก็บพลอยวิเศษทั้งสามสิบกว่าชิ้นใส่กระเป๋าหนังที่ตัวเองเตรียมมาอย่างระมัดระวัง
กระเป๋าหนังใบนี้ของเยี่ยเทียนตัดเย็บมาจากหนังของสัตว์ประหลาดตนหนึ่งที่หาดทราย เวลาถืออยู่ในมือสามารถขยำเป็นก้อนได้ แต่มีความยืนหยุ่นสูงมาก ต่อให้ยัดวัวเข้าไปสักหนึ่งตัวก็ไม่ขาด จึงสะดวกในการพกพาเป็นอย่างมาก
“มู่โถว (ภูติต้นไม้) ขอบใจแกมากนะ” เพื่อความสะดวกในการเรียกชื่อ เยี่ยเทียนจึงตั้งชื่อที่เชยมากให้กับมัน แต่ภูติตนนี้ใช่ว่าจะเข้าใจอะไรมาก? แถมมันยังดีใจอยู่เป็นนานสองนาน
หลังจากเก็บพลอยวิเศษเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนมองคูขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง พร้อมกับใบหน้าที่แสดงให้เห็นความละอายใจ
ความจริงพลอยวิเศษพวกนี้ ภูติต้นไม้ขุดออกมาได้เกือบครึ่ง เพราะมันเกิดมาจากแก่นสำคัญของต้นไม้ ขอเพียงสถานที่ที่มีต้นไม้ มันก็สามารถผ่านไปได้โดยไม่มีข้อจำกัด เพียงแต่ตำแหน่งของรากไม้นั่นกลายเป็นก้อนหินไปหมดแล้ว ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงจำเป็นต้องขุดดินออกมา
ภูติต้นไม้โบกเถาวัลย์ไปมา แล้วพูดอย่างไม่สนใจว่า
“ไม่เป็นไร ของพวกนี้ ไม่มีประโยชน์กับแม่แล้ว…”
ที่แท้เนื่องจากต้นหม่อนโบราณมีขนาดที่ใหญ่เกินไป ความเร็วในการดูดซับปราณวิเศษ จึงเร็วกว่าสัตว์ประหลาดหรือภูติเป็นอย่างมาก ปริมาณของปราณวิเศษเหล่านั้น นอกจากจะเติมเต็มความอยู่รอดของต้นไม้ยักษ์แล้ว ก็ยังมีส่วนที่เหลืออีก จากนั้นจึงถูกมันเอามาสะสมไว้ที่ก้านรากใต้ดินของตัวเอง
เมื่อเวลาผ่านไปนานนับพันปี ปราณวิเศษที่สะสมได้ถูกบีบอัดกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายก้านรากใต้ดินของต้นไม้ยักษ์นี้จึงกลายเป็นก้อนหิน และกลายเป็นสายแร่ธาตุไม้ที่มีคุณภาพที่สูงสุดอีกชนิดหนึ่ง
ในโลกภายนอก ต้นหม่อนโบราณนั้นได้สูญพันธุ์ไปนานแล้ว แม้แต่ในเสินหนงเจี้ยก็ไม่เหลือสักต้น ดังนั้นถ้าหากพวกเขาอยากจะได้พลอยวิเศษธาตุไม้ จึงได้แต่อาศัยสายแร่ของธาตุไม้ที่ออมาจากสารอินทรีย์ที่อยู่ในป่าเขา แต่เรื่องของคุณภาพนั้น กลับห่างจากสายแร่ที่เกิดจากต้นไม้โบราณลิบลับ
“ของสิ่งนี้ไม่มีประโยชน์ต่อต้นไม้โบราณ แล้วไม่มีประโยชน์กับแกหรือ?”
หลังจากได้ยินภูติต้นไม้อธิบายจบแล้ว เยี่ยเทียนจึงรู้สึกแปลกใจ เพราะเจ้าตัวนี้เป็นจิตวิญญาณของพืชหญ้าที่ไร้เดียงสามาก ตามหลักแล้วพลอยวิเศษเหล่านี้น่าจะเป็นตัวบำรุงที่ดีให้กับมัน
“มีประโยชน์ แต่ข้าสามารถดูดซับปราณวิเศษจากตัวของแม่ได้”
คำพูดของภูติต้นไม้ทำให้เยี่ยเทียนเข้าใจทันที การปกปักษ์รักษาต้นหม่อนโบราณ มีหรือที่จะสนใจพลอยวิเศษเล็กน้อยพวกนี้? ปราณวิเศษที่เจ้าตัวนี้ดูดซับวันละนิดอยู่ทุกวัน ก็มากพอที่จะทำให้ภูติต้นไม้นำไปฝึกวรยุทธได้แล้ว
เยี่ยเทียนพลันนึกออกอีกเรื่องหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยว่า
“อ้อใช่ หรือว่าด้านล่างของต้นไม้โบราณทุกต้น จะมีหินแร่แบบนี้ทั้งหมดใช่ไหม?”
พลอยวิเศษชนิดนี้ เป็นสิ่งล่อตาล่อใจของผู้ฝึกตนเป็นอย่างมาก ไม่ต่างจากพ่อค้าที่เห็นทองคำ ทำให้ไม่มีแรงต้านทานใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อนึกว่ายังมีต้นหม่อนโบราณอีกเจ็ดแปดต้นที่อยู่บนเกาะนี้ ทำให้น้ำลายของเยี่ยเทียนเกือบไหลออกมา
“น่าจะมีนะ แต่…พวกเขาไม่เหมือนกับมู่โถว มู่โถวไม่มีเพื่อน ไม่มีครอบครัว!”
ขณะที่ภูติต้นไม้พูด พลันรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาทันที หลังจากพูดไม่ชัดเจนนานครึ่งค่อนวัน ในที่สุดเยี่ยเทียนก็เข้าใจว่า ระหว่างต้นหม่อนโบราณเหล่านี้ สามารถสื่อสารกันระหว่างต้นไม้ได้โดยการเชื่อมโยงผ่านอะไรบางอย่าง และภูติต้นไม้ก็รู้ว่า นอกจากตัวของมันเองแล้ว ต้นไม้ต้นอื่นก็ไม่มีจิตวิญญาณแห่งพืชหญ้าที่เป็นพวกเดียวกับมัน
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผ่านไปอีกสองสามปี ไม่แน่แกก็จะมีน้องชายน้องสาวเกิดมาแล้ว”
เยี่ยเทียนพูดปลอบใจภูติต้นไม้อย่างไม่ค่อยซึ้งใจเท่าไร จากนั้นจึงถามกลับมาเรื่องเดิม
“จากตรงนี้ไปยังต้นไม้โบราณต้นอื่น ต้องเดินอีกไกลแค่ไหน?”
ถึงแม้จางซันเฟิงจะบันทึกไว้ละเอียดมาก แต่ส่วนใหญ่มักจะพูดถึงการกระจายเขตของต้าเยาสัตว์ประหลาดตัวอื่นๆ เสียมากกว่า แต่กับต้นหม่อนโบราณนั้นเนื่องจากมีเรื่องของพลอยวิเศษถึงได้บันทึกออกมาด้วย ดังนั้นที่เขาพูดว่าอยู่ใกล้กับที่พักของเขามากที่สุด แต่กลับไม่มีข้อมูลของต้นไม้โบราณอะไรเลย
ภูติต้นไม้ก็นึกภาพที่ชัดเจนไม่ออก หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว จึงโบกเถาวัลย์ไปมาอย่างงุนงง แล้วพูดว่า
“ข้าก็ไม่รู้ น่าจะอยู่ไกลมากๆ แถมตรงกลางยังมีภูเขารกร้างกับทะเลสาบขนาดใหญ่กั้นอยู่ แล้วก็มีกลิ่นอายที่น่ากลัวอยู่ในนั้นด้วย”
“มีภูเขารกร้างกับทะเลสาบขนาดใหญ่กั้นอยู่? อย่างนั้นข้าก็หมดหวังแล้วสิ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงถอนหายใจ เข้าใจขึ้นมาทันที ต้นหม่อนโบราณต้นนี้ กินพื้นที่ไกลนับสิบกิโลเมตร การดูดซับพลังปราณชีวิตแห่งฟ้าดินนั้นจึงน่ากลัวพอสมควร ถ้าหากมีอีกต้นขึ้นอยู่ใกล้ๆ ล่ะก็ เช่นนั้นทั้งสองต้นก็คงอยู่ไม่ได้ หรือบางทีนี่คงเป็นสาเหตุที่มีต้นไม้โบราณเพียงเจ็ดแปดต้นอยู่บนเกาะแห่งนี้?
จากบันทึกของจางซันเฟิงและแผนที่นั้น ต้าเยาตนหนึ่งจะอาศัยอยู่ในทะเลสาบที่ไกลออกไปหนึ่งพันกว่าเมตรซึ่งอยู่หน้าต้นไม้โบราณนี้ ด้วยวรยุทธของเยี่ยเทียนแล้ว หากอยากจะผ่านไปที่นั่นก็เท่ากับรนหาที่ตาย ดังนั้นเขาจึงต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป
“บ้าเอ้ย รอให้ข้าฝึกวรยุทธระดับจินตันได้ก่อน แล้วข้าจะขุดพลอยวิเศษบนเกาะนี้ทั้งหมดให้ได้คอยดู!”
เยี่ยเทียนถ่มน้ำลายลงไปบนพื้นอย่างชิงชัง แต่ในใจก็ไม่ได้ต่อว่าจางซันเฟิงทั้งหมด พลางคิดว่าเขาเป็นนักพรตเฒ่าที่มีวรยุทธสูง ทำไมถึงไม่ขุดพลอยวิเศษทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังบ้าง? แบบนี้จะได้ประหยัดเวลาให้ตัวเองมาขุดพลอยวิเศษเหล่านี้ด้วยความลำบาก
เพียงแต่เยี่ยเทียนกลับไม่รู้ว่า ด้วยวรยุทธระดับจินตันขั้นสูงของจางซันเฟิงและยังสามารถบรรลุขั้นหยวนอิงได้แล้วนั้น พลอยวิเศษพวกนี้มีประโยชน์กับเขาน้อยมากเหลือเกิน
ก็เหมือนกับเรือนสี่ประสานที่ปักกิ่งของเยี่ยเทียน ตอนนั้นมีประโยชน์กับวรยุทธของเขาเป็นอย่างดี แต่เยี่ยเทียนในตอนนี้ ต่อให้ต้องฝึกวรยุทธอยู่ที่นั่นเป็นร้อยปีเกรงว่าวรยุทธก็คงไม่มีการพัฒนาเลยสักนิด
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ภูติต้นไม้จึงส่งเสียงพูดมาหาเยี่ยเทียน
“เจ้าเอาของพวกนี้ไปทำอะไร หรือว่า…หรือว่า”
“หรือว่าอะไร?”
เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นมาอย่างงุนงง แล้วจึงเห็นสีหน้าที่บูดเบี้ยวของภูติต้นไม้พอดี
“ไปต่อสู้ยังไงเล่า มนุษย์ก้อนหินนั่นชอบรังแกข้าบ่อยๆ พวกเราต้องไปสั่งสอนมัน!”
เมื่อภูติต้นไม้เกิดอารมณ์ฮึกเหิม เถาวัลย์พวกนั้นก็โบกสะบัดไปมาเต็มท้องฟ้า หลังจากที่มันเกิดสตินึกรู้แล้ว ก็ใช้ชีวิตอยู่กับความเหงาเดียวดาย และมันยากมากที่จะเห็นภูติที่มีจิตวิญญาณเหมือนกับตัวเองที่อยู่ในเขตแดนของต้นไม้ยักษ์จึงอยากจะตีสนิทด้วย แต่ไม่คิดว่าจะถูกอีตานั่นทำให้ตกใจจนหนีไป จึงทำให้โกรธเดือดดาลอยู่ในใจ
“ได้ พวกเราไปสั่งสอนมัน จะต้องสู้มันจนเห็นแกแล้วเผ่นแน่บไปเลย!”
หลังจากได้ยินคำพูดของภูติต้นไม้แล้ว เยี่ยเทียนจึงตอบรับ เพราะสถานที่ที่มีภูติภูเขาอยู่ จะต้องเป็นที่ที่มีปราณวิเศษธาตุดินหนาแน่นอย่างแน่นอน และที่นั่นอาจจะมีปราณวิเศษธาตุดินที่ตัวเองไม่เจอมาก่อนก็เป็นได้
ส่วนเรื่องที่ภูติภูเขาตนนั้นทำไมถึงมองภูติต้นไม้เป็นศัตรู ความจริงเยี่ยเทียนก็แอบคิดในใจอยู่บ้างแล้ว เนื่องจากธาตุทั้งห้านั้นไม้จะข่มดิน และพื้นดินของโลกก็มีภูติกำเนิดออกมา เมื่อเห็นบนพื้นดินยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นแล้วจึงมีเหตุผลใดที่จะต้องคบหากัน?
“ดี ถ้างั้นพวกเราก็ไปกันเลย!”
ภูติต้นไม้ตื่นเต้นดีใจขึ้นมา ถึงแม้ก่อนหน้านั้นจะถูกเยี่ยเทียนจุดไฟเผาจนอกสั่นขวัญแขวน แต่เวลานี้มันรู้สึกว่าเยี่ยเทียนคือคนที่น่าเชื่อถือที่สุดแล้ว
“แกเดินช้าเกินไปหรือเปล่า อย่างนี้เมื่อไรพวกเราจะไปถึงเล่า?”
หลังจากนำกระเป๋าหนังที่ใส่พลอยวิเศษธาตุไม้ผูกไว้ที่เอวแล้ว เยี่ยเทียนจึงขมวดคิ้วมองไปที่ภูติต้นไม้ที่ขยับเขยื้อนอย่างเชื่องช้า
……………………………