หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 848 เขตแดน
“ช่างเป็นอสูรที่ร้ายกาจ ถึงจะไม่แข็งแกร่งขนาดสิงห์ขนทองสองตัวนั้น ก็คงห่างชั้นกันไม่ไกล!”
หลังจากเข้าสู่ระดับเจี่ยตันแล้ว พลังสายตาของเยี่ยเทียนก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก จนเขาพอจะเห็นสถานการณ์ในพายุสายฟ้าราง ๆ มังกรน้ำตัวนั้นไม่ยี่หระในกระแสไฟที่กระหน่ำลงมาจากฟากฟ้า ทั่วทั้งร่างเปล่งประกายแสงไฟแปลบปลาบ ราวกับดูดซับพลังงานกระแสไฟเอาไว้ แม้แต่เกล็ดสักชิ้นก็ยังไม่ร่วงหล่นลงมา
แต่เห็นได้ชัดว่าความรุนแรงของค่ายกลยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ เมื่อเห็นว่ากระแสไฟธรรมดาไม่สามารถทำอะไรมังกรน้ำตัวนั้นได้ สายฟ้าที่กระหน่ำลงมาจากเบื้องบนจึงยิ่งรุนแรงมากขึ้น ลมปราณผนวกกับกระแสไฟแปลกประหลาดสีขาวระดับทลายฟ้าทะลายดิน กระหน่ำลงยังมังกรน้ำตัวนั้น
“ฮื่อ!”
เมื่อพายุสายฟ้าชุดนี้ฟาดลงมา มังกรน้ำกลับไม่สามารถต้านทานต่อไปได้ เลือดปรากฏบนตัวของมัน เกล็ดแข็งร่วงหลุดลงพื้น เปล่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
เห็นได้ชัดว่า เหล่าสัตว์ร้ายนั้นไม่อาจเทียบสติปัญญาของอสูรได้เลย
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถต้านทานได้ ร่างใหญ่โตของมังกรน้ำตัวนั้นก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาร่างใหญ่ยักษ์ขนาดร้อยเมตร ก็กลับกลายเหลือความยาวเพียงสามถึงสี่เมตรเท่านั้น และทันทีที่ร่างกายหดลง ก็วิ่งหนีออกจากขอบเขตพายุสายฟ้าเป็นระยะทางหลายร้อยเมตร โดยไม่ทันรอให้ประกายสายฟ้าครั้งที่สองส่องสว่าง ก็มุดเข้าไปในป่า ทั้งยังเก็บลมปราณอย่างมิดชิด
“ร้ายกาจ สุดท้ายขนาดอสูรระดับจินตัน ด้วยสายฟ้าระดับนี้ยังไม่สามารถต้านทานได้ “
เยี่ยเทียนตกตะลึงมองตาค้างจากในทะเล ด้วยวิทยายุทธ์ของเขา อย่าว่าแต่สายฟ้าครั้งที่สองเลย กับแค่พายุสายฟ้าชุดแรก เกรงว่าคงจะกระหน่ำโจมตีเขาจนไม่เหลือซาก แต่อสูรตัวนี้กลับต้านทานได้ด้วยตัวเปล่า หากไม่เห็นด้วยตาตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรเยี่ยเทียนก็คงไม่มีทางเชื่อ
อสูรตัวนั้นถึงแม้จะหนีไปแล้ว แต่สัตว์ประหลาดตัวอื่นๆ ที่ถูกโจมตีโดยค่ายกล ล้วนย่ำแย่ หลังจากพายุสายฟ้าชุดที่สองกระหน่ำลงมา ทั่วทั้งหาดทรายก็มีเสียงร้องครวญครางดังขึ้น เมื่อประกายไฟแผ่กระจายออกไป บนชายหาดก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตเหลืออยู่ กลิ่นเหม็นไหม้ระลอกนั้น ลอยมาไกลถึงบนทะเล โชยมาแตะจมูกพวกเยี่ยเทียน
อีกทั้งสัตว์ร้ายไม่กลัวตายเหล่านั้นที่อยู่ไกลออกไป เกิดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจนได้ ต่างถอยหนีไปราวกับสายน้ำ แม้จะมีเสียงข่มขู่คำรามจากสิงห์ขนทองในป่าเขา ก็ไม่มีสัตว์ประหลาดตัวไหนกล้าย่างกรายมาทางหาดทรายอีกเลย
“ให้ตายสิ หอมจริงๆ”
ได้กลิ่นหอมที่ลอยโชยมาแล้ว เยี่ยเทียนอดกลืนน้ำลายไม่ได้ ถึงแม้เขาจะไม่จำเป็นต้องกินอาหารเพื่อบำรุงร่างกายนานแล้ว แต่เยี่ยเทียนที่ชื่นชอบเนื้อทุกประเภทมาตั้งแต่เด็ก ยังถูกดึงดูดด้วยกลิ่นนี้จนท้องร้องโครกคราก
“ท่านอาจารย์ ให้ผมไปเอาซากสัตว์สักตัวกลับมาไหมครับ?”
หลังจากได้ยินคำพูดเยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่ก็หิวเช่นกัน ครึ่งปีที่ผ่านมาเขาประทังชีวิตด้วยปลาทะเลมาตลอด จากปลายผมจรดฝ่าเท้าล้วนเป็นกลิ่นคาวของปลาทะเล เหลยหู่อยากกินจนน้ำลายไหลกลับลงท้อง แทบจะลืมรสชาติภายในปาก
เมื่อเห็นว่าสัตว์ร้ายเหล่านั้นไม่กล้ามายังหาดทรายชั่วคราว เหลยหู่ก็เริ่มใจกล้าขึ้นไม่น้อย โยนหินถามทาง มองมายังเยี่ยเทียนทันที ขอเพียงอีกฝ่ายตกลง ก็จะพายแพนิรภัยเข้าสู่ชายฝั่ง
“ฉันไปเองดีกว่า ในป่ามีพวกน่ากลัวอยู่หลายตัว ฉันกลัวแกจะสู้มันไม่ได้”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ระยะทางระหว่างหาดทรายกับป่าห่างเพียงไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น ไม่ว่าจะสู้กับสิงห์ขนทองหรือมังกรน้ำ เหลยหู่ก็คงไม่อาจต้านทาน แม้ตัวเองจะไม่ใช่คู่มือของพวกมัน แต่ก็ยังพอหนีกลับลงทะเล
พูดพลาง เยี่ยเทียนก็ก้าวออกไป แล้วร่างกายก็ไปปรากฏอยู่บนชายหาดห่างไปสามร้อยเมตร เพียงจรดเท้าลงเบาๆ ก็มาถึงยังขอบหาดทราย
“ให้ตายสิ สายฟ้านี่ร้ายกาจจริงๆ!” แม้ว่าพายุสายฟ้าจะหมดไปแล้ว แต่มองไปยังซากศพริมชายหาดที่ราวกับเถ้าถ่านเหล่านั้น เยี่ยเทียนยังอดเศร้าสลดไม่ได้ สายฟ้าระดับนี้ เกรงว่าคงจะมีแต่ยอดฝีมือระดับหยวนอิงที่สามารถต้านทานได้เท่านั้น?
อย่างไรก็ตามสัตว์ร้ายภายในค่ายกลโจมตีมีมากมายหลายชนิด และไม่ใช่ทุกตัวที่ถูกเผาจนเกรียม เยี่ยเทียนพลิกดูสักพัก ก็พบว่ามีสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งรูปร่างคล้ายตัวนิ่ม ผิวด้านนอกของมันถึงแม้มีสีราวกับเถ้าถ่าน แต่กลับไม่ไหม้ถึงเนื้อภายใน
“หึๆ กลับไปโรยเกลือสักหน่อย ต้องอร่อยแน่นอน!”
เยี่ยเทียนหัวเราะหึๆ ยื่นมือไปหยิบตัวนิ่มตัวนั้น เพียงแต่ขณะที่หันตัวกำลังจะจากไปนั้นเอง ร่างกายพลันแข็งทื่อ
หันไปด้วยคอแข็งๆ แล้วเยี่ยเทียนก็พบว่า ที่ว่างห่างจากตัวเองร้อยกว่าเมตรไปทางด้านหลัง อสูรสามตัวนั้นกำลังมองมายังตัวเองด้วยความสงสัย
สิงห์ขนทองสองตัวนั้นยังมีขนาดเท่าเดิม แต่ไอ้ตัวเล็กในอ้อมอกของแม่โผล่หัวออกมามองเยี่ยเทียนด้วยความสงสัย ส่วนมังกรน้ำตัวนั้นขนาดเพียงสองสามร้อยเมตร ใช้หางยันพื้นประคองร่างตัวเองยืนขึ้น
หลังจากได้อ่านบันทึกของจางซันเฟิงแล้ว เยี่ยเทียนก็รู้ว่า สติปัญญาของเหล่าอสูรไม่ได้น้อยไปกว่าพวกมนุษย์ จึงยิ้มเจื่อนๆ พูดว่า
“ผู้อาวุโสทั้งหลาย มี…มีอะไรหรือ? ผมแค่อยากหาอะไรกินเท่านั้น!”
“เจ้ามนุษย์ พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้าย!”
สิงห์ขนทองตัวผู้มองมาทางเยี่ยเทียน ส่งเสียงที่มีจังหวะประหลาดออกมาจากปาก สามารถเรียบเรียงเป็นภาษาจีนกลางให้เยี่ยเทียนฟังเข้าใจได้
“ในอดีตพวกเรารู้จักมนุษย์ผู้หนึ่ง แต่ว่าเขาแข็งแกร่งกว่าพวกเจ้าสองคนมาก พวกเจ้ามายังที่นี่ได้อย่างไร?”
“ผมก็ไม่รู้ว่าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร ดูเหมือนมีช่องว่างระหว่างมิติ แล้วผมก็หลุดเข้ามาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวครับ”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วสีหน้ายิ้มเจื่อน ในใจลึก ๆ แค้นซ่งเซียวหลงถึงกระดูก ถ้าหากไม่ใช่กลุ่มทหารรับจ้างแม่ม่ายดำของหมอนั่น ป่านนี้ตัวเองคงนั่งกอดเมียอยู่ที่บ้านแล้ว มีหรือจะพลัดหลงมาอยู่ที่แบบนี้
“รอยแยกของมิติ? ว่าแล้ว พวกเราเดาไว้ไม่ผิด” อสูรสองสามตัวมองหน้ากัน สีหน้ามีแววประหลาดใจ
“ผู้อาวุโสทุกท่าน ที่ท่านใช้ค่ายกลโจมตีสัตว์ร้ายเหล่านั้น เพื่อใช้ปราณวิเศษควบคุมค่ายกลใช่หรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าอสูรเหล่านี้ไม่ใช่พวกกระหายเลือด ความกังวลภายในใจของเยี่ยเทียน ก็ค่อยคลายลง ถ้าหากพวกมันเป็นอันตรายต่อเขา แม้จะไม่ใช้ค่ายกล ก็ยังสามารถสังหารเขาก่อนแล้วค่อยจากไป
สิงห์ขนทองพยักหน้า มองไปยังเยี่ยเทียนอย่างชื่นชม กล่าวว่า
“ถูกต้องแล้ว น่าเสียดายคนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้าไม่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นหากรวบรวมกำลังของพวกเรา ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะแหกค่ายกลนี้ออกไป…”
บนเกาะนี้ ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยเทียนหรือว่าอสูรเหล่านี้ ล้วนราวกับถูกคนคุมขังอยู่ด้วยกัน สิงห์ขนทองเองก็ไม่ได้ปิดบังอะไร บอกเล่าแผนการของพวกมันต่อเยี่ยเทียนอย่างตรงไปตรงมา
ที่แท้ อสูรเหล่านี้ล้วนฝึกวิชามาหลายพันปีแล้ว จึงรู้จักเกาะนี้และค่ายกลคุ้มกันเกาะราวกับฝ่ามือตัวเอง ประกายไฟเหล่านั้นถึงแม้ร้ายกาจ แต่ทุกครั้งที่มันส่องแสง ล้วนต้องใช้ปราณวิเศษจากฟ้าดินมาทดแทน
พวกมันรู้แน่ชัดว่าเวลาไหนที่ค่ายกลนี้จะอ่อนแอลง ดังนั้นทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหวของปราณวิเศษ ก็จะกระตุ้นให้สัตว์ร้ายเหล่านั้นทยอยมาใช้งานค่ายกลเพื่อควบคุมปราณวิเศษ ค่ายกลทั้งหมดล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อค่ายกลใหญ่อ่อนแอลงถึงระดับหนึ่งแล้ว พวกมันจะเตรียมตัวฝ่าออกไป
ส่วนเรื่องการทำให้สัตว์ร้ายเหล่านั้นเป็นเถ้าถ่าน ไม่เคยอยู่ในสายตาของเหล่าอสูรพวกนี้เลยสักนิด เกาะ “เผิงไหล” อุดมสมบูรณ์ไปด้วยปราณวิเศษ มีสิ่งมีชีวิตเกิดใหม่จำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นทุกวัน แม้จะตายไปเป็นพัน ใช้เวลาไม่กี่ปีก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้
“ผู้อาวุโสทุกท่านครับ เท่าที่ผมรู้ โลกภายนอกปราณวิเศษเบาบาง จนไม่สามารถฝึกวิชาได้ ไม่ทราบว่าพวกท่านจะรีบร้อนออกไปข้างนอกทำไม?”
ว่ากันจากใจ เยี่ยเทียนก็ไม่อยากให้อสูรเหล่านี้หลบหนีไปจากเกาะ “เผิงไหล” เพราะว่าพวกเขาล้วนไม่ใช่มนุษย์ และไม่มีวิจารณญาณขั้นต้น หากปล่อยให้พวกมันหนีออกไป ไม่รู้ว่าจะเกิดการสังหารหมู่อย่างไรบนโลกมนุษย์บ้าง
อีกทั้งด้วยวรยุทธ์ของพวกมัน เกรงว่าต่อให้ใช้จรวดมิสไซล์ ก็คงทำลายพวกมันได้ยาก นอกจากจะให้มันอยู่เฉยๆ แล้วอาศัยการโจมตีของทุกประเทศ ไม่อย่างนั้นการล่า อสูรระดับหลังจินตันด้วยพลังเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ คงไม่ต่างจากจินตนาการของคนบ้า
ด้วยเหตุนั้นเยี่ยเทียนจึงอธิบายสถานการณ์ในโลกภายนอกให้พวกมันฟังอย่างอดทน เขาเองก็ไม่ได้โกหก ด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมช่วงร้อยปีที่ผ่านมา โลกทั้งใบเป็นราวกับกองขยะขนาดใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยมลพิษทางอากาศ ไม่เหมาะสมต่อการฝึกวิชาแม้แต่น้อย
“ที่เจ้าพูดถึงคือโลกมนุษย์ เป็นเพียงสถานที่ธรรมดา นอกเหนือไปจากนั้น ยังมีเขตแดนอื่นๆ สถานที่ที่เผ่าอสูรอย่างพวกเราเกิดเองก็เป็นอีกเขตแดนหนึ่ง!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว สิงห์ขนทองตัวผู้ก็ส่ายหัว ตอบว่า
”บนเกาะแห่งนี้เคยมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งผ่ามิติหนีออกไป ร่างของเขาแข็งแกร่งไร้เทียมทาน เมื่อออกไปได้ก็ไปสู่เขตแดนอีกแห่ง ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากโลกมนุษย์…”
ที่แท้ เมื่อหนึ่งพันสามร้อยกว่าปีก่อน มีอสูรเปี่ยมด้วยพรสวรรค์กำเนิดขึ้นบนเกาะ มันใช้เวลาเพียงสามร้อยปีก็ฝึกวิชาจนถึงระดับจินตัน และเมื่อหนึ่งพันปีก่อนก็สามารถฝาทะลวงค่ายกลใหญ่ที่ปิดกั้นเกาะแห่งนี้ไว้ได้เพียงลำพัง แหกค่ายกลนั้นออก แล้วหนีไปจากที่นี่
ตอนที่อสูรตัวนั้นหนีออกไป เป็นเวลาที่ปราณวิเศษบนเกาะนี้แปรปรวนพอดี นั่นจึงทำให้อสูรอื่นๆ ที่อยู่บนเกาะล้วนเห็นความหวัง เพียงแต่ว่าวรยุทธ์ของตัวพวกมันห่างไกลจากอสูรตัวนั้น ในระยะเวลาหนึ่งพันปีกว่า ยังไม่มีสักตัวที่สามารถต้านทานสายฟ้าคุ้มกัน จนพวกอสูรต่างตายตามกันไปหกตัว
เมื่อมีบทเรียนจากผู้อื่น อสูรบนเกาะจึงไม่กล้าฝ่าค่ายกลด้วยตนเอง และมังกรน้ำที่ผลักดันให้สัตว์ร้ายโจมตีค่ายกล ความจริงก็เพื่อใช้ปราณวิเศษบนเกาะให้หมดไปสักส่วนหนึ่ง จากนั้นจึงเลือกจุดที่ปราณวิเศษเบาบางแหกมิติออกไป แล้วหลบหนีออกไปจากกรงขังเช่นเดียวกับอสูรตนนั้น
“ยังมีดินแดนของเผ่าอสูรอีกเหรอครับ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วตกใจจนอ้าปากค้าง เขาเพียงเคยได้ยินว่ามีเขตแดนของเทพ นึกไม่ถึงว่านอกจากนั้น กระทั่งเผ่าอสูรก็ยังมีเขตแดนที่อยู่เป็นของตนเอง
สิงห์ขนทองพยักหน้าอย่างหนักแน่น กล่าวว่า
“ถูกต้องแล้ว แม้ว่าพวกข้าจะถูกขังอยู่ที่นี่ แต่สัญชาตญาณที่สืบทอดต่อกันมาทางสายเลือดต้องไม่ผิดแน่….”
“จริงสิ แล้วผู้อาวุโสที่หนีออกไปได้ก่อนหน้านั้นเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดไหนครับ? เวลานั้นทำไมพวกคุณถึงไม่หนีไปด้วยกันล่ะ?”
ถูกขังอยู่บนเกาะนี้มาเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม ถึงแม้ปราณวิเศษที่นี่จะอุดมสมบูรณ์เหมาะสมแก่การฝึกวิชา แต่เยี่ยเทียนก็ยังคิดจะหนีออกไปตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงสนใจอสูรตัวเดียวที่สามารถหนีออกไปจากเกาะได้เป็นพิเศษ
……