หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 853 เพิ่มระดับทั้งคู่
เยี่ยเทียนที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตอนที่เขาเพิ่งถูกดูดเข้ารอยแยก มีเสียงโห่ร้องของสัตว์ร้ายต่าง ๆ ในเกาะ ดังก้องไปทั่ว ลมปราณจากทั่วทุกสารทิศพุ่งไปรวมกันอยู่ที่เดียวกัน
ร่างของสิงห์ขนทองกับมังกรน้ำ จมไปอยู่ในทรายแล้ว สัตว์อสูรเกือบทั้งหมดที่อยู่บนเกาะสัมผัสได้ถึงลมปราณของพวกมันที่สลายไป
สัตว์อสูรที่มีพลังสู้กับสัตว์อสูรใหญ่ทั้งสามตัวนี้ไม่ได้ ต่างก็เร่งฝีเท้าเพื่อมาอยู่ตรงนี้ หนึ่งในนั้น ตัวที่มาถึงเร็วที่สุดคือนกยักษ์ปีกทอง พอมันเห็นรอยแยกบนท้องฟ้า มันส่งเสียงร้องเหมือนเหยี่ยว กางปีกออกและพุ่งไปที่รอยแยกนั่นราวกับลูกศร
ในขณะที่ระยะห่างระหว่างนกยักษ์ปีกทองกับรอยแยกเหลืออีกแค่ไม่กี่ร้อยเมตร จู่ๆ ฟ้าก็ผ่าตรงหัวของมัน มันที่ไม่ทันตั้งตัวถูกฟ้าผ่าจนขนหลุดและร่วงลงไปที่พื้นอย่างรุนแรง
“ร่วมมือกันต้านสายฟ้า พวกเรา ไป! ”
สัตว์อสูรอีกสองตัวตามนกยักษ์ไป สองตัวนี้มีรูปร่างใหญ่มาก ตัวหนึ่งเหมือนเป็นช้างคู่กายของเจ้าแม่กวนอิม เหวินจูในตำนาน มีจมูกยาวกับงาที่ใหญ่ อีกตัวหนึ่งตัวยาวเกือบห้าสิบเมตร มีขนหนาเต็มตัว คล้ายคลึงกับอสูรกายมายาในยุคก่อนประวัติศาสตร์
แต่ดูเหมือนพวกมันจะมาช้าไป สัตว์อสูรทั้งสามยังไม่ทันได้ร่วมมือกัน รอยแยกก็ปิดลงแล้ว ขณะเดียวกันบริเวณนอกเขตแดน มีพลังปราณชีวิตฟ้าดินมากมายพุ่งเข้าหาเขตแดน ทำให้เขตแดนเดิมที่ถูกดูดปราณวิเศษไปมหาศาล หนาแน่นไปด้วยปราณชีวิตในทันที
สัตว์อสูรทั้งสามส่งเสียงโห่ร้องออกมาพร้อมกัน เมื่อเห็นว่าฟ้ารวมกันเป็นหนึ่งเดียว พวกมันรู้แล้วว่าพลาดโอกาศในครั้งนี้แล้ว หรือบางทีโอกาสออกจากเกาะนี้คงไม่มีอีกแล้วตลอดชีวิต
เมื่อการฟื้นฟูของเขตแดนสิ้นสุดลง ปราณวิเศษที่เปลี่ยนแปลงตลอดในระยะเวลาหนึ่งปีก็จบลง พลังปราณชีวิตฟ้าดินมากมายก็เข้าไปรวมอยู่ในค่ายกลของเกาะ สัตว์อสูรที่กระหน่ำพุ่งชนใส่ค่ายกลก็หายไปทั้งหมด ในที่สุดเกาะเซียน “เผิงไหล” ก็กลับสู่ความเงียบสงบเหมือนเดิมอีกครั้ง มีเพียงไม่กี่แห่งที่ยังคงมีเสียงโห่ร้องแบบไม่พอใจดังก้องอยู่บ้าง
……………………-
“กลับมาแล้ว ในที่สุดก็กลับมาแล้ว ?! ”
ในวินาทีสุดท้ายที่เขตแดนกำลังจะปิด เยี่ยเทียนพุ่งออกไปเกือบไม่ทัน แต่หลังจากที่ออกมาแล้ว แล้วเห็นว่ามหาสมุทรและท้องฟ้าไม่มีปราณวิเศษสีขาวอีกต่อไป เยี่ยเทียนถึงกับส่งเสียงโห่ร้องจนดังกึกก้องไปทั่วทุกสารทิศ
บริเวณที่เยี่ยเทียนปรากฏตัวอีกครั้ง ก็คือตรงกลางอากาศที่เกิดรอยแยกจนเขาร่วงตกลงไป ด้านล่างที่ห่างจากเขาไปไม่กี่ร้อยเมตร ก็คือมหาสมุทรที่มีคลื่นใหญ่ ส่วนเหลยหู่ที่กระโดดออกมาก่อน อยู่ด้านล่างของเยี่ยเทียนห่างออกไปสองร้อยเมตร
“อืม ทำ…ทำไมเจ็บขนาดนี้? ”
ตอนที่เยี่ยเทียนจะใช้ปราณแท้ควบคุมร่างกายที่อยู่กลางอากาศ เขาก็พบว่า รอบๆ ตัวเขาตอนนี้ไม่มีปราณวิเศษเหลือแล้ว เจี่ยตันใต้ท้องกลายเป็นมืดมัวไร้แสง เหมือนจะหยุดการหมุนของปราณแท้แล้ว
ที่ยิ่งไปกว่านั้น สองแขนที่แทบจะกลายเป็นกระดูกขาวของเยี่ยเทียน รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างรุนแรง ราวกับถูกมดหมื่นตัวกัดเนื้ออยู่อย่างนั้น ความเจ็บปวดแบบนี้ ถ้าเป็นคนทั่วไปคงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดไปตั้งนานแล้ว
“บัดซบ! ”
เยี่ยเทียนรู้สึกว่าภายในร่างกายอ่อนกำลัง ภาพตรงหน้ามืดลงราวกับจิตดั้งเดิมถูกบางอย่างโจมตีกะทันหันจนเยี่ยเทียนไม่สามารถควบคุมตัวที่อยู่กลางอากาศได้อีก ร่างของเขาร่วงลงสู่พื้นมหาสมุทรอย่างรุนแรง จากนั้นเขาก็สลบไป
“ปัง! ” เสียงดังก้อง น้ำกระเพื่อม ร่างของเยี่ยเทียนฟาดลงบนผิวน้ำราวกับระเบิดที่ฟาดลงไป
“อาจารย์ อาจารย์เป็นอะไร?! ”
เหลยหู่ที่เพิ่งจะเห็นเยี่ยเทียน ตะโกนออกมาด้วยเสียงตกใจ รีบพุ่งไปยังจุดที่เยี่ยเทียนตกลงมาอย่างรวดเร็ว
……………………
“นี่…ที่นี่ที่ไหน? ”
การหมดสติของเยี่ยเทียนในครั้งนี้ ไม่เหมือนกับครั้งก่อน ที่สติหลุดเข้าไปยังส่วนลึกของความคิด ผ่านไปสามวัน เยี่ยเทียนก็ฟื้น
เยี่ยเทียนขยับหัวด้วยความยากลำบาก เขาพบว่ารอบตัวเขาคือโก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นศิษย์พี่ทั้งสองที่ยืนอยู่ นอกจากนี้ยังมีลูกศิษย์คนโตโจวเซี่ยวเทียน
“เซี่ยวเทียน ที่นี่ที่ไหน? พวกนายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ”
“อาจารย์ ฟื้นแล้วเหรอ? ”
“พรึบ”
โจวเซี่ยวเทียนคุกเข่าข้างเตียง น้ำตาเอ่อล้นออกมา และพูดตะกุกตะกักว่า
“อาจารย์ ศิษย์นึกว่าจะไม่ได้เจออาจารย์อีกแล้ว ศิษย์…หาอาจารย์ที่มหาสมุทร และเชื่อว่าอาจารย์ต้องไม่ตาย! ”
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนฟื้นแล้ว ความอัดอั้นในใจก็ถูกระบายออกมาหมด โจวเซี่ยวเทียนร้องไห้เหมือนเด็กที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม จนโก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็น้ำตาคลอตามกันไปด้วย
เป็นเวลาหนึ่งปีเต็มที่เครื่องบินประสบอุบัติเหตุและเยี่ยเทียนหายตัวไป แม้ว่าโจวเซี่ยวเทียนจะเชื่อมั่นว่าอาจารย์จะไม่เป็นอะไร แต่ความมั่นใจก็น้อยลงพร้อมกับกาลเวลาที่ผ่านไปทุกวัน ตอนที่ความอัดอั้นถึงขีดสุด เมื่อเห็นเยี่ยเทียนฟื้นขึ้นมา เลยทำให้โจวเซี่ยวเทียนหาที่ระบายเจอปล่อยโฮออกมาอย่างนั้น
“จำไว้นะ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันบอกว่าฉันจะตายแล้ว ถ้าไม่เห็นศพของฉัน ห้ามสงสัยเด็ดขาด! ”
เยี่ยเทียนส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น เมื่อคิดถึงฟ้าดินที่เล่นงานเขาแบบนี้ เขาสบถคำหยาบออกมาว่า
“บัดซบเอ้ย สำนักเสื้อป่านของเรามักจะเผยความลับของสวรรค์ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่สวรรค์ไม่อนุญาต แล้วสวรรค์เองก็ไม่ได้เล่นงานฉันเป็นครั้งแรก ทำตัวให้ชินก็พอ! ”
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เยี่ยเทียนชักจะสงสัยแล้วว่ามีคนผลักดันเรื่องทั้งหมดอยู่เบื้องหลัง เหมือนดั่งคำโบราณที่เคยกล่าวไว้ว่า “เมื่อยู่ในยุทธภพ ประสบการณ์ยิ่งมากความกล้ายิ่งลดลง” จากเดิมที่ไม่แม้แต่จะชายตามองกฏแห่งธรรมชาติ แต่วันนี้เยี่ยเทียนหวาดกลัวมากผิดปกติ
“ศิษย์น้อง เธอเองอย่าเอะอะก็หายตัวไปสิ เซี่ยวเทียนเป็นคนหนุ่มยังพอรับได้ แต่ฉันกับพี่รองของเธออายุมากแล้ว ใจของพวกเรารับความตื่นเต้นแบบนี้ไม่ไหวหรอกนะ! ”
โก่วซินเจียไม่เห็นชอบคำพูดของเยี่ยเทียน เพราะเขาสองคนอายุมากแล้ว ต้องอยู่บนทะเลกับโจวเซี่ยวเทียนนานถึงหนึ่งปีเต็ม ถ้าไม่ใช่เพราะมีอุบัติเหตุ พวกเขาคงจะไม่อยู่นานขนาดนั้น
“ศิษย์พี่ใหญ่ คิดว่าผมอยากเหรอครับ ผมก็ถูกบีบบังคับเหมือนกัน! ”
เวลาผ่านไปหนึ่งปี เยี่ยเทียนได้พบหน้าพี่น้องสำนักเดียวกันอีกครั้ง เขารู้สึกดีใจมากถึงที่สุด เยี่ยเทียนไม่ไปตรวจ สภาพด้านในของร่างกายทันที แต่เลือกที่จะคุยเล่นกับคนเหล่านี้ก่อน เวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นอายุวัฒนะ บรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรค ล้วนแต่ถูกลืมจนหมดสิ้น
“หืม ศิษย์พี่รอง พี่…พี่ถึงระดับระดับเซียนเทียนตั้งแต่เมื่อไหร่? ”
หลังจากคุยกับศิษย์พี่ทั้งสองไปไม่กี่คำ เยี่ยเทียนก็ตาลุกวาว ตอนนี้ปราณแท้ภายในร่างกายของเขาแม้จะหายไป ปราณแท้ในตันเถียนเกาะตัวช้ากว่าหอยทาก แต่เขาเป็นคนมีจินตันครึ่งหนึ่งแล้ว มองแค่แว๊บเดียว ก็รู้แล้วว่าจั่วเจียจวิ้นเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว
“ไม่สิ พี่ใหญ่ก็เข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้วเหมือนกัน ”
จั่วเจียจวิ้นยังไม่ทันตอบคำถาม สายตาของเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนไปอยู่ที่โก่วซินเจีย แล้วเยี่ยเทียนก็ทำหน้าแปลกกว่าเดิม เพราะเขารู้สึกว่า พลังปราณเดิมที่อยู่ในร่างกายของศิษย์พี่ใหญ่กลายเป็นปราณแท้หมดแล้ว แสดงว่าศิษย์พี่ใหญ่ก็ก้าวก็เข้าไปถึงระดับเซียนเทียนแล้วเหมือนกัน
พี่รองอยู่ระดับเซียนเทียน เยี่ยเทียนยังพอรับได้ เพราะเขาเคยให้หินวิเศษธาตุน้ำกับจั่วเจียจวิ้น หินจะช่วยเปลี่ยนพลังเดิมแท้ในร่างกาย ส่วนโก่วซินเจีย ไม่มีหินวิเศษที่เหมาะสมต่อร่างกาย เขาจึงหยุดอยู่แค่ปากทางของระดับเซียนเทียน
หลังจากตรวจสอบบันทึกการฝึกฝนของจางซันเฟิงแล้ว เยี่ยเทียนก็รู้ว่า นอกจากพลอยวิเศษที่เปลี่ยนพลังปราณเดิมแท้ได้ ยังมีอีกหนึ่งวิธี นั่นก็คือฝึกพลังบริเวณที่มีปราณวิเศษห้าธาตุรวมกันอยู่ ให้ปราณวิเศษห้าธาตุไปถึงระดับสมดุล จากนั้นก็จะสามารถบรรลุไปถึงระดับเซียนเทียนได้เหมือนกัน
แต่โลกในปัจจุบัน แทบจะไม่มีปราณวิเศษแล้ว แม้แต่เมืองโบราณในอาณาเขตแห่งเทพกสิกร เสินหนงเจี้ย กับเทือกเขาฉางไป๋ซานที่เป็นบ่อพลังแห่งหยินและยาง ก็ยังไม่สามารถทำได้ เยี่ยเทียนไม่เข้าใจเลยว่าพวกเขาข้ามจากระดับ โฮ่วเทียนไปสู่เซียนเทียนได้อย่างไร
“อย่าเพิ่งพูดถึงพวกเราเลย ถ้าไม่ใช่เพราะปราณวิเศษฟ้าดินของที่นี่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน แม้แต่เซี่ยวเทียนเองก็คงจะบรรลุเข้าถึงระดับเซียนเทียนแล้วเหมือนกัน! ”
หลังจากฟังเยี่ยเทียนพูดจบ โก่วซินเจียก็แสดงความรู้สึกภาคภูมิใจผ่านสีหน้าออกมา เพราะในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเสื้อป่าน พลังวิชาของเขาด้อยกว่าศิษย์น้องมาโดยตลอด แม้จะไม่พูดออกมา แต่ก็กดดันอยู่ไม่น้อย
ตอนที่เยี่ยเทียนหายไป พลังวิชาของเยี่ยเทียนก็อยู่แค่ช่วงต้นเซียนเทียน ตอนนี้โก่วซินเจียก็ทะลุถึงระดับเดียวกันแล้ว ในที่สุดเขาก็รู้สึกได้ว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของน้องเล็กจริงๆ สักที
“ศิษย์พี่เล่าให้ฟังหน่อย ว่าเกิดอะไรขึ้น? ”
เยี่ยเทียนกำลังพูดอยู่ สองแขนเจ็บจี๊ดขึ้นมากะทะหัน เขาส่งตันเถียนที่มีอยู่ไม่มากไปที่มือทั้งสองข้างอย่างไม่รีรอพร้อมกับมองไปที่แขนและพบว่ามันถูกห่อเอาไว้แล้ว
เยี่ยเทียนมองทะลุผ้าขาวหลายชั้นลงไปพบว่ามีเนื้องอกขึ้นมาตรงแขนแล้ว เขารู้สึกโล่งใจมาก ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ถึงแม้จะบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคแล้ว แต่ว่าสองแขนไร้ประโยชน์ เขาก็รับไม่ได้เหมือนกัน
“เมื่อหนึ่งปีก่อน พวกเรารู้สึกว่าปราณวิเศษฟ้าดินของที่นี่มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป ปราณวิเศษในมหาสมุทรพุ่งพรวดเข้ามาแต่ฝั่งนี้ แล้วปราณวิเศษต่างๆ ก็ปะปนกันหมด นอกจากจะค้นหาพวกเธอแล้ว พวกเราก็เลยฝึกพลังวิชาที่นี่ต่อ…”
ที่แท้ ตอนที่เยี่ยเทียนหายไปไม่นาน ส่วนที่ลึกที่สุดของมหาสมุทรอินเดียแห่งนี้ ถูกล้อมรอบไปด้วยปราณวิเศษที่มาจากทั่วทุกสารทิศ แล้วตอนที่ปราณวิเศษรวมกันถึงระดับหนึ่ง น่านน้ำแห่งนี้ราวกับหายไปจากมหาสมุทร และโลกภายนอกไม่สามารถรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงอีกเลย
ถ้าไม่ใช่เพราะรู้สึกถึงความไม่ปกติและจำพิกัดตรงนี้ได้ตั้งแต่แรก โก่วซินเจียและคนอื่นๆก็คงพลาดโอกาศนี้เป็นแน่
ผ่านไปหนึ่งปี เขากับจั่วเจียจวิ้นก็ฝึกพลังจนเข้าสู่ระดับเซียนเทียนทั้งคู่
……………………………