หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 864 โอหัง
ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิขุนนางสมัยโบราณ หรือผู้นำประเทศในยุคปัจจุบัน ก็ล้วนเป็นคนเช่นเดียวกัน และต่างก็มีจุดอ่อนเหมือนๆ กันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ได้นานๆ โดยเฉพาะคนที่เคยยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของอำนาจ ก็จะมีความปรารถนานี้รุนแรงยิ่งกว่าคนธรรมดาทั่วไป
“ฉางเฮ่า พวกคุณออกไปก่อน”
อู๋เหล่าโบกมือ สั่งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประตูออกไปข้างนอก แล้วจึงหันมาพูดกับเยี่ยเทียนว่า
“คุณเยี่ย อย่างนั้นคนแบบพวกคุณนี่ นอกจากจะมีพลังที่แข็งแกร่งแล้ว ก็ไม่ได้มีชีวิตที่ยืนยาวไปกว่าคนอื่นๆ เลยอย่างนั้นหรือ?”
อู๋เหล่าดันแว่นบนสันจมูกขึ้น แล้วกล่าวต่อไปว่า
“ถ้าคิดเสียว่า ปรากฏการณ์ประหลาดของพวกคุณเป็นวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นกับยีนของมนุษย์ละก็ อย่างนั้นยีนที่ผ่านการวิวัฒนาการมาหลายครั้งแล้ว ก็น่าจะมีอายุขัยที่ยืนยาวกว่าคนธรรมดาสิถึงจะถูกน่ะ!”
เมื่ออู๋เหล่ากล่าวเช่นนั้น คนอื่นๆ ที่ตอนแรกนั่งหลังตรงไม่พูดจาก็อดขยับตัวนิดๆ ไม่ได้ สายตามุ่งไปรวมกันที่เยี่ยเทียนพร้อมๆ กัน
แต่ละคนซึ่งกำลังนั่งอยู่ ณ ที่นี้ ต่างก็ฝ่าฟันจนได้มาถึงตำแหน่งในปัจจุบัน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของอำนาจในทางโลก ไม่ได้แตกต่างจากจักรพรรดิราชาในสมัยโบราณเท่าไรนัก แต่ทว่า ชีวิตของพวกเขาก็ใกล้จะเดินไปถึงจุดสิ้นสุดแล้วเช่นกัน เหลือเวลาให้มีชีวิตอยู่อีกไม่กี่ปีแล้ว
“ก็จะอายุยืนกว่านิดหน่อยครับ คืออยู่ได้นานขึ้นอีกประมาณยี่สิบสามสิบปี อาจารย์ผม หลี่ซั่นหยวนมีอายุขัยถึงหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าปี สาเหตุก็อย่างที่กล่าวมานี่แหละ!”
เยี่ยเทียนมองดูคนเหล่านี้แวบหนึ่ง แล้วกล่าวสืบต่อ
“แต่อาจารย์ผมใฝ่ศรัทธาในเต๋ามาทั้งชีวิต จิตใจบริสุทธิ์เที่ยงแท้ ไม่หลงใหลในกิเลสอย่างปุุถุชนทั่วไป แบบนี้จึงจะทำให้จิตเดิมไม่สูญ แก่นแท้ไม่สลายได้ คนทั่วไปน่ะ…ไม่มีทางไปถึงจุดนั้นได้หรอกครับ!”
หลังจากคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากเยี่ยเทียน คนทั้งหลายในห้องประชุมก็มีสีหน้าผิดหวัง พวกเขาเคยเห็นข้อมูลเกี่ยวกับหลี่ซั่นหยวนผ่านตามาแล้ว จึงรู้ว่าเยี่ยเทียนไม่ได้พูดเท็จเลย บุคคลมหัศจรรย์แห่งยุคผู้นั้น สุดท้ายแล้วก็ยังคงต้องละสังขารไว้ใต้แผ่นดินอยู่ดี
ชั่วขณะนั้น ภายในห้องประชุมเริ่มจะมีบรรยากาศแปลกๆ เยี่ยเทียนรู้สึกได้ว่า จิตใจของคนเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปมาก จากเดิมที่คาดคั้นเร่งรีบก็กลายเป็นผ่อนคลายลง
“ท่านทั้งหลาย พวกเราน่ะเป็นผู้ยึดมั่นในวัตถุนิยม[1] แล้วยังจะมาคิดถึงเรื่องเป็นอมตะกันอยู่อีกหรือ?”
เยวี่ยเหล่าซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งประธานหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดกับเยี่ยเทียนว่า
“แต่ว่านะพ่อหนุ่ม คุณเองก็พูดอย่างทำอย่างเหมือนกันละ หลายปีมานี้ซ่งเหล่าดูหนุ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะ เพราะคุณให้เขากินยาวิเศษอะไรไปใช่ไหมล่ะ?”
คำพูดของเยวี่ยเหล่าทำให้คนทั้งหลายตาลุกวาวขึ้นมา ซ่งเฮ่าเทียนนั่งอยู่ตรงนี้ ร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรทุกคนก็เห็นๆ กันอยู่ จากเดิมที่เป็นคนอายุแปดสิบกว่าเกือบเก้าสิบ ตอนนี้กลับดูเหมือนคนอายุหกสิบกว่าๆ เท่านั้นเอง
‘ให้ตายเถอะ มีแต่พวกจิ้งจอกเฒ่าทั้งนั้น ตอนแรกเรียกมานิรโทษกรรม ตอนนี้กลับจะหาทางบรรลุเป็นเซียนเสียนี่’
เยี่ยเทียนลอบก่นด่าในใจ ทำหน้าแหยๆ ตอบว่า
“จริงอยู่ว่าผมเคยจัดยาที่มีสรรพคุณบำรุงร่างกายให้ท่านไป แต่เนื่องจากวัตถุดิบหายากเหลือเกิน จึงปรุงออกมาได้เพียงไม่กี่เม็ด และก็ให้ท่านรับประทานไปหมดแล้วละครับ!”
เยี่ยเทียนได้ตัวยาล้ำค่ามาจากเสินหนงเจี้ยไม่น้อย กล่าวตามตรง ยาที่ปรุงขึ้นมาได้ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แต่เขาก็ไม่ได้ติดหนี้อะไรกับคนพวกนี้สักหน่อย จึงไม่ได้คิดจะยกให้คนเหล่านี้ไปรับประทาน เยี่ยเทียนเองก็ญาติเยอะออกปานนั้น ยังกลัวอยู่ว่าจะไม่พอด้วยซ้ำ
เยี่ยเทียนพูดยังไม่ทันขาดคำ อู๋เหล่าก็พูดขึ้นมาว่า
“คุณเยี่ย สหายอาวุโสซึ่งได้สร้างคุณูปการแก่ประเทศชาติมาตลอดชีวิตบางท่านก็มีสุขภาพไม่แข็งแรง หวังว่าคุณจะสามารถจัดมอบยานั้นให้เราได้สักจำนวนหนึ่ง ส่วนเรื่องจะต้องใช้วัตถุดิบอะไรบ้างนั้น คุณก็บอกมาได้เลย เชื่อว่าพวกเราน่าจะจัดหาให้ได้อยู่”
“พวกคุณคงหาไม่ได้หรอก สมุนไพรพวกนั้นไม่ได้อยู่ในโลกของปุถุชนนะครับ”
เยี่ยเทียนปฏิเสธกลับไปทันที เขาก็ไม่ได้เป็นหมอหลวงในราชสำนักเสียหน่อย สหายอาวุโสพวกนั้นจะเป็นจะตายยังไงแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาด้วยล่ะ?
“เจ้าเด็กบ้า อย่าพูดจาแบบนี้สิ ตัวเองก็เป็นคนจีนแท้ๆ ไม่ได้นึกถึงประเทศชาติสักนิดเลยเรอะ?”
หลังจากซ่งเฮ่าเทียนเห็นเยี่ยเทียนปฏิเสธอู๋เหล่าไปแบบนั้น บรรยากาศในห้องประชุมก็เริ่มจะตึงเครียด จึงรีบพูดไกล่เกลี่ยขึ้น
“ฉันรู้ว่ายานั่นของแกน่ะมีไม่เยอะ ขนาดฉันยังได้กินไปแค่สองเม็ด เอาอย่างนี้ไหม แกยกให้รัฐสักยี่สิบเม็ด ถือเสียว่าเป็นการสร้างคุณูปการแก่ประเทศชาติก็แล้วกัน!”
ความคิดของซ่งเฮ่าเทียนนั้นลึกซึ้งกว่าเยี่ยเทียน ไม่ว่าหลานชายของเขาคนนี้จะแข็งแกร่งสักเพียงไหน แต่สุดท้ายก็มีแค่ตัวคนเดียว อีกทั้งเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันถึงการเกิดแก่เจ็บตายของแต่ละคน ไม่แน่ว่าบางคนในที่นี้อาจจะเกิดมีใจคิดคดอะไรขึ้นมาก็ได้ แทนที่จะปล่อยให้เป็นแบบนั้น ไม่สู้เสนอเงื่อนไขออกมาให้ชัดเจน เท่านี้ก็แลกความสงบสุขมาได้แล้ว
“ยี่สิบเม็ด?” เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ๆ แล้วจึงพูดขึ้นว่า “สิบหกเม็ด มากกว่านี้ก็ไม่มีแล้ว ถ้ายังไม่พออีกก็ไม่ต้องเอาไปสักเม็ดแล้วละ!”
นับรวมซ่งเฮ่าเทียนแล้ว มีผู้ร่วมประชุมทั้งหมดแปดคน ถ้าเยี่ยเทียนให้ไปสิบหกเม็ด อย่างนั้นก็จะได้คนละสองเม็ด ยาวิเศษนี้แม้จะไม่ใช่ว่าสามารถรักษาได้ทุกโรค แต่หากรับประทานหนึ่งเม็ดก็พอจะยืดอายุขัยได้ห้าปี เท่านี้ก็ถือว่าเยี่ยเทียนยอมถอยให้ก้าวใหญ่แล้ว
แน่นอนว่า สำหรับเยี่ยเทียนในตอนนี้ ตัวยาเหล่านั้นก็ไม่ได้ถือว่าเป็นของล้ำค่าหายากเท่าไรแล้ว เพราะเขาสามารถที่จะไปช่วงชิงมาจากเสินหนงเจี้ยได้ทุกเมื่อ วานรขาวเฒ่าตัวนั้นก็มีพลังฝีมือแค่ระดับเซียนเทียนช่วงกลางเท่านั้นเอง เยี่ยเทียนเล่นงานมันได้อยู่แล้ว
“สิบหกเม็ด? มันน้อยไปหน่อยไหม?”
มีคนหนึ่งขมวดคิ้วขึ้นมา ท่าทางจะไม่ค่อยพอใจกับตัวเลขที่เยี่ยเทียนเสนอมานัก
เยี่ยเทียนเดิมทีก็ไม่ได้ยินยอมพร้อมใจอยู่แล้ว พอได้ยินคนผู้นั้นทักท้วง จึงเหลือกตาขึ้นมองด้านบนทันที
“ยังว่าน้อยไปอีก? อย่างนั้นก็ไม่ต้องเอา!”
“ฮ่ะๆ ไม่น้อยแล้ว เอาอย่างที่เสี่ยวเยี่ยบอกนั่นแหละ”
หลังจากที่ได้สนทนากับเยี่ยเทียน อู๋เหล่าก็พอจะรู้นิสัยใจคอของเขาบ้างแล้ว ยามนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเป็นเรื่องอื่น
“เสี่ยวเยี่ย ไม่ทราบว่าตอนนี้พลังฝีมือของคุณไปถึงระดับไหนแล้วล่ะ?
“คุณก็รู้ว่า ปัจจุบันนี้แต่ละประเทศต่างก็กำลังพัฒนากลุ่มบุคลากรผู้มีความสามารถพิเศษ คนแก่อย่างพวกเราเลยหวังว่า คุณจะยอมเข้าร่วมทีมวิจัยและพัฒนาผู้มีความสามารถพิเศษของเรา โครงการนี้คุณจะมาเป็นผู้นำเลยก็ได้ และแน่นอนว่า รัฐก็จะมอบเกียรติยศให้คุณอย่างเหมาะสมด้วยเช่นกัน คุณว่า…ยศทหารระดับพลโทนี่พอไหม?”
จากการหารือกันในตอนแรก พวกเขาตกลงไว้ว่าจะให้ยศพลตรีแก่เยี่ยเทียน แต่เมื่อครู่นี้เพิ่งจะได้ผลประโยชน์จากเยี่ยเทียนมาเรื่องหนึ่ง จึงเลื่อนยศให้เยี่ยเทียนอีกขั้นเป็นการตอบแทน นอกจากนี้ หากเยี่ยเทียนเข้าร่วมกองทัพ ก็จะมีเส้นบางอย่างมาเป็นกรอบควบคุมเขาไว้ ทีนี้ต่อไปก็ไม่ต้องกลัวแล้วว่าจะไม่ได้ยาวิเศษจากเขา
“พลังฝีมือของผม? ยศทหารพลโท?”
บนใบหน้าของเยี่ยเทียนปรากฏรอยยิ้มแปลกๆ
“พวกคุณช่างให้เกียรติผมจริงๆ แต่ยศพลโทนี่สำหรับผมแล้วยังต่ำไปหน่อย ถ้ายกตำแหน่งของเยวี่ยเหล่าให้ผม ก็อาจจะยังถือว่าพอถูไถละนะ!”
“โอหัง ถึงคุณจะร้ายกาจ แต่จะมาสู้กับกองทัพนับล้านของรัฐได้รึไง?”
เยี่ยเทียนพูดยังไม่ทันขาดคำ นายพลจ้าวก็ตบโต๊ะลุกขึ้นมาอีก ถึงเยี่ยเทียนจะมีความสามารถอยู่จริงๆ แต่ก็ไม่ควรจะเย่อหยิ่งจองหองแบบนี้ คำพูดคำจาก็มีแต่จะประชดประชันเสียดสีกันทั้งนั้น
ไม่ใช่แค่นายพลจ้าวเท่านั้น แม้แต่ซ่งเฮ่าเทียนเองก็รู้สึกว่าเยี่ยเทียนล้ำเส้นเกินไปหน่อย การพูดจาแบบนี้ถ้าไปอยู่ในสมัยโบราณละก็ ได้ถูกลงโทษประหารไปเก้าชั่วโคตรแน่ ถึงจะเป็นสมัยปัจจุบัน ก็จะตกเป็นเป้าให้ผู้อื่นเพ่งเล็งได้ง่ายอยู่ดี เขาไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมเยี่ยเทียนที่เฉลียวฉลาดมาตลอดถึงได้กล่าวคำพูดแบบนี้ออกมา?
“คุณน่ะนั่งลงไปเถอะ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็จะใช้กองทัพนับล้าน กองทัพนับล้านของคุณน่ะ ในสายตาของผมแล้วไม่ได้มีความหมายอะไรเลยสักนิด!”
เยี่ยเทียนที่กำลังยิ้มแย้มจนตาหยีพลันหน้าตึงไปทันที ดวงตาฉายประกายเย็นวาบ พลังกดดันที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากร่าง ในชั่วขณะนั้น ทุกคนในห้องต่างรู้สึกราวกับมีภูเขาลูกใหญ่ทับลงมาบนร่าง กระทั่งลมหายใจยังถี่กระชั้นขึ้นมา
เดิมทีเยี่ยเทียนมีใบหน้ายิ้มแย้ม ดูแล้วไม่น่ามีพิษมีภัย ยามนี้กลับดูเหมือนเป็นเจ้าจักรพรรดิก็ไม่ปาน เมื่อสายตาของเขากวาดผ่านร่างของแต่ละคนไป ต่างก็เกิดความรู้สึกทรมานยากจะทนทาน ความรู้สึกนี้ช่างพิลึกพิลั่นนัก เพราะความกดดันเช่นนี้ เมื่อก่อนพวกเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายมอบให้แก่ผู้อื่น
ยังดีที่เยี่ยเทียนแผ่พลังกดดันออกมาเพียงไม่กี่วินาทีก็หยุดแล้ว คนทั้งหลายจึงกลับมาหายใจได้ทั่วท้องดังเดิม แต่บนหน้าผากกลับเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ ตอนนี้พวกเขาถึงเพิ่งจะรู้ว่า เยี่ยเทียนไม่ได้เป็นลูกแกะที่จะยอมรับการโขกสับใดๆ ก็ได้
“เยี่ยเทียน คุณก็น่าจะรู้ว่า ตั้งแต่โบราณมา จอมยุทธที่ทำผิดกฎโดยใช้กำลังนั้น ไม่มีใครได้มีจุดจบที่ดีหรอก!” นายพลจ้าวมีชีวิตดั่งม้าศึกมาตลอด สิ่งที่ยอมรับไม่ได้ที่สุดก็คือการข่มขู่ ยามนั้นจึงตะโกนขึ้นมาว่า
“ฉางเฮ่า พาพวกเข้ามาเดี๋ยวนี้!”
เมื่อนายพลจ้าวตะโกนเรียก ประตูก็ถูกผลักเปิดจากข้างนอก เมื่อครู่ฉางเฮ่าที่เฝ้าคุมอยู่นอกประตูก็รู้สึกถึงพลังกดดันนั้นเช่นกัน มือขวาจึงแตะด้ามปืนอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว หากเยี่ยเทียนเคลื่อนไหวอย่างมีพิรุธแม้แต่น้อย เขาก็จะลั่นไกโดยปราศจากความลังเล
“พวกคุณไม่รู้หรอกรึว่าอาวุธปืนใช้กับผมไม่ได้น่ะ?”
เยี่ยเทียนมองดูพวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประตู แล้วแค่นหัวเราะ สายตาพลันจับจ้องไปที่แขนของฉางเฮ่า แขนขวาของฉางเฮ่าซึ่งกำลังกุมด้ามปืนอยู่ในมือสั่นระริกขึ้นมาทันที เขาหยิบปืนออกมาจากอกเสื้อ แล้วเล็งไปที่ตำแหน่งของเยี่ยเทียน นิ้วมือเหนี่ยวไกไปเองโดยไม่อาจควบคุมได้
“ปังๆ…ปังๆๆ!”
ปืนพกที่ฉางเฮ่าใช้อยู่นั้นผ่านการดัดแปลงมา สามารถบรรจุกระสุนได้สิบสี่นัด และยังเป็นอาวุธปืนชนิดพิเศษที่สามารถยิงติดต่อกันได้โดยอัตโนมัติ เมื่อเหนี่ยวไกลงไปครั้งหนึ่ง กระสุนสิบกว่านัดที่อยู่ในลำกล้องก็ยิงออกมาเสียงดังเฟี้ยวฟ้าวไปทางเยี่ยเทียนอย่างรวดเดียวทันที
“ฉางเฮ่า ใครสั่งให้คุณยิงปืน?!”
ขณะที่ฉางเฮ่าหยิบปืน เยวี่ยเหล่าก็ลุกขึ้นมาแล้ว แต่เขาย่อมไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของฉางเฮ่าได้ ขณะเดียวกันกับที่ตะโกนประโยคนี้ออกไป กระสุนก็พุ่งไปถึงหน้าเยี่ยเทียนแล้ว
แต่ทว่าปรากฏการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น กระสุนที่พุ่งออกจากลำกล้องด้วยความเร็วสูงชนิดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่านั้น ขณะที่ยังอยู่ห่างจากร่างของเยี่ยเทียนอีกหนึ่งเมตร ก็กลับพลันหยุดค้างอยู่กลางอากาศ กระสุนสิบกว่านัดนั้นไม่อาจคืบหน้าไปได้อีกเลยแม้แต่เซ็นติเมตรเดียว ราวกับจมติดอยู่ในปลัก
เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงจังงัง ระหว่างที่พวกเขายังไม่ทันจะเรียกสติกลับมาได้ มือเรียวยาวขาวผ่องข้างหนึ่งก็คว้าเก็บกระสุนเหล่านั้นไว้ในอุ้งมือ
“ถ้าอยากจะฆ่าผม ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ แต่ก่อนอื่นพวกคุณจะต้องจับผมมัดไว้ จากนั้นก็ใช้หัวรบนิวเคลียร์จู่โจม คาดว่าแบบนั้นผมคงไม่น่าจะรอด ส่วนวิธีอื่นๆ น่ะ เลิกคิดไปได้เลย!”
เยี่ยเทียนกำฝ่ามือ พอแบออกมาอีกครั้ง ผงทองแดงหนึ่งกำมือก็เทร่วงลงมาจากฝ่ามือ
“ผมน่ะเป็นคนจิตใจคับแคบ ถ้าฆ่าผมไม่ตายละก็ ต่อให้ไปซ่อนอยู่ในรูหนู ผมก็จะขุดค้นตัวคุณออกมาให้ได้!”
ทันทีที่พูดจบ เยี่ยเทียนก็อ้าปากพ่นประกายสีขาวสายหนึ่งออกมาวนเวียนรอบตัว เท้าขวากระทืบลงพื้นหนึ่งที แล้วร่างของเยี่ยเทียนก็ทะยานขึ้นสูง เพดานจุดที่อยู่เหนือศีรษะละลายแหว่งไปในพริบตา ราวกับหิมะหรือน้ำแข็งที่ต้องแสงอาทิตย์ก็ไม่ปาน
……………………
[1] วัตถุนิยม เป็นแนวคิดที่เน้นการมองโลกตามความเป็นจริงและหลักวิทยาศาสตร์