หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 860 อภัยโทษ
“ท่านผู้เฒ่า ช่วงที่ผมไม่อยู่ ไม่มีเรื่องอะไรใช่มั้ยครับ?”
เยี่ยเทียนลูบที่คอของสิงห์ขนทองไปถามไป แต่สิ่งที่ถามออกไปทำให้บรรยากาศในรถเย็นลงหลายองศาทีเดียว แม้แต่ซ่งเฮ่าเทียนก็ยังจาม
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะเก็บการเคลื่อนไหวของปราณชีวิตภายในร่างกายแล้วทั้งหมด เพื่อหลีกเลี่ยงการรับภัยอัศนีสวรรค์ แต่ระดับจิตใจนั้นไม่อาจทำได้ พอเขาถึงระดับแบบนั้นแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไร ก็จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความกดดันอย่างบอกไม่ถูก
และมันก็เกิดจากการที่เยี่ยเทียนอยู่ปากทางของการเพิ่มระดับ ถ้าเขาเข้าสู่ระดับจินตัน แล้วเก็บลมปราณละก็ เขาจะไม่แตกต่างจากคนธรรมดาเลย แม้จะอยู่ในกลุ่มคนมากมาย คนเหล่านั้นก็ยากนักที่จะรู้สึกถึงการมีตัวตนของเขา
คำถามที่ถามซ่งเฮ่าเทียนออกไป เป็นเพราะเยี่ยเทียนเคยได้โจวเซี่ยวเทียนพูดว่า ตอนที่เขาออกจากรัสเซีย เรือนสี่ประสานที่ปักกิ่งมักจะมีชาวต่างชาติมาเดินป้วนเปี้ยน แม้กระทั่งตอนที่ซ่งเฮ่าเทียนไปหาเยี่ยเทียน คนเหล่านั้นก็ยังอยู่ตรงนั้น
มันเลยทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกไม่พอใจซ่งเฮ่าเทียนเล็กน้อย ซ่งเฮ่าเทียนเคยรับปากกับตนว่า ความปลอดภัยของตระกูลเยี่ยเขาจะเป็นคนรับผิดชอบเอง แล้วแม่ของเขาก็เป็นลูกสาวแท้ๆของซ่งเฮ่าเทียนไม่ใช่เหรอ
“แกนี่ ทำให้บรรยากาศตึงเครียดกว่าเดิมล่ะ? ฉันเริ่มจะทนไม่ไหวแล้วนะ! ”
ซ่งเฮ่าเทียนหันไปหาเยี่ยเทียนและพูดด้วยเสียงไม่พอใจว่า
“ฉันอยู่ที่ปักกิ่งหนึ่งวัน ตระกูลเยี่ยก็จะปลอดภัยหนึ่งวัน แกจะเป็นห่วงทำไม แกเห็นฉันแก่จนทำอะไรไม่ได้แล้วหรือไง? ”
แม้บรรยากาศที่เกิดขึ้นอาจสู้ตอนที่พลังพิฆาตแผ่ออกจากตัวเยี่ยเทียนไม่ได้ แต่ซ่งเฮ่าเทียนเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงมาตลอด น้ำเสียงที่ใช้มีน้ำหนักพอสมควร จนทำให้พลังพิฆาตของเยี่ยเทียนดับไปเลย
“ครับ เป็นสุขเป็นลาภอันประเสริฐครับ”
เยี่ยเทียนถอยตัวไปด้านหลังและยิ้มเบาๆ คำพูดของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ตอนนี้เขาไม่ใช่เยี่ยเทียนเมื่อหนึ่งปีก่อนแล้ว ในตอนนั้นเขาอาจจะเกรงกลัวอำนาจของเทคโนโลยีของบนโลกนี้อยู่บ้าง
แต่หลังจากเข้าถึงระดับเจี่ยตันแล้ว เยี่ยเทียนรู้ว่า แค่เขายังไม่อยากตาย ก็จะไม่มีอำนาจใดในโลกที่สามารถกำจัดเขาได้ นอกเสียจากว่าผ่านภัยอัสนีสวรรค์ไม่สำเร็จ
“เยี่ยเทียน ฉันมีเรื่องอยากจะถามแกหน่อย”
ซ่งเฮ่าเทียนมองคนขับรถแว๊บนึง ถึงแม้จะมีกระจกกั้นอยู่ แต่เขาก็พูดด้วยเสียงต่ำ
“คนที่ตอบโต้ขีปนาวุธที่รัสเซีย แกรู้จักหรือเปล่า? แล้วแกบอกฉันมาตรงๆ แบบที่แกเป็นอยู่ พวกแกมีอำนาจมากขนาดไหน? ”
หลังจากเรื่องที่รัสเซียจบลง เรือนสี่ประสานที่เงียบสงบก็คึกคักอีกครั้ง แม้กระทั่งการประชุมที่สำคัญ ก็ยังจัดขึ้นที่นั่น วาระการประชุมยิ่งไม่ต้องพูดถึง ล้วนแต่เป็นชั้นการตัดสินใจของประเทศ ซึ่งมีความกังวลต่ออำนาจที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมได้
คนโบราณเคยกล่าวไว้ว่า “พวกบัณฑิตใช้วิชาหนังสือบ่อนทำลายกฎเกณฑ์ พวกนักบู๊ใช้วิชายุทธ์ บ่อนทำลาย ความสงบ” ถึงแม้ว่ายุคนี้จะเป็นยุคนิยมใข้อาวุธ หลักการนี้ใช้ไม่ได้อีกต่อไป การปรากฏตัวของเยี่ยเทียนกับติงหง ได้สร้างความสนใจให้กับประเทศต่างๆอีกครั้ง มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ศึกษาความสามารถเหนือมนุษย์อย่างเข้มงวด
ความสัมพันธ์ของเยี่ยเทียนกับตระกูซ่งเป็นที่รู้กันทั่วกรุง ซ่งเฮ่าเทียนเกษียณแล้วหลายปี แต่เขายังรับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยของประเทศต่อ หน้าที่ของเขาก็คือการใกล้ชิดกับเยี่ยเทียนและดึงเยี่ยเทียนเข้าไปอยู่ในระบบให้ได้
แน่นอนว่า การศึกษาคนเหล่านี้ในเชิงลึก ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแก๊งมอสโควถูกทำลาย หรือการซ้อมรบของทหารไซบีเรีย ล้วนแต่เป็นเป็นเครื่องยืนยันถึงความแข็งแกร่งของผู้มีความสามารถเหนือมนุษย์ ไม่มีใครกล้าทำอะไรเยี่ยเทียนเลย
“ท่านผู้เฒ่า คนผู้นั้นชื่อติงหง เขาตายตั้งแต่รับภัยอัสนีสวรรค์แล้ว ศพก็ถูกพวกนั้นจัดการแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ”
เยี่ยเทียนยิ้มประชดให้กับซ่งเฮ่าเทียนและพูดว่า
“ถ้าอยากรู้ว่าคนแบบพวกผมแข็งแกร่งเท่าไหร่ ท่านผู้เฒ่า ถ้าท่านว่างๆ ลองเปิดหนังสือบันทึกโซวเสินจี้หรือ คัมภีร์ซานไห่จิง ก็จะรู้เอง ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็ลองเปิด ไซอิ๋ว ดูก็ได้ครับ! ”
“เจ้าเด็กนี่ ล้อฉันเล่นใช่มั้ยหะ? ”
ซ่งเฮ่าเทียนเบิกตากว้างใส่เยี่ยเทียน 20 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าเขาจะอยู่ตำแหน่งไหน ก็ไม่เคยมีใครกล้าพูดกับเขาแบบนี้มาก่อน
หนังสือคัมภีร์ที่เยี่ยเทียนพูดถึง มีคนเคยอ่านมากมาย มีแต่คนจิตไม่ปกติเท่านั้น ถึงจะเชื่อสิ่งที่บันทึกอยู่ในหนังสือเหล่านั้น มนุษย์ฝันอยากบินขึ้นฟ้าตั้งแต่พันปีก่อน แต่ก็เพิ่งบินไปถึงดวงจันทร์ได้สำเร็จเมื่อสิบกว่าก่อนเอง?
ด้วยเหตุนี้ ซ่งเฮ่าเทียนจึงคิดว่าเยี่ยเทียนกำลังคุยฆ่าเวลากับเขาอยู่ ยังไงก็ไม่มีวันเชื่อ พวกคนฝึกพลังวิชา จะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริง ประเทศจีนก็ไม่ต้องประสบหายนะ ให้คนเหล่านั้นไปจัดการ พันธมิตรแปดชาติ ก็คงถูกจัดการด้วยฝ่ามือเดียวแน่นอน!
“เห็นมั้ยล่ะ ผมพูดให้ฟังแล้วท่านก็ไม่เชื่อ แล้วจะถามผมทำไมละครับ?”
เยี่ยเทียนไม่หลงกลซ่งเฮ่าเทียน โบกมือไปมาพูดว่า
“ท่านผู้เฒ่า ผมจะเล่าให้ท่านฟังนะครับ ผู้ที่ฝึกถึงระดับบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคได้ การเรียกลมเรียกฝน ถล่มภูเขาทลายมหาสมุทรเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ถ้าฝึกถึงระดับหยวนอิง ฉีกอวกาศจนเป็นรอยแยกด้วยมือเปล่าก็ได้ ตัวไปถึงจักรวาลก็ยังได้…”
เยี่ยเทียนไม่ได้พูดเรื่อยเปื่อย ด้วยพลังที่เขามีอยู่ตอนนี้ ถึงแม้ไม่หายใจ เขาก็สามารถมีชีวิตได้นานเป็นเดือน แล้วผลกระทบจากลมแรงก็ทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ถ้าทะลุไปถึงชั้นบรรยากาศ เยี่ยเทียนยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่
แต่เยี่ยเทียนเชื่อว่า ถ้าเข้าไปถึงระดับหยวนอิง บางทีก็อาจจะทะลุไปถึงชั้นอวกาศก็ได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นอากาศหรือปราณวิเศษ ก็ล้วนแต่เป็นพลังงานบางอย่างของอวกาศเท่านั้น เมื่อมนุษย์วิวัฒนาการถึงจุดสูงสุดแล้ว การดูดพลังงานจากอวกาศได้โดยตรง ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
ส่วนความสามารถการเรียกลมเรียกฝน ขอแค่สามารถควบคุมปราณวิเศษของฟ้า สวรรค์และพื้นธรณี เปลี่ยนความผันผวนของปราณวิเศษในบางพื้นที่ ให้มันเกาะตัวจนกลายเป็นลมและฝน ถ้าเป็นไปตามที่เยี่ยเทียนทำนายไว้ เมื่อไหร่ที่เข้าถึงระดับจินตัน ก็จะทำได้เอง
“เดี๋ยวๆ แกช่วยพูดในสิ่งที่มันน่าเชื่อถือหน่อยได้มั้ย?”
เยี่ยเทียนยังพูดไม่ทันจบก็ถูกซ่งเฮ่าเทียนสั่งให้หยุดพูด
“แกอย่าเพิ่งโม้ แล้วตอนนี้แกอยู่ระดับไหน เล่ามาซิ! ”
หลังจากถูกเยี่ยเทียนหลอกมาครึ่งค่อนวัน วิธีการพูดของซ่งเฮ่าเทียนก็เริ่มเลียนแบบตาม เยี่ยเทียนที่ได้ยินก็อดขำไม่ได้
“ระดับผมต่ำมากครับ อยู่แค่ระดับครึ่งจินตันเองครับ! ”
ซ่งเฮ่าเทียนถามต่อด้วยความไม่เข้าใจ
“ครึ่งจินตัน? แล้วมันเป็นยังไง? ”
เยี่ยเทียนขำพูดว่า
“ก็ยังเหลืออีกครึ่งหนึ่งก็จะถึงระดับบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคครับ”
“งั้นแกก็มีพลังเทียบเท่ากับระดับจินตันแล้วล่ะสิ?”
ซ่งเฮ่าเทียนถามต่อ
“ยังห่างจากระดับจินตันเยอะเลยครับ ครึ่งหนึ่งที่อยู่ตอนนี้กับตอนก้าวข้ามไป ต่างกันมากเลยครับ”
เยี่ยเทียนส่ายหัว เขาเคยเห็นสิงห์ขนทองกับมังกรน้ำที่ปล่อยพลังเต็มที่ เขาที่อยู่ระดับเจี่ยตันเทียบกับพวกนั้นไม่ได้เลย
“แกไม่มีความสามารถอะไรเลย แล้วฉันจะเชื่อคำพูดแกได้ยังไง?”
ซ่งเฮ่าเทียนเหมือนจับจุดเยี่ยเทียนได้ จึงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ เขาเป็นนักวัตถุนิยมที่แท้จริง ไม่เคยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ แล้วถ้าเยี่ยเทียนเก่งกาจเหมือนที่พูดจริง มันจะเปลี่ยนทัศนคติต่อโลกของท่านผู้เฒ่าทันที
“ผมก็ไม่ได้บอกให้เชื่อนี่ครับ”
หลังจากที่ได้ยินซ่งเฮ่าเทียนพูดแบบนั้น เยี่ยเทียนก็อดขำไม่ไหว อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่ครูสอนศิลปะการต่อสู้ที่มีตำแหน่งเล็กๆ ก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องไปพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าเจ้าหน้าที่ของรัฐ เขาเองก็รู้สึกขี้เกียจอธิบายให้ซ่งเฮ่าเทียนฟังเหมือนกัน
“ไม่ใช่ให้ฉันเชื่อ แต่ให้คนอื่นเขาเชื่อ! ”
น้ำเสียงของซ่งเฮ่าเทียนขรึมขึ้นมาทันที “เยี่ยเทียน ทางการให้ความสำคัญกับคนแบบพวกแกมาก พ่อกับแม่แกไม่ถูกรบกวนก็เพราะสาเหตุนี้ด้วย ไม่อย่างนั้นถึงจะเป็นฉัน ฉันก็บังคับการตัดสินใจของคนบางคนไม่ได้ เพราะฉะนั้น แกต้องทำตัวให้เก่ง มันถึงจะรับรองได้ว่าจะไม่มีใครมารบกวนชีวิตของเวยหลันและคนอื่น ”
“หืม? ท่านหมายถึง ถ้าผมไม่เก่งจริง หรือไม่ยอมรับการรักษาความปลอดภัยของทางการ พวกเขาจะทำอะไรพ่อกับแม่เหรอครับ? ”
เยี่ยเทียนสีหน้าตึงเครียด เจ้าสิงห์ขนทองที่นอนอยู่บนบ่าเด้งตัวขึ้นมาทันที สัตว์โบราณแบบนี้จะอ่อนไหวต่ออันตรายมาก และเมื่อครู่มันสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของปราณชีวิตที่เป็นอันตรายในร่างกายของเยี่ยเทียน
“ไม่หรอก มีตาแก่อย่างฉันอยู่ทั้งคน พวกเขาไม่ทำอะไรที่มันเกินไปหรอก แต่ถ้าเป็นแกก็ว่าไปอีกอย่าง”
ซ่งเฮ่าเทียนขมวดคิ้วพูดต่อว่า
“ทางการเขาหวังว่าแกจะเข้าร่วมการวิจัยผู้มีความสามารถเหนือธรรมชาติ แต่แกสบายใจได้ พวกเขาไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อแกแน่นอน เรื่องนี้ฉันรับรอง แต่ถ้าแกยินยอมเข้าร่วม แกจะได้รับยศพลตรีทันที”
ตอนนี้ซ่งเฮ่าเทียนยังคงคิดว่า สิ่งที่เยี่ยเทียนพูดเมื่อครู่เป็นแค่การคุยโวเท่านั้น ฉะนั้นเขาจึงพูดสิ่งที่เขาคิดไว้ออกมาด้วย การเข้าร่วมวิจัยกับกองทัพ ก็เหมือนได้รับเครื่องรางป้องกันตัว คนอื่นคิดจะทำอะไรเขา ก็คงต้องต้องคิดใหม่
“เข้าร่วมการวิจัยผู้มีความสามารถเหนือธรรมชาติ แล้วยังให้ตำแหน่งยศพลตรีอีก? เป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่น้อยเลยนะครับ! ”
เยี่ยเทียนยิ้มไปส่ายหัวไป พูดต่อว่า
“ท่านผู้เฒ่าครับ นิสัยของผม ท่านก็รู้ดี ตั้งแต่เล็กผมเป็นคนใช้ชีวิตอิสระจากโลกภายนอก ผมไม่ชอบให้ใครมาคุม ผมว่าเอาไว้ก่อนดีกว่านะครับ”
ด้วยพลังของเยี่ยเทียน แค่เขาปล่อยปราณชีวิตออกมาทั้งหมด ยังไงก็เรียกภัยอัสนีจินตันได้แน่นอน และที่เขาเก็บพลังเข้าไป ก็เพราะอยากจะใช้เวลากับที่บ้านให้มาก เขาไม่สนใจเรื่องเข้าร่วมหน่วยงานวิจัยพวกนั้นหรอก อย่าว่าแต่ยศพลตรีเลย นายพลก็ไม่สนใจ
“ท่านผู้เฒ่า อย่าบังคับผมอีกเลย ผมไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ด้วยหรอก! ”
เมื่อเห็นว่ารถแล่นมาถึงหน้าปากซอยบ้านแล้ว เยี่ยเทียนโบกมือไปมาพูดว่า
“เดี๋ยวท่านผู้เฒ่าช่วยผม ไปเจอพวกเขาหน่อย พวกเขาจะได้เชื่ออย่างสนิทใจ! ”
…………………………………….