หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 845 เจี่ยตัน
“ฮูม!”
เสียงคำรามของสัตว์ประหลาดดังกึกก้องไปทั่วทั้งเกาะ สั่นสะเทือนจนคลื่นบนฟากฟ้าและมหาสมุทรเคลื่อนไหวไปตามกัน เยี่ยเทียนที่เข้าสู่ภวังค์มานาน ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงคำรามกึกก้อง จึงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
“นี่เราอยู่ที่ไหน?”
หลังจากลืมตาเยี่ยเทียนออกจะงุนงงเล็กน้อย การเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงชนิดอธิบายไม่ถูกฉายออกมาจากแววตาของเขา ในโลกของห้าธาตุ ประสบการณ์ที่ร่างกายของเยี่ยเทียนได้รับและแสดงออกด้วยปราณวิเศษทั้งห้านั้น ราวกับผ่านมาเป็นพันหมื่นปี
“ตื่นจนได้เรอะ? ออกมาได้แล้ว ฉันต้องปิดภูเขาลูกนี้แล้ว!”
เห็นว่าร่างกายของเยี่ยเทียนเริ่มขยับ ภูติภูเขาที่รออยู่ด้านนอกมาตลอดก็ตื่นเต้นยินดี หลายวันนี้ที่เยี่ยเทียนเก็บตัวนั่งสมาธิ พลอยวิเศษรอบตัวเขาต่างค่อยๆ กลายเป็นฝุ่นผง สูญไปอย่างน้อยยี่สิบกว่าชิ้น จนภูติภูเขากลัวว่าหากยังปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป กระแสพลอยวิเศษคงจะถูกเยี่ยเทียนสูบไปจนหมด
“หืม? แกพูดกับฉันอยู่เหรอ?”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว ยืดตัวลุกขึ้น สองดวงตาที่ราวกับเลือนพร่าด้วยชั้นดาวมองมายังภูติภูเขา แรงกดดันอันไร้รูปร่างพลันพุ่งตรงออกไป แรงสะเทือนที่มาจากจิตวิญญาณนั้น ทำให้ภูติภูเขาถอยกรูดออกไปถึงหลายร้อยเมตร
“ฉันนึกออกแล้ว แกคือภูติภูเขา และฉันอยู่กลางเกาะ “เผิงไหล…”
มองไปยังร่างขนาดมหึมาของภูติภูเขาแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนเข้าสู่ภวังค์ก็ปรากฎขึ้นในสมองของเยี่ยเทียน ตัวเขากำลังอยู่ ณ ใจกลางขอบเขตกระแสพลอยยิ่งใหญ่แห่งนี้ และปราณวิเศษธาตุดินอันเข้มข้นเกือบถึงแก่น ก็กำลังทะนุบำรุงกายเนื้อของเขา
“ไม่รู้ว่าคราวนี้อยู่ในภวังค์ไปนานแค่ไหน?”
เยี่ยเทียนลุกขึ้น ฝุ่นผงที่อยู่บนตัวและหัวพลันหล่นร่วงกราว พอใช้มือปัดเส้นผมตนเองที่หลังบ่าแล้ว เยี่ยเทียนยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้
โบราณว่าฝึกปราณแท้ไร้เวลาจำกัด เยี่ยเทียนกลัวจริงๆ ว่าเมื่อตัวเองตื่นขึ้นมา เวลาจะผ่านไปนับร้อยปี ถ้าเป็นเช่นนั้นแม้จะฝึกฝนจนบรรลุเต๋า คงไม่อาจเยียวยาความเจ็บปวดที่สูญเสียญาติสนิทหรือคนรักได้ ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ดิ่งเข้าสู่สภาวะฝึกฝน
เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่เยี่ยเทียนจะควบคุมได้ ทุกครั้งที่หลอมรวมปราณวิเศษแต่ละธาตุ เขามักสูญเสียการควบคุมร่างกายและสติสัมปชัญญะเป็นประจำ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ที่เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าตัวเองฝึกฝนวิชาอยู่ที่นี่เป็นเวลานานเท่าไหร่
ภูติภูเขาเห็นว่าเยี่ยเทียนดูเหมือนฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว จึงเดินกลับมา เอ่ยปากอย่างระมัดระวังว่า
“การเปลี่ยนแปลงของปราณวิเศษใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว นับว่าไม่ยาวนานเท่าไหร่!”
ภูติภูเขาสามารถสัมผัสได้ว่า ปริมาณพลังภายในร่างกายของเยี่ยเทียนไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าเขา แต่สิ่งที่ทำให้มันประหลาดใจก็คือ พลังงานนั้นกลับสามารถบังคับเขาได้ตามธรรมชาติ เมื่อเผชิญหน้ากับเยี่ยเทียน ภูติภูเขาจึงรู้สึกคล้ายถูกมัดมือมัดเท้าไว้อยู่เสมอ
“อ้อ งั้นช่วงเวลาที่ฉันอยู่ในภวังค์ก็ไม่ถึงปีละสิ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วตกใจเล็กน้อย ช่วงเวลาที่อยู่ในภวังค์คราวนี้ไม่ได้ยาวนานขนาดนั้น นั่นเพราะจากบันทึกบนคัมภีร์ไม้ของจางซันเฟิง ทุกครั้งพอผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง ปราณวิเศษจำนวนมากบนเกาะจะกลับกลายเบาบางลงเล็กน้อย โดยจะเกิดขึ้นติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งปี
ตอนที่เยี่ยเทียนมาถึงที่นี่ครั้งแรก การเปลี่ยนแปลงของปราณวิเศษก็เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นานนัก อีกทั้งกำลังจะจบลงเวลานี้ จึงหมายความว่าตนเองฝึกฝนวิชาอยู่ที่นี่อย่างมากเป็นเวลาแปดถึงเก้าเดือน
พอคิดถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนก็ปล่อยวางลงทันใด แล้วจึงใช้สติมองเข้าภายใน ตรวจดูสถานการณ์ในร่างกายตน จนสามารถสัมผัสได้ว่า ตอนนี้ภายในเส้นลมปราณวิเศษของร่างกาย ไม่หลงเหลือความรู้สึกหนาหนักกดทับเอาไว้แล้ว แต่เป็นความเบาสบายอย่างที่สุด
“หืม? เกิดอะไรขึ้น ทำไมหยินหยางตันเถียนถึงหายไปล่ะ?”
พอจิตของเยี่ยเทียนเข้าสู่จุดตันเถียน ใบหน้าก็ขุ่นเครียด นั่นเพราะเขาพบว่า จุดหยินหยางตันเถียนที่คงอยู่มาตลอดนับตั้งแต่ตนเองเข้าสู่ระดับเซียนเทียนกลับหายไป และถูกแทนที่ด้วยลูกกลมสีทองคำจางลูกหนึ่ง
ลูกกลมสีทองคำจาง หยุดอยู่ตรงกลางจุดตันเถียนของเยี่ยเทียน รอบด้านของมันมีปราณวิเศษหลากหลายสีสันกระจัดกระจาย ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ล้วนอยู่ภายใน เปล่งประกายสีสันแตกต่างกัน ราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าคอยปกป้องดวงตะวัน
“สีของปราณวิเศษก็เปลี่ยนไปด้วยหรือ?”
ลูกกลมสีทองคำอ่อนนั้น ปรับปราณวิเศษที่ไหลเข้าไปในจุดตันเถียนให้กลายเป็นปราณแท้สีเหลืองจางชนิดหนึ่ง ย้อนกลับไปทะนุบำรุงในลมปราณของเยี่ยเทียน แม้จะยังไม่ได้ทดสอบพละกำลังของปราณแท้ชนิดนี้ แต่เยี่ยเทียนรู้ว่า กำลังของตนเองคงจะพุ่งพล่านมากกว่าเก่าขึ้นหลายสิบเท่า
และมีดบินคู่กายด้านบนตันเถียนของเยี่ยเทียน ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง สีเงินขาวตลอดทั้งตัวแปรเปลี่ยนเป็นสีทองอ่อน อีกทั้งขนาดยิ่งดูราวหดลงอีกหลายส่วน อย่างไรก็ตามเยี่ยเทียนยังสามารถสัมผัสถึงพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวชนิดทลายฟ้าทลายดินที่อยู่ภายในมีดบินได้อย่างชัดเจน
“ระดับหลังเซียนเทียน คือขอบเขตจินตัน!”
เยี่ยเทียนเกิดกระจ่างแจ้งขึ้นมาในใจ เขาที่เคยอ่านบันทึกของจางซันเฟิงอย่างละเอียด อดระทึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ ระหว่างระดับเซียนเทียนจนถึงบรรลุจินตันสำเร็จมหามรรค ยังมีอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือระดับเจี่ยตัน
ระดับเจี่ยตันสามารถเรียกได้ว่าเป็นครึ่งก้าวของจินตันแล้ว ผู้ฝึกวิชาถึงขั้นเจี่ยตันร้อยทั้งร้อยจะได้ต้อนรับอัสนีสวรรค์จินตัน อีกทั้งเมื่อเทียบกับผู้ฝึกวิชาสุดยอดเซียนเทียน เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จผ่านอัสนีสวรรค์ยังสูงกว่ามากมาย
หลังจากเข้าสู่ขั้นเจี่ยตันแล้ว จะดูดซับปราณวิเศษอีกอย่างไม่หยุดหย่อน เข้าอกเข้าใจสัมผัสถึงมรรคผล พอฝึกฝนขับเคี่ยวเจี่ยตันไม่หยุดยั้ง จากปริมาตรแปรเปลี่ยนเป็นคุณภาพ ก็จะถึงขอบเขตของจินตันอัสนีสวรรค์นั่นเอง เพียงแค่ผ่านอัสนีสวรรค์ไปได้ ก็จะสามารถฝึกฝนจนบรรลุจินตัน สำเร็จมรรคผล
ติงหงเมื่อในอดีต อยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นปลายเท่านั้น ที่เขาไม่กล้าอาจหาญไประดับอัสนีสวรรค์ นั่นเพราะยังไม่กลายเป็นเจี่ยตัน ถ้าหากเวลานั้นเขาอยู่ระดับเจี่ยตัน แม้จะยังไม่ผ่านอัสนีสวรรค์ ก็ยังสามารถหลีกหนีแก่นวิญญาณ จนไม่ต้องพบจุดจบที่ม้วยมรณา
“ต่อให้เข้าสู่สุดยอดจินตันแล้วยังไง? หากไม่เข้าสู่ขอบเขตหยวนอิง ก็ยังหลีกหนีจากตรงนี้ไม่ได้!”
เยี่ยเทียนที่กำลังดีอกดีใจ พลันคิดถึงสิ่งที่จางซันเฟิงพบพาน ยังกลับกลายเป็นเปลี่ยวเหงาขึ้นมา ด้วยการคาดคำนวณของจางซันเฟิง เมื่อเข้าถึงระดับหยวนอิง จึงจะสามารถฉีกทำลายมิติ หลุดพ้นจากค่ายกลคุมขังแห่งนี้
และเวลานี้เยี่ยเทียนอยู่เพียงแค่ระดับเจี่ยตัน ยังห่างชั้นจากระดับหยวนอิงไม่รู้กี่ขั้น พลันอดหดหู่เศร้าหมองในใจไม่ได้ อารมณ์ความรู้สึกอันยากอธิบายแล่นกระทบในใจเขา ความตื่นเต้นที่ได้เลื่อนระดับก็สูญสลายไปอย่างไร้ร่องรอย เวลาเดียวกันนั้นเอง ปราณแท้ภายในร่างของเยี่ยเทียนเกิดสับสนว้าวุ่น สภาพจิตเหม่อลอยไปชั่วขณะ
“จางซันเฟิงออกไปไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเยี่ยเทียนจะออกไปไม่ได้เช่นกัน ชะตาของเรา ต้องเป็นเราที่กำหนดเอง!”
ทันใด ไอเย็นก็แผ่ออกมาจากภายในเจี่ยตัน กระตุ้นให้เยี่ยเทียนหนาวสั่น จิตพลันได้สติขึ้นมา ผู้ฝึกตน หากจิตใจไม่หนักแน่นมั่นคง อย่าว่าแต่ระดับหยวนอิงเลย เกรงว่ากระทั่งจินตันอัสนีสวรรค์ก็คงไม่อาจผ่านไปได้
“เมื่อครู่เสียงอะไรเหรอที่ปลุกให้ฉันตื่นขึ้นมา?”
เยี่ยเทียนถอนหายใจยาวเหยียด สะกดปราณแท้ที่สับสนวุ่นวายอยู่ภายในร่างกายเอาไว้ เงยหน้ามองภูติภูเขา
“เป็นเสียงของพวกอสูรร้ายเปล่งออกมาก่อนตายน่ะ!”
ภูติภูเขาเหลือบมองไปทางชายหาด มันผ่านประสบการณ์การปรับเปลี่ยนปราณวิเศษมาหลายต่อหลายครั้ง รู้ว่าทุกครั้งที่ถึงเวลานี้ มักจะมีสัตว์บางตัวที่เงยหน้าขึ้นมองหาความเป็นไปได้ ทดลองหนีออกไปจากที่นี่ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเลยที่ทำสำเร็จ
“ต้องเป็นปีศาจยักษ์ระดับหลังจินตันแน่ๆ!”
สามารถส่งเสียงที่ทำให้เยี่ยเทียนใจระทึกได้ นอกจากสิ่งมีชีวิตระดับสูงสุดบนเกาะนี้ ก็คงไม่มีคำอธิบายใดอื่น
รวบรวมสติสัมปชัญญะแล้ว เยี่ยเทียนก็มองไปทางภูติภูเขา เอ่ยปากว่า
“ฉันต้องการพลอยวิเศษจำนวน หนึ่ง แกไม่ว่าอะไรใช่ไหม?”
“แก…แกอย่าเอาไปหมดก็แล้วกัน”
ภูติภูเขาหน้าหุบ เยี่ยเทียนถามมันอย่างนี้ ต่อให้มันไม่พอใจก็คงพูดอะไรไม่ได้ แต่ก่อนเคยยืมพลังแห่งผืนแผ่นดินมาควบคุมเยี่ยเทียน แต่เวลานี้กลับมีกระทั่งความรู้สึกเช่นนี้ ความกลมเกลียวระหว่างธาตุดินกับเยี่ยเทียน ดูท่าจะเหนือกว่ามันไปแล้ว
“วางใจเถอะ ฉันแค่ต้องการนิดหน่อยเท่านั้น!”
หลังจากเข้าสู่ระดับเจี่ยตันแล้ว เยี่ยเทียนเองก็รู้ว่า ต่อให้ตนเองนำกระแสพลอยวิเศษมาหลอมรวมทั้งหมด ก็ไม่สามารถทะลวงผ่านด่านหยวนอิงได้ในทันที เพราะความหยั่งรู้ของเขาที่มีต่อขั้นนั้นยังไม่เพียงพอ สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่ความเข้มข้นของปราณวิเศษจะสามารถกำหนดได้
พอยื่นมือออกไปคว้า พลอยวิเศษที่แผ่ลมปราณออกมาภายในระยะร้อยเมตร ก็ร่วงหล่นลงมาทีละชิ้น เป็นอย่างที่เยี่ยเทียนได้พูดเอาไว้ เขาเพียงหยิบพลอยคุณภาพดีเพียงสามสิบกว่าชิ้นเท่านั้น แล้วก็หยุดมือ จึงไม่ส่งผลกระทบใดต่อกระแสพลอยวิเศษทั้งหมด
“ขอบคุณมาก วันหลังฉันจะกลับมาหาแกอีก!”
หยิบพลอยวิเศษใส่ถุงหนังที่ช่วงเอวแล้ว เยี่ยเทียนก็ย่ำเท้าออกมาก้าวหนึ่ง แล้วทั้งร่างก็หายตัวออกมาจากตรงนั้น พอปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง ก็กลับมาถึงข้างกายภูติภูเขาแล้ว
“แกอย่ามาหาฉันอีกเลย ขืนมาหาฉันอีกครั้ง ดินแดนที่ฉันเกิดก็คงไม่เหลือแล้ว”
คำพูดของภูติภูเขาทำให้เยี่ยเทียนอดหัวเราะไม่ได้ ปีศาจเหล่านี้ถึงแม้จะพูดจาโผงผาง แต่ก็น่ารักกว่ามนุษย์หลายเท่า
“ได้สิ อย่าเจอกันอีกเลย!”
เยี่ยเทียนระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง เสียงหัวเราะดังสะท้อนไปมาระหว่างขุนเขา แต่ตัวกลับห่างไปร้อยลี้แล้ว หลังจากหลอมรวมปราณวิเศษธาตุดิน เยี่ยเทียนก็พบว่า เขาได้รู้ซึ้งถึงวิชาหายตัวจากธาตุทั้งห้า ขอเพียงมีดินแดนแห่งปราณวิเศษทั้งห้าอยู่ ก็สามารถไปมาได้อย่างอิสระ
ภูติภูเขาใช้เวลาวิ่งตลอดทางสองวันเต็ม แต่ด้วยวิชาพสุธาหลบหลีก หลังจากเวลาหนึ่งชั่วโมงสั้นๆ เยี่ยเทียนก็มาถึงชายป่า แต่ว่าทันทีที่เขาปรากฏตัว ก็ถูกพบโดยภูติต้นไม้ที่เฝ้ารออยู่ที่นั่นทันที
“ทำไมแกถึงไปนานนักล่ะ? หรือว่าเจ้าภูติภูเขากลั่นแกล้งแก?”
แตกต่างจากภูติภูเขาที่ถูกเยี่ยเทียนข่มขู่ ภูติต้นไม้กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกดีต่อเยี่ยเทียน นับแต่มันมีสติปัญญาก็ไม่เคยคบหากับสิ่งมีชีวิตอื่น นอกจากต้นหม่อนโบราณที่ถูกมันนับถือเป็นแม่ ภูติต้นไม้จึงเห็นเยี่ยเทียนเป็นคนสนิทใกล้ชิดที่สุดจากใจจริง
“จากนี้ไปอย่าไปทะเลาะกับมันอีกล่ะ ไปจากที่นี่ซะ แกไม่ใช่คู่มือของมันหรอก!”
เยี่ยเทียนยิ้มแล้วโยนพลอยวิเศษธาตุดินคุณภาพธรรมดาให้ภูติต้นไม้ พูดว่า
“ฉันต้องไปแล้ว ไว้วันหลังจะมาหาแกอีก หลังจากแกเอาของนี่หลอมรวมเข้าไปแล้ว หากเจอเจ้าภูติภูเขานั่นก็ไม่ต้องกลัวมันแล้วล่ะ!”
ธาตุทั้งห้าต่อต้านและต่างส่งเสริมซึ่งกันและกัน เดิมทีไม้ข่มดิน ถ้าหากภูติภูเขาสามารถหลอมพลอยวิเศษธาตุดินได้ ต่อให้เข้าไปยังเขตแดนของดินอีก ก็จะไม่ถูกภูติภูเขาข่มเหง ในทางกลับกันก็เป็นเช่นนั้น เพียงแต่ภูติภูเขาไม่เป็นมิตรกับเยี่ยเทียนเท่าไหร่ เขาจึงไม่ให้พลอยวิเศษธาตุไม้กับมัน
“แกจะไปแล้วเหรอ?” รากเถาวัลย์เส้นหนึ่งโอบรัดพลอยวิเศษก้อนนั้นไว้ ใบหน้าของภูติต้นไม้ฉายแววเศร้าสร้อย เถาวัลย์นับสิบเส้นสัมผัสร่างของเยี่ยเทียนอย่างแผ่วเบาราวหนวดปลาหมึก
……………………………………..