หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 867 ตัวยา
“เหล่าจ้าว คุณคิดว่ายังไง?”
หลังจากรอจนดอกเตอร์เจิ้งออกไปแล้ว เยวี่ยเหล่าก็มองไปที่นายพลจ้าว กล่าวตามตรง วันนี้หลังจากถูกไอ้หนุ่มเมื่อวานซืนอย่างเยี่ยเทียนก่อกวนมายกหนึ่ง ทุกคนก็ออกจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่ เพราะดำรงตำแหน่งสูงมานาน พวกเขาจึงได้รับการยกยอชูเชิดจนเคยชินไปแล้ว
“หมดหนทางแล้วละ อาวุธปืนธรรมดาทำอะไรมันไม่ได้เลยนี่”
นายพลจ้าวส่ายหน้า แม้ว่าก่อนหน้านี้กิริยาของเขาจะดูวู่วามไปบ้าง แต่ผู้ที่สามารถมานั่งถึงตำแหน่งนี้ได้นั้นย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอยู่แล้ว นายพลจ้าวในตอนนี้ดูราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่ เขาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า
“นอกเสียจากว่าจะสละชีพของชาวเมืองสักเมืองหนึ่งไปพร้อมกับมันด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่แน่เหมือนกันว่าจะกำจัดมันได้จริงรึเปล่า!”
“อะไรนะ?!”
คำพูดของนายพลจ้าวทำให้ทุกคนที่นั่นต่างสูดลมหายใจเย็นเยียบพร้อมๆ กัน การสละเมืองไปหนึ่งเมืองนั้น เป็นราคาแลกเปลี่ยนที่สูงเกินไปจริงๆ แม้แต่พวกเขาเองก็ไม่อาจจะยอมรับได้เช่นกัน
เมืองขนาดเล็กแห่งหนึ่งในประเทศจีนนั้น ก็เท่ากับประชากรจำนวนหลายสิบล้านคนแล้ว การที่จะทำเช่นนั้นจึงเป็นเรื่องที่โหดเหี้ยมเกินไปจริงๆ พวกเขาไม่มีที่จะทางเลือกใช้วิธีเผาหยกพร้อมกับหินแบบนี้แน่ นอกเสียจากว่าทุกคนจะเป็นบ้าไปพร้อมกันทั้งหมู่คณะ
“เอาละ เรื่องนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน ผมหวังว่าทุกท่านจะสามารถควบคุมคนของตัวเองได้ ไม่ว่าใครก็ห้ามไปยั่วยุเยี่ยเทียน”
เยวี่ยเหล่ารู้ว่า แต่ละคนที่อยู่ในห้องประชุมขณะนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นตัวแทนของพลังอำนาจอันมหาศาล ถึงพวกเขาจะเข้าใจความน่าสะพรึงกลัวของเยี่ยเทียน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาจะรู้ด้วย นี่ก็เป็นอย่างคำกล่าวที่ว่า เจรจากับยมราชง่ายกว่าไปต่อรองกับพวกผีเล็กปีศาจน้อยนั่นเอง
เยวี่ยเหล่าคิดดูครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวต่อ
“อีกอย่าง ให้ส่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษไปสักหนึ่งทีม ต้องรับรองความปลอดภัยของบ้านตระกูลเยี่ยให้ได้”
หลังจากได้เห็นการสาธิตแสดงพลังอันแข็งแกร่ง เยวี่ยเหล่าก็รู้ว่า ยาวิเศษของเยี่ยเทียนไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาอย่างง่ายดาย เพราะหากครอบครัวของเยี่ยเทียนเกิดประสบเหตุอะไรขึ้นมา อย่างนั้นผู้ที่จะต้องเป็นคนรองรับเพลิงโทสะก็คงหนีไม่พ้นพวกเขาเหล่านี้
“วางใจเถอะครับท่าน พวกเรารู้ว่าเรื่องนี้ร้ายแรงขนาดไหน!”
ทุกคนในห้องประชุมต่างตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า จะต้องกลับไปเตือนลูกหลานที่บ้านว่าอย่าได้ไปตอแยหาเรื่องเยี่ยเทียนเป็นอันขาด ในใจพวกเขารู้ดีว่า ชายหนุ่มผู้มีใบหน้ายิ้มแย้ม ดูเหมือนจะไม่มีพิษมีภัยคนนี้ เป็นบุคคลที่สามารถตัดสินใจลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมอำมหิต ลำพังแค่เหตุการณ์ที่พม่า เขาก็เก็บคนญี่ปุ่นไปเป็นร้อยคนแล้ว
ถ้าลูกหลานในบ้านคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ ไปยั่วยุเยี่ยเทียนเข้า ต่อให้ถูกเยี่ยเทียนเก็บไป พวกเขาก็ไม่มีปัญญาจะทำอะไรได้ เหมือนดังที่กล่าวกันว่า จอมยุทธใช้กำลังเป็นเครื่องตัดสินนั่นเอง
เมื่อคนเราก้าวขึ้นไปมีตำแหน่งสูงระดับผู้ปกครองประเทศแล้ว ก็มักจะเกิดปัญหาต่างๆ ตามกันมาเป็นชุด ยังดีที่ตอนนี้ตัวปัญหามีเพียงเยี่ยเทียนคนเดียว ไม่เช่นนั้น ต่อให้ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียที่ใหญ่โตกว่านี้ พวกเขาก็จะต้องคิดหาวิธีที่จะชักจูงคนเหล่านี้มาเข้าร่วม หรือไม่ก็กำจัดทิ้งไปเสียให้ได้
…………
หลังจากที่เดินทางกลับมาจากซีซานแล้ว เยี่ยเทียนพบว่า กล้องวงจรปิดหลายสิบตัวที่เคยติดตั้งไว้รอบนอกเรือนสี่ประสานของเขานั้นถูกรื้อถอนไปหมดแล้ว แต่ครอบครัวที่อยู่ตรงปากซอยนั้นกลับไม่ได้ย้ายออกไป ตรงกันข้าม ยังมีคนเช่าหนุ่มๆ ย้ายเข้าไปอยู่เพิ่มอีกหลายคนด้วย
แต่เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก เขารู้สึกได้ว่า จุดประสงค์ของคนเหล่านี้เปลี่ยนจากมาเฝ้าสังเกตการณ์เป็นมาเฝ้าคุ้มกันแทนแล้ว ถึงอย่างไรพ่อแม่กับญาติๆ ของเขาก็ไม่ได้รู้สึกเอะใจอะไรในจุดนี้ เยี่ยเทียนจึงปล่อยพวกนั้นไป
หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ โก่วซินเจียและโจวเซี่ยวเทียนก็เดินทางจากฮ่องกงมาถึงปักกิ่ง เยี่ยเทียนจึงขับรถไปรับทั้งสองคนที่สนามบินและพากลับมาบ้าน
“ศิษย์น้องเล็ก ในนี้มียาวิเศษสิบหกเม็ดนะ เหมือนกับที่คุณตาของเธอกินไปนั่นละ”
พอเข้ามานั่งในเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียก็หยิบขวดยาที่ทำจากหยกขาวออกมาสองขวด ยาวิเศษที่ต้องใช้ตัวยาที่มีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีในการปรุงขึ้นมาเช่นนี้ จะมีปราณวิเศษจากธรรมชาติสะสมอยู่ภายใน มีเพียงขวดที่ทำจากหยกขาวเท่านั้น จึงจะสามารถรับประกันได้ว่าฤทธิ์ของยาจะไม่เสื่อมลงไป
โก่วซินเจียชี้ไปยังขวดหยกใบที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ แล้วบอกว่า
“ยาในขวดนี้ฤทธิ์อ่อนไปหน่อย แต่ก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้สูงอายุอยู่มากเหมือนกัน ให้พ่อแม่กับป้าๆ ของเธอไว้ใช้ก็แล้วกันนะ”
เยี่ยเทียนเปิดขวดออก เทยาวิเศษซึ่งมีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวออกมาหนึ่งเม็ด แล้วยกขึ้นมาดมใกล้ๆ จมูก
“หืม? ในยานี่เพิ่มหวงฉิน (อึ่งงิ้ม) เหอโส่วอู (ห่อสิ่วโอว) กับโสมคนเข้าไป ใช้บำรุงร่างกายได้จริงๆ ด้วย”
“ตัวยาที่เธอให้มาคราวก่อนมีอายุมากพอสมควรเลย ไม่ว่าจะเอาไปทำแบบไหนก็ได้ยาวิเศษคุณภาพดีๆ มาทั้งนั้น”
หลังจากส่งขวดหยกทั้งสองให้เยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียก็ทำหน้าลำบากใจแล้วพูดขึ้นว่า
“ศิษย์น้องเล็ก ยาวิเศษพวกนี้ทุกๆ ครึ่งเดือนก็รับประทานเม็ดหนึ่ง ดูจากจำนวนคนในครอบครัวของเธอแล้วน่าจะมีพอใช้ไปประมาณหนึ่งปี เพราะฉะนั้นอีกหนึ่งปีให้หลัง เธอก็จะต้องคิดหาวิธีไปนำตัวยากลับมาอีกนะ”
ระหว่างที่ฝึกปราณอยู่ในทะเลนั้น โก่วซินเจียได้ปรุงยาวิเศษที่มีฤทธิ์เสริมสร้างพื้นฐานออกมาได้ไม่น้อยเลย และก็ใช้แต่ตัวยาที่ดีที่สุดทั้งนั้น หลังจากที่ปรุงยาอายุวัฒนะเหล่านี้ออกมาได้ ตัวยาที่เยี่ยเทียนนำมาให้จึงมีเหลืออยู่ไม่มากแล้ว
เยี่ยเทียนพยักหน้า
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหาเลยครับ ศิษย์พี่ใหญ่ยังไม่ต้องกลับไปฮ่องกงนะครับ เดี๋ยวอีกไม่กี่วันผมก็จะไปหามาเลย ถึงตอนนั้นศิษย์พี่ใหญ่จะได้พกตัวยากลับไปปรุงด้วย”
“ได้ ฉันอยู่ที่ไหนก็เหมือนกันนั่นละ”
หลังจากที่เข้าสู่ระดับเซียนเทียน โก่วซินเจียก็มีความรู้สึกว่า ในโลกนี้มีปราณวิเศษอยู่น้อยเสียจนน่าโมโหนัก ถ้าไม่ได้ใช้พลอยวิเศษในการฝึกปราณ ต่อให้เขานั่งสมาธิตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงทุกวัน พลังฝีมือก็คงจะยังไม่ก้าวหน้าไปถึงไหนอยู่ดี
“ศิษย์พี่ใหญ่ครับ พลอยวิเศษพวกนั้นเก็บสำรองไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือพวกพี่ก็แบ่งกันนำไปใช้ฝึกปราณคนละสามเม็ดเลย ไม่ต้องไปกระเบียดกระเสียนหรอกนะครับ”
พลอยวิเศษที่เยี่ยเทียนเก็บมาได้เหล่านั้น มีอยู่จำนวนมากที่มีคุณภาพถึงระดับกลาง อาศัยพลังฝีมือของพวกโก่วซินเจีย พลอยวิเศษเม็ดหนึ่งก็เพียงพอให้พวกเขาใช้ฝึกปราณไปได้หนึ่งปีแล้ว แน่นอนว่า พลอยวิเศษคุณภาพสูงที่มีอยู่เพียงสามเม็ดรวมถึงเบาะหัวใจไม้นั้นเยี่ยเทียนได้เก็บไปแล้ว เพราะถ้านำของเหล่านี้มาใช้ฝึกวิชาก็ดูจะเป็นการฟุ่มเฟือยเกินเหตุ
“ศิษย์พี่ใหญ่ พี่ปรุงยาวิเศษล้างไขกระดูกออกมาอีก แล้วให้เจียงซานกินบ้างเถอะนะครับ”
เยี่ยเทียนคิดๆ ดู แล้วก็ยกโทรศัพท์ที่ถืออยู่ขึ้นมา กดหมายเลขแล้วต่อสาย เมื่ออีกฝ่ายรับสายแล้วจึงพูดขึ้นว่า
“ท่านผู้เฒ่า ยาวิเศษนั่นมาถึงแล้วนะครับ รายการตัวยาที่ผมให้ไปคราวก่อน ท่านผู้เฒ่าจัดเตรียมไว้ได้กี่ชนิดแล้วครับ?”
ในเมื่อวันนั้นอู๋เหล่าเอ่ยปากแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องช่วยรัฐประหยัดอดออม จึงให้รายชื่อตัวยาแก่ซ่งเฮ่าเทียนฉบับหนึ่ง ตัวยาที่ระบุไว้ในนั้นเป็นสมุนไพรที่หาพบได้ทั่วไป แต่อายุของตัวยาที่ต้องการนั้น ถ้าแพทย์แผนจีนคนไหนมาเห็นเข้ามีหวังได้ช็อกตายกันเลยทีเดียว
“เย็นนี้ฉันจะเข้าไปที่บ้านแก ส่วนตัวยาน่ะ เดี๋ยวจะให้คนส่งไปให้”
เมื่อได้ยินว่าเยี่ยเทียนได้ยาวิเศษมาแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนเองก็รู้สึกโล่งอก สาเหตุที่เจรจากับคนเหล่านั้นได้ราบรื่นถึงเพียงนี้ อาจเป็นเพราะการแสดงพลังข่มขวัญของเยี่ยเทียนก็จริงอยู่ แต่สาเหตุที่สำคัญยิ่งกว่านั้นกลับเป็นยาอายุวัฒนะเหล่านี้นี่เอง หากจุดนี้เกิดปัญหาขึ้น แม้แต่ซ่งเฮ่าเทียนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทางนั้นจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง
“เรียบร้อยครับ เดี๋ยวพอตัวยาพวกนั้นส่งมาถึงแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ก็เอาไปใช้ก่อนเลยนะครับ”
เยี่ยเทียนวางสายโทรศัพท์ แล้วหันไปทางโก่วซินเจีย
“ศิษย์พี่ใหญ่ แล้วทางเหล่าถังเป็นยังไงบ้างครับ?”
หลังจากกลับมาจากมหาสมุทรอินเดีย พวกเยี่ยเทียนต่างก็รู้สึกได้พร้อมๆ กันว่า ถังเหวินหย่วนดูคล้ายว่าจะต้องเกิดเรื่อง จึงได้แบ่งกำลังคนแยกกันไปสองทาง ภายหลังเมื่อเยี่ยเทียนเสี่ยงทายดูก็พบว่า ถังเหวินหย่วนได้พลิกชะตาจากร้ายกลายเป็นดี เคราะห์กลายเป็นลาภ ตอนนี้จึงไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว
“อาจารย์ครับ มีคนไปสอดแนมที่บ้านพักของพวกเรา โดนผมเก็บไปหลายคนแล้ว ตอนนี้มีอาจารย์ลุงรองกับศิษย์น้องเหลยเฝ้าดูอยู่ น่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรแล้วละครับ”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ โจวเซี่ยวเทียนที่อยู่ด้านข้างก็แทบจะหลั่งเหงื่อเย็นเยียบไปทั่วร่าง ในคืนวันแรกที่พวกเขาเดินทางไปถึงฮ่องกง บ้านพักบนสันเขาของเยี่ยเทียนหลังนั้นก็ถูกโจมตี เคราะห์ดีที่พวกเขากลับไปถึงทันเวลา ไม่อย่างนั้นถังเหวินหย่วนก็คงยากที่จะพ้นเคราะห์ภัยครั้งนี้ไปได้
“เป็นฝีมือของใครกัน?”
เยี่ยเทียนได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว หลังจากประสบการณ์ที่ไซบีเรีย เขาเชื่อว่าชื่อของตัวเองคงจะกลายเป็นจุดสนใจของนานาประเทศไปแล้ว ถ้ามีคนอยากจะเข้าไปเก็บข้อมูลจากในบ้านพักของเขา เยี่ยเทียนก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร
โจวเซี่ยวเทียนส่ายหน้า
“เป็นพวกชาวต่างชาติน่ะครับ แต่บนตัวพวกนั้นไม่มีหลักฐานแสดงตัวตนอะไรสักอย่างเลย ก็เลยสืบค้นไม่ได้ แต่ว่า…ดูแล้วน่าจะเป็นพวกทหารมืออาชีพ”
ตอนนั้นพวกที่บุกเข้าไปในบ้านพักมีกันทั้งหมดสี่คน หลังจากที่ถูกพบเข้า พวกนั้นก็ไม่ได้แตกตื่นลนลาน คิดจะฝ่าออกไปโดยพึ่งพาอาวุธปืนที่มีอยู่ แต่ไม่ว่าอย่างไรคนเหล่านี้ก็คงจะนึกไม่ถึงว่า ในบ้านพักแห่งนั้นมียอดฝีมือระดับเซียนเทียนชุมนุมกันอยู่ถึงสามคน ไม่มีทางที่พวกเขาจะรอดกลับไปได้เลย
“เดี๋ยวแกเอารูปถ่ายของคนพวกนั้นมาให้ฉันทีนะ ฉันจะลองให้คนไปสืบดู”
เยี่ยเทียนเองก็จนปัญญากับเรื่องนี้ เขาสามารถข่มขวัญคนในประเทศได้ แต่กับอำนาจที่มาจากต่างประเทศนั้นเขากลับไม่มีหนทางเลย โดยเฉพาะประเทศทางทวีปยุโรปซึ่งมีผู้มีพลังพิเศษอยู่ อย่างดยุกอะไรนั่นที่เคิร์ทพูดถึง ก็คงจะเป็นบุคคลที่ตอแยด้วยยากคนหนึ่งเหมือนกัน
ระหว่างที่กำลังพูดอยู่ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ตัวยาที่ซ่งเฮ่าเทียนจัดแจงไว้ส่งมาถึงแล้ว
“ไว้อีกสักหลายๆ วันผมว่าจะไปเสินหนงเจี้ยสักเที่ยวหนึ่งดีกว่า ถึงตอนนั้นจะได้พาเหมาโถวกลับมาด้วย คิดถึงเจ้าตัวเล็กนั่นอยู่เหมือนกัน”
หลังจากตรวจดูตัวยาเหล่านั้นเสร็จ เยี่ยเทียนและโก่วซินเจียต่างก็ต้องผิดหวังอย่างแรง เพราะในตัวยาทั้งหมดนี้ มีที่อายุถึงหนึ่งร้อยปีอยู่เป็นจำนวนน้อยอย่างยิ่ง อีกทั้งยังผ่านการหมักและตากแห้งมาแล้วทั้งนั้น ฤทธิ์ยาจึงหายไปเกือบหมด แม้จะหลอมยาวิเศษออกมาได้ ก็คงจะไม่ได้ประโยชน์เท่าไร
“ศิษย์น้องเล็ก ให้ฉันไปด้วยดีไหม?”
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนเอ่ยขึ้นดังนั้น โก่วซินเจียก็เกิดความสนใจขึ้นมา หลังจากที่เข้าสู่ระดับเซียนเทียน เขาก็นับว่าเป็นผู้บำเพ็ญพรตที่ติดอันดับในวงการผู้หนึ่ง จึงย่อมจะมีความสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับวานรขาวผู้บรรลุญาณที่เยี่ยเทียนพูดถึงเป็นธรรมดา
“ดีครับ ถึงตอนนั้นพวกเราก็ไปด้วยกันเลย”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ศิษย์พี่ใหญ่มีทักษะด้านการปรุงยาวิเศษเหนือกว่าเขา ถ้ามีศิษย์พี่ใหญ่ไปด้วย สวนสมุนไพรของเจ้าวานรขาวนั่นคงได้ถึงคราวซวยแล้วละ
…………
หลังจากที่ซ่งเฮ่าเทียนนำยาวิเศษขวดนั้นไปแล้ว ชีวิตของเยี่ยเทียนก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง เขาไม่ได้รีบร้อนที่จะไปเสินหนงเจี้ย แต่ละวันถ้าไม่ไปจ่ายตลาดเป็นเพื่อนแม่และภรรยา ก็ไปร่วมงานประมูลต่างๆ กับเยี่ยตงผิง ตอนนี้เยี่ยตงผิงเรียกได้ว่ากลายเป็นบุคคลแนวหน้าในวงการวัตถุโบราณที่กรุงปักกิ่งไปแล้ว
หลังจากอยู่บ้านมาได้ประมาณหนึ่งเดือน และให้คำรับรองกับแม่และภรรยาไปหลายครั้งแล้ว เยี่ยเทียนจึงจะเริ่มเตรียมตัวมุ่งหน้าไปเสินหนงเจี้ยพร้อมกับศิษย์พี่ใหญ่
นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว เจ้าสิงห์ขนทองน้อยก็ถูกเยี่ยเทียนพาไปด้วยเช่นกัน เจ้าตัวเล็กนี่เติบโตขึ้นมาโดยกินสมองของเสือและสิงห์โตมาตั้งแต่เกิด สัญชาติญาณป่ายังไม่ได้รับการฝึกให้เชื่อง หากมีเขาอยู่ใกล้ๆ ก็อาจจะยอมเชื่อฟังบ้าง แต่ถ้าเขาไม่อยู่ แล้วมันเกิดคลั่งขึ้นมาละก็ คงไม่มีใครควบคุมมันได้แน่
“เป็นสถานที่ ที่ดี ถ้ารู้อย่างนี้สมัยก่อนฉันก็คงไม่ไปอยู่ที่ไต้หวันหรอก!”
หลังจากที่ผ่านเมืองเล็กๆ แห่งนั้นเข้าสู่เสินหนงเจี้ย และสัมผัสได้ถึงปราณวิเศษธรรมชาติอันเข้มข้น โก่วซินเจียก็ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที
………………………