หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 842 ภูติภูเขา
เกี่ยวกับบันทึกของภูติภูเขาและภูติต้นไม้ที่เยี่ยเทียนรู้มานั้น ภูติประเภทนี้มีการเคลื่อนไหวเร็วเหมือนปีศาจ แต่ร่างขนาดมหึมาของภูติต้นไม้เวลาที่ขยับเดินนั้น กลับช้าเป็นอย่างมาก ทำให้เยี่ยเทียนมองแล้วต้องขมวดคิ้ว
ภูติต้นไม้หยุดร่างกายที่กลมของมัน แล้วจึงส่งเสียงเข้าไปในสมองของเยี่ยเทียน
“ข้ากลัวว่าเจ้าจะตามไม่ทัน!”
สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนคาดไม่ถึงก็คือ ภูติต้นไม้นั้นคิดแทนเขา จากนั้นเขาจึงยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า
“แกรีบวิ่งไปข้างหน้าได้เต็มที่เลย ต่อให้เร็วกว่านี้ฉันก็ตามทัน”
การเหาะเหนือเกาะแห่งนี้ถูกจำกัดด้วยค่ายกล ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดๆ ล้วนไม่สามารถเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ แต่การเหาะบนท้องฟ้าในระดับต่ำนั้นกลับไม่เป็นไร เยี่ยเทียนเพียงแค่กลัวว่าจะรบกวนสัตว์ร้ายและตัวประหลาดที่อยู่บนเกาะแห่งนี้ เขาจึงเลือกที่เดินจะเข้ามาในป่าแทน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ต้องใช้เวลาสิบกว่าวันกว่าจะเดินมาถึงที่นี่
“ได้ อย่างนั้นข้าเดินไปก่อนนะ!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ภูติต้นไม้จึงชี้บอกทาง แล้วจึงพิงเข้าใกล้กับกิ่งไม้ที่ห้อยลงมาจากต้นหม่อนโบราณ จากนั้นร่างกายขนาดใหญ่มหึมาก็หลอมรวมเข้าไปในกิ่งก้านที่ใหญ่เท่าแขนของเด็กอย่างน่าประหลาดใจ แล้วก็หายวับไปต่อหน้าของเยี่ยเทียน
“เจ้ารีบตามมาสิ!”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังมองด้วยความเหม่อลอยนั้น ในระยะห่างสี่ห้าร้อยเมตร ร่างของภูติต้นไม้ก็ปรากฏออกมาจากกิ่งไม้อีกครั้ง เถาวัลย์สิบกว่าสายลอยขึ้นไปเต็มท้องฟ้า ราวกับว่ากำลังกวักมือเรียกเยี่ยเทียน
“แบบนี้ก็ได้เรอะ?”
เมื่อเห็นร่างของภูติต้นไม้โผล่ออกมา เยี่ยเทียนจึงเข้าใจทันที ในฐานะจิตวิญญาณแห่งพืชหญ้า พวกมันสามารถใช้หญ้าพวกนี้เป็นตัวรองรับได้ ขอเพียงที่ไหนมีต้นไม้ใบหญ้า ภูติต้นไม้ก็สามารถไปมาได้อย่างอิสระ ดังนั้นในสถานที่แบบนี้ หากภูติต้นไม้คิดจะหนีล่ะก็ เยี่ยเทียนก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้
ต้นหม่อนโบราณ ก็เหมือนกับประเทศที่เป็นอิสระ ไม่ว่าจะบนท้องฟ้าหรือบนพื้นดิน ล้วนมีกิ่งก้านใบไม้ของมันกระจายไปทุกพื้นที่ เยี่ยเทียนเงยหน้ามองพักหนึ่ง คิดว่าการใช้ปราณแท้เดินเหิน สู้ใช้สองเท้าวิ่งจะเร็วกว่า
จากนั้นร่างของเยี่ยเทียนก็ขยับ ร่างกายของเขาก็หายไปทันทีหลังจากที่ก้าวขาออกไป ตอนที่ปรากฏร่างอีกครั้ง ก็ห่างออกมาระยะหนึ่งร้อยกว่าเมตรแล้ว จากนั้นขาทั้งสองก็เดินสลับกันไปมาแซงหน้าภูติต้นไม้ไปในชั่วพริบตา ทิ้งมันให้อยู่ข้างหลัง
“อยู่ที่นี่เจ้าวิ่งชนะข้าไม่ได้หรอก!”
ภูติต้นไม้ไร้เดียงสาเหมือนเด็กอายุห้าหกขวบ เมื่อเห็นเยี่ยเทียนวิ่งแซงหน้ามัน มันจึงรีบตะโกนและไล่ตามไปทันที วิ่งสลับกันไปข้างหน้ากับเยี่ยเทียน เล่นกันอย่างสนุกสนาน คาดว่าแม้แต่เรื่องที่จะไปสู้กับภูติภูเขานั้นก็คงลืมไปแล้ว
“บ้าเอ๊ย เจ้านี้พูดจาเชื่อไม่ได้จริงๆ!”
เดิมทีได้ยินภูติต้นไม้บอกว่าจะมาถึงที่อยู่ของภูติภูเขาได้ภายในหนึ่งวัน แต่เยี่ยเทียนกลับวิ่งติดต่อกันสองวันโดยไม่ได้พักเลยเพิ่งพบว่า ความใหญ่โตของต้นหม่อนโบราณ มากเกินกว่าจินตนาการของเขาเป็นอย่างมาก การวิ่งนับร้อยกิโลเมตรตลอดสองวันนี้ ก็ยังคงไม่พ้นอาณาเขตการปกคลุมของต้นไม้โบราณสักที
“ฮ่าๆ ข้าได้ที่หนึ่ง!” เช้าตรู่วันที่สาม ภูติต้นไม้ก็ปรากฏตัวอยู่ตรงเขตแดนการปกคลุมของต้นไม้โบราณ พร้อมกับเถาวัลย์นับสิบสายที่โบกไปมา เห็นได้ชัดว่ามันดีใจเป็นอย่างมาก
“มู่โถว (ภูติต้นไม้) ภูติภูเขาที่แกบอกอยู่ตรงนั้นใช่มั้ย?”
เยี่ยเทียนรีบตามมาที่แนวชายป่า ทอดสายตามองไปข้างหน้า แล้วทั้งตัวของเขาก็ตกตะลึง
เพราะมันไม่เหมือนกับป่าไม้ที่แน่นขนัดไปด้วยธาตุไม้ แต่ตรงหน้าเยี่ยเทียนนั้น กลับเต็มไปด้วยโลกของก้อนหิน
เนินเขาแต่ละลูกทอดยาวเหยียดคดเคี้ยวติดต่อกันนับพันเมตร ถึงแม้จะยังมีดินอยู่ข้างบน แต่กลับมีต้นพืชน้อยมาก แต่ก็ไม่ได้ให้คนรู้สึกถึงความรกร้างว่างเปล่า ก้อนหินหลากสีสัน ก่อรวมกันเหมือนภาพวาดอันงดงามราวกับคลื่นที่ขยายวงกว้างออกไป
เมื่อเดินไปข้างหน้าประมาณหนึ่งร้อยกว่าเมตร ก้อนหินและพื้นดินที่เหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้า ความรู้สึกทั้งหนักและหนาพลันเกิดขึ้นมา ทำให้หัวใจของเยี่ยเทียนสั่นสะท้าน
“สือโถว (ภูติภูเขา) ออกมา ออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”
ภูติต้นไม้ตะโกนเสียงดังขณะเดินตามหลังเยี่ยเทียน แต่หลังจากออกมาจากอาณาเขตของต้นหม่อนโบราณแล้ว ความเร็วในการเคลื่อนไหวของมันช้าลงมากอย่างเห็นได้ชัด จึงไม่ใช้ลำต้นทั้งสองข้างที่เหมือนขาเดินอีกต่อไป แต่ขยายเถาวัลย์สิบกว่าสายออกมาจากภายใน เพื่อลากร่างของมันให้เดินไปข้างหน้า
ลักษณะภูมิประเทศของที่นี่กว้างใหญ่มาก หลังจากภูติต้นไม้ตะโกนออกไป ก็ได้ยินเสียงสะท้อนกลับมาจากในภูเขาหิน ตอนที่ภูติต้นไม้ตะโกนออกไปนั้น เยี่ยเทียนก็ได้ปล่อยพลังจิตออกไปสำรวจสถานการณ์ภายในบริเวณหนึ่งกิโลเมตรอย่างระมัดระวัง
หลังจากที่เยี่ยเทียนสำรวจแล้วไม่พบอะไรนั้น ภูติต้นไม้ก็จ้องมองไปยังทิศทางหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า
“มันมาแล้ว มันอยู่ตรงนั้น!”
“ทำไมถึงหลบการสำรวจจากพลังจิตของฉันได้?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็ตกตะลึง มองไปยังทิศที่ภูติต้นไม้ชี้ ที่นั่นคือเนินเขาเล็กๆ สีดำเข้มลูกหนึ่ง มีความสูงประมาณสิบกว่าเมตร ไม่มีต้นหญ้างอกอยู่บนนั้นเลย
ความจริงพิสูจน์แล้วว่าภูติต้นไม้ไม่ได้พูดผิด เนินเขาที่อยู่ห่างจากเยี่ยเทียนและภูติต้นไม้ ไปสองร้อยกว่าเมตรนั้น จู่ๆ ก็เกิดการเคลื่อนไหวผิดปกติ อย่างแรกคือมีศีรษะขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาจากพื้นดิน และสิ่งที่ตามมาจากความสูงของศีรษะแล้ว ก็มีร่างกายที่มีมือเท้าทั้งสี่ ปรากกฎอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียน
รูปร่างของภูติภูเขานี้ใหญ่กว่าภูติต้นไม้มาก มีความสูงมากถึงยี่สิบกว่าเมตร นอกจากนี้ยังมีแขนขาครบทุกประ การ ดูเหมือนจะมีพลังงานมหาศาลที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในร่างกาย นี่คือสิ่งที่เยี่ยเทียนไม่เคยเห็นมาก่อน ถ้าหากเขาเดาไม่ผิด นี่คงจะเป็นปราณวิเศษของธาตุดิน
เมื่อสัมผัสถึงปราณวิเศษที่หนาแน่น ปราณแท้ภายในร่างกายของเยี่ยเทียนก็ดูคึกคักมีชีวิตชีวาขึ้นมา ปราณวิเศษที่อบอวลอยู่ในอาณาบริเวณของดินผืนนี้ ได้เอ่อล้นเข้าไปภายในร่างกายของเขาอย่างไม่ขาดสาย แต่เนื่องจากมีปริมาณน้อยเกินไป พอเข้าไปในร่างกายแล้ว จึงถูกปราณแท้ทั้งสี่ธาตุของเยี่ยเทียนหลอมรวมกันจนหมด
“ถูกแล้ว นี่คือปราณวิเศษแห่งผืนดิน แต่การดูดซับแบบนี้มันช้าเกินไปจริงๆ!”
ถึงแม้ปราณแท้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่เยี่ยเทียนกลับดีใจมาก ถ้าหากสามารถหลอมรวมปราณวิเศษของธาตุดินได้ทั้งหมด คาดว่าวรยุทธของเขาจะต้องพัฒนาไปอีกขั้นแน่นอน
“จอมทึ่มอย่างแก มาหาข้าทำไม?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังดูดซับปราณวิเศษอยู่นั้น ก้อนหินที่กลายร่างเป็นมนุษย์ยักษ์นั่นก็พูดกับภูติต้นไม้ ภูติภูเขาที่มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่ากว่าภูติต้นไม้ เมื่อมองดูแล้วจึงดูน่าเกรงขามมากกว่า โดยเฉพาะกำปั้นที่มีขนาดเท่าอ่างอาบน้ำทั้งสองข้างนั้น ให้ความรู้สึกสั่นสะเทือนมากกว่าแขนที่เป็นเถาวัลย์ของภูติต้นไม้เสียอีก
“คนโง่ตัวเดียวยังไม่พอ แถมยังพาเจ้าตัวเล็กมาด้วย?”
ภูติภูเขาก็ใช้กระแสจิตพูดเช่นกัน แต่วิธีของมันนั้นมีความพิเศษเป็นอย่างมาก พลังจิตนั้นสั่นสะเทือนอากาศที่อยู่รอบทิศ ทำให้เกิดเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหว
“ระดับเซียนเทียนขั้นปลาย วรยุทธของมันคือระดับเซียนเทียนขั้นปลาย?”
หัวใจของเยี่ยเทียนสั่นสะท้าน ร่างกายค่อยๆ ถอยหลังไปไกลสิบกว่าเมตร ขณะเดียวกันก็แอบใช้กระแสจิตส่งไปยังภูติต้นไม้ โลกที่เต็มไปด้วยภูเขาหินและผืนดิน หากต้องต่อสู้กับภูติภูเขา ต่อให้เยี่ยเทียนเลื่อนขั้นได้ในตอนนี้ เกรงว่าไม่มีโอกาสเอาชนะได้
“เจ้าน่ะสิโง่ ภูติภูเขา ข้ามีชื่อแล้ว ข้าชื่อมู่โถว!”
ภูติต้นไม้โบกแขนไปมา พร้อมกับน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เพราะพวกมันเกิดมาจากปราณบริสุทธิ์จากพลังแห่งฟ้าดินเสียส่วนใหญ่ จึงไม่มีพ่อแม่ ดังนั้นจึงไม่มีชื่อเป็นธรรมดา โดยเฉพาะสตินึกรู้ของภูติต้นไม้ที่เกิดมาไม่นาน จึงไม่เข้าใจการตั้งชื่อให้กับตัวเอง
“เป็นเจ้าคนนั้นตั้งชื่อให้แกใช่ไหม?” ร่างของภูติภูเขาเดินมาข้างหน้าสองสามก้าว ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนขึ้นมาทันที
“เจ้ามนุษย์ตัวเล็ก นี่คือเรื่องระหว่างข้ากับมัน เจ้าไม่ต้องเข้ามายุ่ง!”
“หืม? แกรู้ว่าข้าเป็นมนุษย์? แกรู้ได้ยังไง?”
ดวงตาของเยี่ยเทียนสว่างขึ้นทันที เขาไม่คิดว่าภูติภูเขาตนนี้จะรู้จักเรียกคำว่า “มนุษย์” จึงมีความหวังขึ้นมาทันที บางทีบนเกาะเซียน “เผิงไหล” นี้อาจจะมีมนุษย์คนอื่นอาศัยอยู่
กำปั้นขนาดใหญ่ของภูติภูเขาโบกไปมา แล้วพูดคำรามใส่เยี่ยเทียนว่า
“ข้าเคยเจอมนุษย์คนหนึ่งมาก่อน ก็เลยรู้จัก เจ้าตัวเล็ก เจ้ายังเก่งไม่สู้คนคนนั้น ถ้าคิดจะมาหาเรื่องข้าล่ะก็ ข้าจะใช้กำปั้นทุบเจ้าให้ตายไปเลย!”
“แกเคยเห็นคนคนนั้นตั้งแต่เมื่อไร? เขาใส่เสื้อผ้าแบบนี้ใช่ไหม?”
เยี่ยเทียนถอนหายใจ ส่งกระแสจิตไปที่ภูติภูเขาเพื่อบอกลักษณะของจางซันเฟิง ถ้าหากเขาเดาไม่ผิด คนที่ภูติภูเขาพูดถึงน่าจะเป็นท่านนักพรตจางที่ดับขันธ์ไปแล้ว
“คือเขา เจ้า…เจ้ารู้จักเขารึ?”
หลังจากมองเห็นภาพของจางซันเฟิงแล้ว ใบหน้าของภูติภูเขาแสดงความหวาดกลัวออกมา แล้วถอยหลังติดต่อกันสิบกว่าเมตร จากนั้นจึงใช้ศีรษะขนาดใหญ่กวาดมองไปรอบๆ ถ้าเห็นว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล มันก็จะชิ่งหนีก่อน
เมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน ภูติภูเขาเพิ่งจะเกิดสตินึกรู้ได้ไม่นาน ตอนนั้นพลังของมันก็พอๆ กับภูติต้นไม้ จึงถูกจางซันเฟิงใช้วิชาสะกดเอาไว้ ทำให้ทั่วทั้งร่างสูญเสียการเชื่อมต่อกับพื้นดิน กระทั่งจะหนีก็ยังทำไม่ได้
แม้ว่าจะผ่านไปสองร้อยกว่าปีแล้ว แต่พอภูติภูเขานึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา มันก็ยังคงหวาดกลัวไม่หยุด เพราะพลังที่แฝงอยู่ในร่างของเจ้าตัวเล็กคนนั้น ราวกับเป็นพลังอานุภาพที่ทำลายล้างโลกได้
“รู้จักอยู่แล้ว แค่ฉันตะโกน เขาก็จะมาทันที!”
เมื่อเห็นภูติภูเขาทำท่าทางลับๆ ล่อๆ เยี่ยเทียนจึงกลั้นหัวเราะเอาไว้ แล้วจึงแอบอ้างชื่อของท่านนักพรตมาข่มขู่ คาดว่าท่านนักพรตจางคงจะไม่ถือสาที่เยี่ยเทียนเอาชื่อของเขามาใช้
“ข้า…ข้าไม่ได้หาเรื่องเจ้า ทำไมเจ้าถึงมาช่วยมัน?”
การใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณแห่งพืชหญ้าหรือต้าเยาและสัตว์ประหลาดที่มีสตินึกรู้ ล้วนแต่มีความคิดความอ่านที่ไร้เดียงสามาก พวกมันไม่เคยสงสัยคำพูดของอีกฝ่ายเลยสักนิด
เยี่ยเทียนไม่ได้ตอบภูติภูเขา แต่กลับย้อนถามว่า
“แกเกิดก่อนมันตั้งนาน แถมยังมีปราณวิเศษเหมือนกับพลังแห่งฟ้าดิน ทำไมแกถึงรังแกมันด้วยเล่า?”
“ข้าเกลียดกลิ่นอายที่อยู่บนตัวของมันมาก ข้าไม่ชอบกลิ่นแบบนั้น”
คำพูดของภูติภูเขาทำให้เยี่ยเทียนพยักหน้า และแล้วก็เป็นแบบนี้จริงๆ ธาตุไม้ข่มธาตุดิน ไม่ใช่ว่าภูติต้นไม้จะไม่พอใจภูติภูเขา ทว่าภูติภูเขาต้องถูกภูติไม้ข่มมาตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นมันจึงไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อภูติต้นไม้
“พวกแกก็ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันไม่ได้เหรอ? ทำไมถึงต้องสู้กันด้วย?”
เยี่ยเทียนไม่อยากเป็นคนไกล่เกลี่ย ประเด็นคือจางซันเฟิงได้ดับขันธ์เป็นเซียนไปนานแล้ว หากเกิดการต่อสู้กันในสถานที่แห่งนี้ เกรงว่าเขากับภูติต้นไม้ร่วมมือกัน ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของภูติภูเขา และถ้าหากแพ้ขึ้นมา เยี่ยเทียนก็จะไม่ได้พลอยวิเศษธาตุดินไปด้วย
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว สีหน้าของภูติภูเขาลังเลเล็กน้อย มันไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับคนคนนั้นจริงๆ เพราะว่าเพียงพลังปราณชีวิตที่รั่วไหลออกมาจากคนคนนั้น ก็บีบรัดมันจนเกือบขวัญหนีดีฝ่อแล้ว
………………………………..