หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 900 แลกเปลี่ยน
“เธอช่างปากหวานจริงๆ พระเจ้า ทำไมไม่ให้ฉันอายุน้อยลงสักยี่สิบปี?”
อลิซาเบธม้วนตัวเขินอาย พวงแก้มเกิดสีแดงระเรื่อขึ้น เยี่ยเทียนเยินยอด้วยท่าทีเป็นจริงเป็นจังราวกับพูดออกมาจากใจจริง เป็นการประสบความสำเร็จอย่างสูงที่ทำให้หญิงวัยกลางคนหลงเชื่อ
“เยี่ยเทียน ฉันยังไม่แก่ใช่ไหม? เธออย่าเรียกฉันว่าน้าเลย เรียกว่าพี่วินด์เซอร์จะดีกว่า!”
หญิงตรงหน้าแม้จะเข้าข้างตัวเอง แต่ดูเป็นคนตรงไปตรงมา เยี่ยเทียนมองเธอว่าเป็นคนไม่เลว จึงยิ้มแล้วตอบว่า
“ได้ครับ พี่วินด์เซอร์ที่รัก ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ผมจะได้ชื่นชมศิลปะจากจีนชิ้นนั้นเล่าครับ?”
“เป็นคนจีนที่ไม่น่าสนใจจริงๆเลย”
อลิซาเบธเบ้ปาก เอ่ยต่อว่า
“เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ว่าเยี่ยเทียน หรือเธอคิดว่างานศิลปะชิ้นนั้นมีเสน่ห์น่าดึงดูดมากกว่าฉัน?”
“ไม่อยู่แล้วครับ ผลงานศิลปะเป็นตัวแทนของประวัติศาสตร์ แต่พี่วินด์เซอร์เป็นผลงานศิลปะที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้ว”
การสรรเสริญเยินยอให้ฟรีๆนั้นเยี่ยเทียนทำได้เรื่อยๆ ถ้าหากชิ้นส่วนนั้นเป็นของจริงแล้ว เยี่ยเทียนยังต้องใช้เธอผู้ที่มีอำนาจล้นฟ้าในประเทศอังกฤษช่วยเขาเจรจาแลกเปลี่ยน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะล่วงเกินเธอ
“ค่อยยังชั่วหน่อย ฉันจะให้พวกเขาไปนำมันมา เธอจะได้เห็นมันเดี๋ยวนี้”
อลิซาเบธยิ้มอย่างเบิกบาน เธอไม่ได้ต้องตาต้องใจเยี่ยเทียนจริงๆ เพียงแค่หยอกล้อพ่อหนุ่มเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น
ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังสนทนากัน ชายวัยกลางคนผิวขาวคนหนึ่งเข้ามาในสำนักงาน ในมือขวาของเขาถือกล่องนิรภัยสีเงินเข้ามาด้วย บอกว่า
“องค์หญิงวินด์เซอร์ครับ สิ่งของได้นำมาแล้ว คุณผู้ชายท่านนี้ต้องการชื่นชมหรือครับ?”
“เป็นองค์หญิงจริงๆด้วย?”
คำเรียกของชายคนนั้นทำให้เยี่ยเทียนเหลือบมองอลิซาเบธทีหนึ่ง คำเรียกแบบนี้ได้หายสาบสูญจากประเทศจีนไปเป็นร้อยปีแล้ว
“เยี่ยเทียน คนนี้คือผู้ที่รับผิดชอบธุระต่างๆในพิพิธภัณฑ์ รองผู้อำนวยการจาค็อกซ์ เรื่องของเธอโชคดีมาก ที่ได้เขาช่วยจัดการให้” อลิซเบธแนะนำชายวัยกลางคนๆนั้นให้เยี่ยเทียนรู้จัก
“องค์หญิงทรงเกรงพระทัยไปแล้ว สมาชิกของราชวงศ์มีสิทธิ์ตรวจดูสิ่งของในพิพิธภัณฑ์ได้ทุกเมื่อ”
ประเทศอังกฤษเป็นประเทศตัวอย่างที่ปกครองด้วยระบอบรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง ชนชั้นกลางถืออำนาจนิติบัญญัติผ่านรัฐสภา โดยยึดถือในหลักการที่ว่า “กฎหมายเป็นสิ่งสูงสุด” และ “อำนาจของพระมหากษัตริย์มีขอบเขตจำกัด” เป็นรากฐานการปกครองของประเทศอังกฤษเสมอมา
ในประเทศอังกฤษมีกษัตริย์เป็นประมุข เป็นหัวหน้าของเหล่าขุนนางชั้นสูงสุด เป็นผู้ควบคุมกองทัพของชาติและเป็นผู้นำสูงสุดของนิกายแองกลิกัน แต่อำนาจจริงๆแล้วอยู่ที่คณะรัฐมนตรี สถานการณ์ต่างๆนั้นราชวงศ์ไม่อาจแทรกแซงได้
แน่นอนว่าการละเลยราชวงศ์นั้น ทางราชวงศ์จะต้องได้สิ่งชดเชยมากมาย พวกเขามียศศักดิ์ในสังคมชั้นสูง ประชาชนทั่วไปสามารถรับการแต่งตั้งศักดินาจากเชื้อพระวงศ์ได้เช่นกัน ทั้งยังมีสิทธิ์เข้าดูสมบัติในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติก็เป็นสิทธิพิเศษอย่างหนึ่ง
“องค์หญิงวินด์เซอร์ ได้โปรดรอสักครู่….”
เมื่อเปรียบกับเยี่ยเทียน จาค็อกซ์ดูสุภาพบุรุษมากกว่าเยี่ยเทียน หลังจากสั่งกาแฟกับลูกน้องให้องค์หญิงแก้วหนึ่งแล้ว ถึงจะวางกล่องนิรภัยลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง แล้วเอ่ยต่อว่า
“ของชิ้นนี้เป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่าของพิพิธภัณฑ์ ในขณะชมได้โปรดจับต้องและวางลงเบาๆ”
“แน่นอนสิ ผู้อำนวยการจาค็อกซ์ เสด็จพ่อของฉันมีประสบการณ์การเก็บรักษาของโบราณไว้อยู่ ครั้งนี้ฉันได้รับการไหว้วานให้พามาดูของของมีค่าชิ้นนี้!”
ฟังจาค็อกซ์พูดจบ เยี่ยเทียนยิ้มออกมา ตั้งแต่ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะเข้ามาในห้อง เขาก็รับรู้ได้แล้วว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องนิรภัยนี้จะต้องเป็นชิ้นส่วนตำราภาพทุยเป้ยถูของแท้แน่นอน เพราะชิ้นส่วนน่าสามารถทำให้จิตใจของผู้สัมผัสได้สั่นไหว
จากที่เยี่ยเทียนคาดเดา ในภาพทุยเป้ยถูที่กล่าวถึงการทำนายอนาคตนั้น เป็นเพียงภาพที่หลี่ฉุนเฟิงและหยวนเทียนกังวาดลงบนเครื่องรางอีกชิ้นเท่านั้น ต่อมาภาพวาดกระจัดกระจายไป อาจจะเพื่อปกป้องการมีอยู่ของเครื่องรางชิ้นนั้นก็เป็นได้
หลังจากหยิบถุงมือสีขาวออกมาใส่แล้ว เยี่ยเทียนถึงจะสามารถเปิดกล่องนิรภัยที่ไม่ได้ล็อค จากท่าทางของ จาค็อกซ์ที่พยักหน้าน้อยๆทำให้รู้ว่าเขามีประสบการณ์ในการเก็บรักษาของโบราณมาก่อน
“เอ๋? ทำไมยังไม่ครบอีก?”
เยี่ยเทียนพลิกเปิดชิ้นส่วนที่อยู่ด้านในแล้วขมวดคิ้วแน่น เพราะเขาเห็นว่าในนั้นมีแค่เจ็ดแปดแผ่น เนื้อหาเป็นรูปวาดต่างๆในตำราทุยเป้ยถู ซึ่งไม่ได้สอดคล้องกับเนื้อหาส่วนที่อยู่กับเขาอีกครึ่งหนึ่ง
ชิ้นส่วนที่เหลือควรจะเป็นครึ่งเล่มหลังของตำราทุยเป้ยถู เมื่อก่อนเยี่ยเทียนได้มาเป็นส่วนกลาง หรือพูดอีกอย่างก็คือถ้าอยากจะได้ตำราครบทั้งเล่ม จะต้องหาหน้าปกของตำราให้พบก่อน ไม่อย่างนั้นก็จะขาดอยู่ดี
ในเมื่อได้พบแล้ว เยี่ยเทียนไม่มีทางปล่อยให้ครึ่งเล่มหลังนี้หลุดมือไป จึงแสร้งทำเป็นพิจารณาดูแล้วดูเล่าอีกครั้ง เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นมาจาค็อกซ์แล้วเอ่ยว่า
“พิพิธภัณฑ์เก็บรักษาของมีค่าเหล่านี้เป็นอย่างดี ช่างน่าชื่นชมจริงๆ เศษชิ้นส่วนตำราหลุดลุ่ยแบบนี้ยังรักษาสภาพไว้อย่างดี?”
เยี่ยเทียนเหมือนกับกำลังชมเชยพิพิธภัณฑ์อังกฤษอยู่ แต่ในใจกลับยิ้มเยาะ ในนี้มีของล้ำค่าไม่รู้กี่พันกี่หมื่นชิ้น แต่ไม่มีใครสนใจศึกษาวิเคราะห์ข้าวของได้ครบทุกชิ้น
บนแผ่นกระดาษของตำราทุยเป้ยนั้นยังมีฝุ่นที่ปัดทำความสะอาดออกไม่หมดตกค้างอยู่ เห็นได้ชัดว่าพอได้รับคำสั่งจากองค์หญิงอลิซาเบธ ถึงได้ทำการค้นหาของสิ่งนี้ออกมาแล้วทำการรักษาแบบขอไปที
เห็นได้ชัดว่าพิพิธภัณฑ์อังกฤษไม่ค่อยเห็นความสำคัญของชิ้นส่วนตำรานี้เลย ในใจของเยี่ยเทียนรู้สึกหดหู่ลง พูดว่า
“ผู้อำนวยการจาค็อกซ์ครับ คุณรู้ไหมครับว่าคุณพ่อของผมเป็นนักสะสมศิลปะคนหนึ่งเลยทีเดียว เขาเคยได้รับชิ้นส่วนตำรามาส่วนหนึ่ง ตอนนี้อยากจะให้มันกลับเป็นชิ้นเดียวกัน กลายเป็นผลงานศิลปะที่สมบูรณ์ ไม่ทราบว่าทางพิพิธภัณฑ์จะสงเคราะห์ให้พ่อของผมสมปรารถนาได้ไหมครับ?”
“คุณเยี่ย คือ….คุณทำให้ผมลำบากใจมาก!”
จาค็อกซ์สีหน้าลำบากใจ ตอบว่า
“พิพิธภัณฑ์ของเราไม่เคยมีประวัติมอบของให้ใครมาก่อน ยิ่งเป็นภาพวาดโบราณเป็นเล่มที่สวยงามเช่นนี้ด้วยแล้ว ผมเสียใจจริงๆครับ ผมไม่สามารถทำให้ความปรารถนาของคุณพ่อของคุณเป็นจริงได้”
ก่อนที่เยี่ยเทียนจะมา อลิซาเบธได้แสดงเจตนารมณ์ของซ่งเวยหลันให้จาค็อกซ์ได้รับรู้แล้ว ก็หมายความว่ามีคนยินดีใช้ภาพวาดของปิกัสโซมาแลกกับชิ้นส่วนตำราโบราณชิ้นนี้
ปิกัสโซเป็นใคร? เขาเป็นถึงศิลปินในดวงใจของชาวยุโรป ตั้งแต่โบราณมาไม่มีผลงานศิลปะชิ้นไหนเทียบได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชิ้นส่วนตำราหลุดลุ่ยที่ไม่มีชื่อและไม่รู้ชื่อผู้แต่ง พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษควรยินดีกับการแลกเปลี่ยนครั้งนี้
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นปิกัสโซเป็นศิลปินในยุคสมัยใหม่ ดังนั้นงานศิลปะหลายชิ้นจึงถูกแย่งชิงมาจากทั่วโลก ก็ไม่ได้มีผลงานของเขาสักกี่ชิ้น นี่เป็นเงื่อนไขที่ซ่งเวยหลันมอบให้บุตรชายเพื่อเจรจาต่อรอง
ในสถานที่รโหฐานที่เก็บรักษาผลงานศิลปะ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษย่อมไม่ยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ดังนั้นจาค็อกซ์ถึงอ้างเหตุผลขึ้นเพื่อให้เยี่ยเทียนเอ่ยเข้าเรื่องการเจรจาแลกเปลี่ยน
“ทั้งตำราภาพ? ทั้งสวยงาม? สวยกับผีน่ะสิ พวกคุณไม่ได้รู้สักนิดเลยว่าของสิ่งนี้คืออะไร!”
ได้ยินที่จาค็อกซ์พูดดังนั้นเยี่ยเทียนทนไม่ไหวหลุดคำพูดไม่ดีออกมา ภาพวาดในชิ้นส่วนนั้นดูงุ่มง่ามและหยาบ ไม่ว่าจะทั้งรูปคนหรือทิวทัศน์เหมือนวาดสะเปะสะปะ ถ้าเทียบกับตำราทุยเป้ยถูที่ถูกปลอมแปลงขึ้นมาในยุคหลังนั้นถึงจะดูว่ามีความสวยงามมากกว่า
“ถ้าอย่างนั้นน่าเสียดายมากเลย ตอนแรกคุณพ่อของผมคิดว่าจะใช้ภาพสีน้ำมันของปิกัสโซที่เก็บเอาไว้มาแลกกับชิ้นส่วนตำรานั่น”
ใบหน้าของเยี่ยเทียนแสดงความเสียดาย โบกมือแล้วบอกว่า
“ภาพวาดของปิกัสโซได้อยู่บนเครื่องบินเดินทางมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นน่าเสียดายจริงๆ คุณจาค็อกซ์ ไม่มีหนทางอื่นแล้วหรือครับ?”
“อยู่บนเครื่องบินแล้วหรือ?”
จาค็อกซ์ได้ยินดังนั้นก็ตาลุกวาว รีบเอ่ยว่า
“ไม่ครับ…ไม่ คุณเยี่ย สำหรับความประสงค์ในการสืบหาผลงานศิลปะมานั้น พวกเราพอจะเข้าใจ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นผมจะทำอย่างไรถึงจะได้ชิ้นส่วนตำรานั้นกลับไปได้?”
เยี่ยเทียนมีแววยิ้มในดวงตา
“คุณจาค็อกซ์ คุณรู้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะคุณพ่อผมอยากได้ชิ้นส่วนตำรากลับมารวมกันเป็นชิ้นที่สมบูรณ์ เขาก็จะไม่นำภาพวาดของปิกัสโซออกมา!”
“งานศิลปะประเมินค่าไม่ได้ พวกเราไม่อาจใช้คำว่าแลกเปลี่ยนได้”
คนต่างชาตินั้นพูดกันตรงๆยิ่งกว่าคนจีนเสียอีก พอได้ยินว่าภาพวาดปิกัสโซอยู่บนเครื่องบินแล้ว จาค็อกซ์สละหน้ากากออกทันที รีบรับคำว่า
“พวกเราใช้วิธีอื่น คุณพ่อของคุณต้องการใช้ชื่อของตัวเองบริจาคภาพวาดปิกัสโซให้แก่พิพิธภัณฑ์ แต่พวกเราใช้วิธีการส่งคืนวัตถุโบราณยกตำราภาพนี้ให้แก่คุณ คุณคิดว่าเป็นอย่างไร?”
“ยังไม่เรียกว่าการแลกเปลี่ยนหรือ? พวกคนต่างชาตินี่ชอบอ้อมค้อมกันจริงๆ”
เยี่ยเทียนเบะปาก แต่กลับแสร้งยิ้มออกมา
“แน่นอนว่าได้ครับ คุณจาค็อกซ์ครับ เหลือเวลาอีกชั่วโมงกว่าภาพวาดปิกัสโซจะมาถึงลอนดอนแล้ว ผมอยากให้ทางพิพิธภัณฑ์มีนักวิเคราะห์ภาพวาดมาดูภาพของปิกัสโซ เรื่องการบริจาคของเราทั้งสองฝ่ายจะได้เสร็จสิ้นลงในวันนี้”
“ได้ครับ เป็นไปตามที่คุณต้องการ ผมจะไปหาคนที่จัดการเรื่องเอกสาร!”
แม้ว่าจาค็อกซ์จะไม่ค่อยเชื่อถือที่เยี่ยเทียนใจร้อนแบบนี้ แต่เมื่อคิดถึงภาพวาดผลงานของปิกัสโซที่ทางพิพิธภัณฑ์จะได้รับมา ความเคลือบแคลงนั้นได้จางหายไป ยิ่งกว่านั้นเขาให้คนมีตรวจพิสูจน์ภาพวาดแล้ว นอกจากช่วงอายุปีของมันจะยาวนานแล้ว ภาพวาดนี้ไม่ได้มีมูลค่ามากมายเท่าไหร่
ด้วยเวลาอันกระชั้นชิด จาค็อกซ์เพียงแต่ให้คนมาประเมินภาพว่ามีมูลค่าทางศิลปะมากแค่ไหน ถ้าหากพิจารณาจากคุณภาพวัสดุของภาพแล้วจะต้องตกตะลึง เพราะกระดาษแบบนี้ไม่เคยมีในโลกมาก่อน
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง เที่ยวบินของโจวเซี่ยวเทียนก็มาถึงลอนดอน
เมื่อเขานำภาพวาดสีน้ำมันของปิกัสโซกับชิ้นส่วนตำราทุยเป้ยถูหนึ่งในสามส่วนเดินทางถึงพิพิธภัณฑ์ ในสำนักงานก็มีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะหลายคนมารออยู่แล้ว
………………………………