หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 877 ชิ้นส่วนคัมภีร์
“ดูท่าร่างที่ไม่เน่าเปื่อยของจางซันเฟิง ไม่ได้เป็นเพราะหัวใจของต้นไม้เพียงอย่างเดียว!”
เยี่ยเทียนมองดูร่างห้าร่างในเจดีย์แล้วจุ๊ปาก คนพวกนี้ตายไปนานแล้ว แต่กายเนื้อที่นั่งประทับอยู่ที่นี่ทุกร่างต่างแผ่พลังมหาศาลออกมาจนเยี่ยเทียนรู้สึกกดดัน
“ในเจดีย์นี้มีร่างของเหล่าผู้อาวุโสแห่งตระกูลซือคงก่อนที่จะเสียชีวิต เยี่ยเทียน แกห้ามลบหลู่พวกท่านเด็ดขาด!”
วานรขาวตบะไม่แกร่งกล้าเท่าเยี่ยเทียน แต่รู้สึกได้ว่าเยี่ยเทียนใช้ดวงจิตเข้าไปสืบเสาะในเจดีย์แล้ว สีหน้าของมันจึงดูไม่พอใจนัก มันรู้สึกเหมือนว่าตอนนี้มันเป็นคนปล่อยขโมยเข้าไปในบ้านเจ้านาย
“เหอะๆ ไม่ลบหลู่อยู่แล้ว พี่วานรขาว ฉันแค่อยากรู้ว่าสถานที่เก็บคัมภีร์โบราณของถ้ำอยู่ที่ไหน?”
เยี่ยเทียนเก็บดวงจิตกลับมา แล้วบอกจุดประสงค์ของตัวเองตรงๆ ถ้าให้เขาหาเองเขาก็หามันได้พบแน่ แต่ถ้าให้ค้นหาในสถานที่ที่กว้างขวางมีห้องเป็นสิบๆห้องแบบนี้ ไม่สู้เอ่ยปากถามตามตรงๆดีกว่า
“แกหมายถึงหอคัมภีร์ใช่ไหม? ฉันจะพาแกไป!”
ได้ยินดังนั้นวานรขาวดีใจขึ้นมาทันที มันเป็นแค่ปีศาจวานรตัวหนึ่ง ใช้การฝึกวิชาแบบมนุษย์ไม่ได้ หนังสือในหอคัมภีร์เหล่านั้นสำหรับมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเยี่ยเทียนอยากไปหอเก็บสมบัติ มันคงไม่ปลื้มใจนัก
“ผู้ที่สร้างถ้ำแห่งนี้ขึ้นมาเป็นคนที่มีเทคนิคฝีมือขั้นเทพ ผู้อาวุโสที่ตั้งค่ายกลยิ่งเหนือชั้น!”
เพื่อเป็นการแสดงความเคารพแด่ผู้คนตระกูลซือคง เยี่ยเทียนและโก่วซินเจียเลือกเดินเท้าขึ้นเขาไป พวกเขาสังเกตเห็นว่าการก่อสร้างตกแต่งในแต่ละจุดมีความประณีตสวยงามแปลกตา สะพานทุกแห่งต้นไม้ทุกต้นซ่อนกลไกเอาไว้ ความสวยงามลงตัวกับทัศนียภาพได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ตัวอาคารแบ่งเป็นชั้นๆ ทั้งยังปกคลุมด้วยพลังธรรมชาติอันบางเบา ทำให้สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ไม่ผุพังไปตามกาลเวลา สีสันที่ถูกแต่งแต้มยังคงสดใหม่ราวกับเพิ่งระบาย ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเองเยี่ยเทียนจะไม่มีทางเชื่อเลยว่ามันเพิ่งโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน
“ที่นี่ถูกก่อสร้างต่อเติมโดยประมุขตระกูลซือคงรุ่นแล้วรุ่นเล่า ไม่ได้เป็นฝีมือของคนๆเดียว”
วานรขาวอธิบายให้เยี่ยเทียนฟัง พอนึกถึงเจ้านายคนสุดท้ายที่เสียชีวิตไป วานรขาวได้แต่ก้มหน้าเศร้าใจ
“ทุกสิ่งบนโลกนี้ถูกกำหนดไว้แล้ว พี่วานรขาวอย่าโทษตัวเองเลย”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า สถานที่แห่งนี้ดูราวกับสวรรค์ชั้นฟ้า สิ่งก่อสร้างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าตระกูลซือคงเคยยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากแค่ไหน แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ตัวอาคารยังคงอยู่ แต่ไม่มีคนเหลืออยู่แล้ว
เช่นเดียวกับราชวงศ์สูงศักดิ์ ไม่มีราชวงศ์ไหนที่ครอบครองใต้หล้าตลอดไป ความรุ่งเรืองความเสื่อมโทรมถูกบอกเล่าต่อกันมา เรื่องราวยังอยู่แต่ไม่มีคนในอดีตเล่าให้ฟังแล้ว
“เยี่ยเทียน ที่นี่แหละ หวังว่าแกจะยึดมั่นตามสัญญานะ!”
มาถึงบริเวณเชิงเขามีอาคารขนาดสองชั้นตั้งอยู่ วานรขาวหยุดเดิน บนบานประตูใหญ่มีป้ายเขียนว่า “หอคัมภีร์”
“พี่วานรขาวไม่เข้าไปด้วยกันเหรอ?”
เยี่ยเทียนหันมาถาม
“เจ้านายสั่งไว้ว่าไม่ให้ฉันเข้าไปในหอคัมภีร์กับหอสมบัติ”
วานรขาวส่ายหัว ตัวของมันเฝ้าที่นี่มานาน กลับไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในสถานที่เก็บของสำคัญของตระกูล ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยประสาลิง มันคงจะเข้าไปเล่นซนในสถานที่เก็บของสำคัญจนเละเทะไปหมด
“ได้ งั้นฉันเข้าไปแล้วนะ”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ยื่นมือออกไปผลักประตูบานใหญ่ ประตูเปิดออกอย่างง่ายดาย ไม่เหมือนกับประตูที่ถูกทิ้งร้างไม่มีคนเปิดมาหลายสิบปี
“รากฐานของตระกูลซือคงนี่มั่นคงมาก สมกับเป็นตระกูลผู้ฝึกบรรลุเซียนมาเป็นพันปี!”
เข้าไปที่ชั้นหนึ่งของหอคัมภีร์แล้ว เยี่ยเทียนอดชื่นชมไม่ได้ ห้องภายในแม้ไม่ใหญ่มาก แต่มีหนังสือมากมายวางเรียงไปตามชั้นบนผนัง บนชั้นหนังสือมีคัมภีร์โบราณอยู่หลายเล่ม บนคัมภีร์เหล่านี้ยังมีพลังธรรมชาติแผ่วๆปกคลุมไว้ พลังไม่ได้หายไปได้ มันคอยปกป้องคัมภีร์เก่าแก่พวกนี้ไม่ให้เสียหาย
“คัมภีร์หวงถิงจิง คัมภีร์เต๋าเต๋อจิง คัมภีร์ลำดับสามราชวงศ์ชิง คัมภีร์หัวใจการเดินปราณ
จากซ้ายมาขวาเยี่ยเทียนดูชื่อคัมภีร์โบราณเรียงตามลำดับ แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะหนังสือส่วนใหญ่เป็นคัมภีร์ที่มีชื่อเสียงของลัทธิเต๋า บนโลกมนุษย์ก็มีสืบทอดอยู่ ไม่มีเล่มไหนที่เกี่ยวกับการฝึกวิชาเลย
เยี่ยเทียนไม่หยิบขึ้นมาดู เพราะเหตุว่าการหยิบจับจะทำลายพลังธรรมชาติที่ควบคุมอยู่ เยี่ยเทียนไม่สามารถวางค่ายกลใหม่ให้กลับเป็นสภาพเดิมได้ ถือเป็นการทำลายคัมภีร์โบราณโดยใช่เหตุด้วย
เยี่ยเทียนโคลงศีรษะไปมา เขากลับหลังหันเดินขึ้นชั้นสอง ชั้นสองมีพื้นที่ว่างน้อยกว่ามาก มีเพียงชั้นวางคัมภีร์สองชั้นเท่านั้น ชั้นหนึ่งวางหนังสือไว้สองเล่ม ส่วนอีกชั้นมีเพียงเศษกระดาษบางวางเรียงอยู่ไม่กี่แผ่น แต่ละแผ่นขาวสะอาด มองดูแล้วแตกต่างจากกระดาษในหน้าหนังสือทั่วไป
“คัมภีร์วิสุทธิสูตร วิชาดาบหยวนกง?”
เยี่ยเทียนเดินไปที่ชั้นวางคัมภีร์สองเล่มนั้น เขาหยุดยืนแล้วอ้าปากเป่าพลังปราณออกมาจากปาก ไปที่พลังวิเศษบนตัวหนังสือ คัมภีร์วิสุทธิสูตรหน้าแรกถูกเปิดออก
“เอ๋? นี่ไม่ค่อยมีประโยชน์กับฉันเท่าไหร่!” เยี่ยเทียนอ่านที่บทสรุปในหน้าแรกคร่าวๆด้วยสีหน้าผิดหวัง คัมภีร์เล่มนี้เป็นเพียงคัมภีร์สอนวิธีฝึกจิตให้เป็นเต๋า ประโยชน์ของมันยังสู้วิชาในบันทึกของจางซันเฟิงไม่ได้เลย
“เฮ้อ วิชาดาบหยวนกงนี้อธิบายถึงการควบคุมมีดบิน?”
เยี่ยเทียนใช้วิธีเดิมเปิดคัมภีร์วิชาดาบหยวนกง เขาก็รู้สึกดีใจขึ้นมา ถึงเขาได้สร้างมีดบินประจำกายขึ้นเล่มหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่มีวิชาควบคุมมัน เพียงแต่ใช้ดวงจิตควบคุมมีดบินให้ไปจัดการกับศัตรูเท่านั้น ด้วยคุณสมบัติของมีดนั้นเขายังเข้าถึงมันได้น้อยเกินไป
“เป็นอย่างนี้นี่เอง มีดบินยังใช้แบบนี้ได้ด้วย?”
เยี่ยเทียนอ่านคัมภีร์เล่มนั้นอย่างหลงใหล ในวิชาดาบของหยวนกงนั้นมีบางสิ่งที่สามารถนำไปใช้ได้ และเป็นการเปิดประตูการเรียนรู้บานใหญ่ของเยี่ยเทียน เมื่อก่อนตัวเองไม่ได้ใช้เคล็ดลับวิชามีดบินเลย
เมื่อก่อนใช้มีดบินประจำกายจัดการศัตรูและป้องกันภัย ยังใช้เป็นยานพาหนะได้ด้วย ซึ่งความเร็วของมีดบินนั้นเร็วกว่าพลังปราณเป็นหลายร้อยเท่า ตอนที่ฝึกถึงขั้นจินตันสามารถขี่มีดบินได้ ต่อให้ระยะทางไกลเป็นพันลี้ก็เดินทางได้สะดวก นี่อาจเป็นเคล็ดลับในการกำจัดศัตรูที่อยู่ห่างออกไปพันลี้ได้อย่างง่ายดาย
“ได้เคล็ดลับวิชานี้ไป มาเที่ยวนี้ก็ไม่เสียเปล่าแล้ว”
เยี่ยเทียนใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มจดจำวิชาดาบของหยวนกงจนครบทุกตัวอักษร ตอนนี้เขารู้แล้วว่าจะใช้มันยังไง ถ้าเข้าใจถึงแก่นวิชาแล้ว ยังต้องฝึกให้ชำนาญด้วย
“เยี่ยเทียน ออกมาได้หรือยัง?”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังดื่มด่ำอยู่กับคัมภีร์ดาบ เสียงของวานรขาวดังมาจากด้านนอก พวกลิงเป็นสัตว์ที่ความอดทนต่ำมาแต่ไหนแต่ไร ให้มันรอนานถึงชั่วโมงกว่า มันทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว
“จะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
เยี่ยเทียนมองดูคัมภีร์ดาบอีกครั้ง แล้วสะกดกั้นความอยากจะหยิบมันใส่กระเป๋า เพราะถ้าวานรขาวเห็นเขานำคัมภีร์ที่เป็นเคล็ดลับวิชาของตระกูลออกไปแล้วมันจะแสดงท่าทีอย่างไร
“เอ๋? นี่มันอะไร? คัมภีร์ทุยเป้ยถูหรือ?”
ตอนที่เยี่ยเทียนเดินดูไปถึงคัมภีร์ดาบหน้าสุดท้าย แล้วเขาก็ต้องตะลึงค้าง เพราะบนชั้นหนังสือมีกระดาษวางอยู่แผ่นหนึ่ง จะเป็นทองก็ไม่ใช่เป็นหยกก็ไม่เชิง ลวดลายบนนั้นดูราวกับถูกสร้างขึ้นด้วยอะไรบางอย่าง
ข้างๆกระดาษเหล่านั้นยังมีบันทึกตัวอักษร ด้านบนมีคำสองบรรทัดเขียนจากขวาไปซ้ายว่า
“หนึ่งขีดเปลี่ยนเฉียนคุน หนึ่งคำชี้เป็นตาย!”
“ให้ตายเถอะ อะไรจะขนาดนั้น หรือว่านี่จะเป็นคัมภีร์เป็นตาย? อ่านประโยคสองบรรทัดนั้นแล้วเยี่ยเทียนหัวเราะออกมา แต่ตอนที่เขาเพิ่งสัมผัสกับกระดาษพวกนั้น ใบหน้านิ่งค้างไป
“บันทักภาพรวมชะตาลางบอกเหตุไท่ไป๋ ให้ตายสิ หรือว่านี่จะเป็นคัมภีร์ทุยเป้ยถู?”
บนกระดาษแผ่นหน้าแรกตัวอักษรยาวเหยียดปรากฏขึ้นมาในห้วงจิตของเยี่ยเทียน ทำให้เขารู้ว่าบันทักภาพรวมชะตาลางบอกเหตุไท่ไป๋ เป็นไปได้มากว่าจะเป็นชื่อดั้งเดิมของคัมภีร์ทุยเป้ยถู
“โอ้โห อย่าล้อเล่นกันเชียวนะ? ทำไมหายไปแล้วล่ะ?”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังดูอย่างละเอียดนั้น กระดาษที่เหลืออีกหลายแผ่นได้กลายเป็นกระดาษเปล่า ไม่มีตัวหนังสือ แต่เยี่ยเทียนยังรับรู้ได้ถึงพลังมหาศาล ของมีค่าชิ้นนี้ตัวเองไม่สามารถมองมันได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทำให้เยี่ยเทียนหงุดหงิดขัดใจไม่น้อย
“เอาไม่เอา?”
เยี่ยเทียนตัดสินใจไม่ถูก กระดาษพวกนี้น่าจะเป็นชิ้นส่วนคัมภีร์ส่วนหนึ่ง หรือถ้าเขารวบรวมมันจนครบ ถึงจะอ่านเนื้อหาภายในได้ แต่โลกช่างกว้างใหญ่ เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าจะไปเก็บรวบรวมคัมภีร์ที่กระจัดกระจายได้ที่ไหน
“ไม่ต้องคิดมากหรอก เอาไปแล้วค่อยว่ากัน!”
ในหอคัมภีร์นอกจากวิชาดาบของหยวนกงเท่านั้นที่มีประโยชน์กับเยี่ยเทียน ของสิ่งอื่นแทบไม่มีค่าอะไรเลย ส่วนเนื้อหาในคัมภีร์ดาบนั้นเยี่ยเทียนจดจำได้ขึ้นใจจนครบ ไม่ต้องการนำตัวเล่มไปด้วย
เขาคิดครู่หนึ่งแล้วเยี่ยเทียนก็กางกระดาษพวกนั้นออกมา พลังวิเศษที่คลุมรักษาคัมภีร์อยู่นั้นไม่สูญสลาย แต่ก็ไม่ได้มีเพื่อประโยชน์อย่างอื่น เยี่ยเทียนเก็บกระดาษพวกนั้นเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ของสิ่งนี้ทนทานมาก ไม่ผุพังเน่าเปื่อยได้ง่ายๆ”
เยี่ยเทียนใช้มือบีบขอบกระดาษด้านหนึ่งแล้วกดลงไป มือของเขาที่บีบโลหะให้กลายเป็นฝุ่นผงได้ แต่กับกระดาษพวกนี้ไม่มีผลอะไรเลย มุมขอบกระดาษยังอยู่ดีเหมือนเดิม
“น่าจะเป็นของหายากชิ้นหนึ่ง?”
มองดูอักษรสองแถวบนบันทึกแล้วเยี่ยเทียนหยิบกล่องหยกออกมา นำกองกระดาษที่มีค่าเหล่านี้พับเก็บลงไป ต่อให้ของสิ่งนี้ไม่ใช่คัมภีร์ทุยเป้ยถู ก็ต้องมีที่มาที่ไม่เบา
“พี่วานรขาว ผมเอาชิ้นส่วนคัมภีร์เก่ามาด้วย พี่จะตรวจดูหน่อยไหม?”
เยี่ยเทียนไม่ได้เก็บกล่องหยกทันที ทั้งยังถือมันออกมายื่นให้วานรขาวที่รออยู่ข้างนอกดู
“ไม่ต้องหรอก….”
วานรขาวส่ายหน้า เคล็ดลับวิชาที่มนุษย์ฝึกกันไม่มีความหมายสำหรับมัน ต่อให้เป็นของล้ำค่ามากแค่ไหน มันก็ใช้ไม่ได้
……………………………