หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 923 ความโลภ
ที่แท้ ขณะที่นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ถูก ‘คัมภีร์เป็นตาย’ นั่นสูบพลังชีวิตไป ชาญ ทองทวนซึ่งกำลังต่อยตีกับเยี่ยเทียนไม่ได้รับคำสั่งจากนายสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ จึงหยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมดลงในฉับพลัน ร่างที่ไร้วิญญาณยืนอยู่ตรงนั้นอย่างว้าเหว่ ดวงตาทั้งคู่อันแดงก่ำค่อยๆ จางลง
และเมื่อนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ถูก ‘คัมภีร์เป็นตาย’ สูบพลังและโลหิตไปจนหมดร่างแล้ว ชั่วขณะที่ชีวิตเดินมาถึงจุดสิ้นสุด ร่างกายอันใหญ่โตของชาญ ทองทวนก็ละลายไปทันที
ถูกแล้ว ละลายไปจริงๆ ผิวหนังของเขาที่เดิมทีก็เหมือนแหจับปลาอยู่แล้วนั้นส่งกลิ่นเหม็นโชยออกมา และละลายกลายเป็นน้ำหนองไหลหยดลง ผ่านไปครู่เดียว ศีรษะและช่วงอกของชาญ ทองทวนก็ละลายหายไปหมดแล้ว ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว
ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังจะให้คนเข้าไปเก็บกวาดร่างอันน่าขยะแขยงนั้น ก็พลันเกิดเหตุการณ์พลิกผันขึ้น
แมลงพิษสิบกว่าตัวไต่ออกมาจากช่องท้องของชาญ ทองทวนที่เปลือยอยู่ บ้างก็เป็นแมงมุมสีสันฉูดฉาด บ้างก็เป็นตะขาบหน้าตาอัปลักษณ์ ยังมีแมงป่องที่ปลายหางเปล่งประกายเย็นเยียบอีกด้วย ทันทีที่แมลงพิษเหล่านี้ปรากฏขึ้น ก็ขบกัดเจ้าหน้าที่จนบาดเจ็บไปหลายคน และคลานไต่ไปทั่วสถานที่แห่งนั้น
ในสมัยยุคกลางของยุโรป พ่อมดบางกลุ่มก็เลี้ยงสัตว์มีพิษต่างๆ ไว้เพื่อการศึกษาเช่นกัน แต่เมื่อถึงสมัยปัจจุบัน เวทมนตร์คุณไสยจากยุคโบราณเหล่านี้ได้สูญหายไปจากทวีปยุโรปนานแล้ว ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์เหล่านี้ย่อมไม่เคยพบเห็นแมลงพิษที่น่ากลัวถึงเพียงนี้มาก่อน ยามนั้นจึงพากันกรีดร้องและปีนป่ายขึ้นสู่ที่สูง สถานการณ์วุ่นวายโกลาหลสุดขีด
“ทุกท่านอยู่ในความสงบก่อน กรุณาอยู่ในความสงบด้วย!”
แม้จะไม่ได้รู้ล่วงหน้าว่า ในท้องคนจะสามารถเก็บงำแมลงพิษไว้ได้มากมายถึงปานนั้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่า ฝ่ายผู้จัดงานประชุมได้เตรียมการไว้อย่างเพียบพร้อมยิ่ง ขณะที่ความวุ่นวายเพิ่งจะเริ่มปะทุขึ้นมา ทหารในชุดป้องกันซึ่งผ่านการฝึกมาแล้วหมู่หนึ่งก็วิ่งเข้ามา
หลังจากโกลาหลกันไปพักหนึ่ง แมลงพิษเหล่านั้นจึงถูกกำจัดไปจนหมด แต่ร่างของเจ้าหน้าที่หลายคนที่ถูกกัดไปเมื่อตอนแรกนั้นกลับกลายเป็นสีดำคล้ำ ทรวงอกปราศจากการเคลื่อนไหว ไม่หลงเหลือร่องรอยของการมีชีวิตอยู่อีกเลย
“พระเจ้าช่วย ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้?”
“เจ้าคนเอเชียนั่นต้องเป็นพ่อมดชั่วร้ายแน่ๆ เลย!”
“ทำไมในท้องคนถึงมีแมลงมากมายขนาดนั้นได้ล่ะ? ประหลาดเกินไปแล้ว!”
เมื่อเหตุการณ์วุ่นวายสงบลงแล้ว คนทั้งหลายก็อดวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานาไม่ได้ ผู้ที่สามารถมาเข้าร่วมงานประชุมในวันนี้ได้ จะมากจะน้อยต่างก็เป็นผู้ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ธรรมดากันทั้งนั้น แต่กลวิธีของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นี้ กลับไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อนเลย
หลังจากตกตะลึงกันไปได้เพียงครู่เดียว สายตาของทุกคนก็มองไปยังตำแหน่งที่นั่งของเยี่ยเทียนโดยอัตโนมัติ ในดวงตาของหลายๆ คนยังฉายแววละโมบออกมาอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่า พวกเขาตระหนักได้แล้วว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับนายสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นั้น จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับหนังสือที่อยู่ในมือของเยี่ยเทียนแน่ ของวิเศษที่สามารถคร่าชีวิตผู้อื่นได้อย่างเงียบเชียบเช่นนี้ย่อมกลายเป็นที่หมายปองเป็นธรรมดา
กระทั่งยังมีหลายคนเข้าใจว่า สาเหตุที่เยี่ยเทียนสามารถต้านทานการโจมตีของชาญทองทวนได้นั้น เป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของหนังสือเล่มนั้นล้วนๆ สายตาอันไม่ประสงค์ดีต่างๆ คอยเหลือบแลมาทางที่นั่งของเยี่ยเทียนไม่หยุด ราวกับจะมองทะลุหลังพนักโซฟาไปเห็นความลับของหนังสือเล่มนั้นได้
“นายท่าน หนังสือที่เยี่ยเทียนถืออยู่เล่มนั้น เป็นของวิเศษอะไรกันแน่ครับ?”
ข้างๆ แดร็กคูล่า รูดอล์ฟซึ่งกลายเป็นแวมไพร์ไปแล้วก็มีสีหน้าโลภมากเช่นกัน หลังจากที่ถูกแดร็กคูล่ากัดให้กลายเป็นแวมไพร์ เขาก็นับว่าเป็นสมาชิกที่สืบเชื้อสายโดยตรงคนหนึ่งของแดร็กคูล่าแล้ว ดังนั้นเวลาสนทนาด้วยจึงไม่มีท่าทางหวาดกลัวและยำเกรงอย่างแต่ก่อน
“ไม่รู้สิ ว่ากันว่าเคียวยมทูตสามารถดูดวิญญาณของคนได้ แต่หนังสือเล่มนี้ยังร้ายกาจยิ่งกว่า ไม่ใช่แค่ดูดวิญญาณได้เท่านั้น ยังสามารถสูบเลือดเนื้อของคนได้อีกด้วย รูดอล์ฟ เดี๋ยวแกต้องไปขอโทษเยี่ยเทียน สลายความโกรธแค้นระหว่างแกกับเขาไปเสีย!”
แม้ว่าสีหน้าของแดร็กคูล่าจะยังคงเดิม แต่ลึกๆ ในดวงตาคู่นั้นกลับฉายความหวาดหวั่นออกมา ตอนที่เห็นประกายสีดำเมื่อครู่นั้น แม้แต่เขาเองยังรู้สึกได้ว่าวิญญาณกำลังสั่นไหว นั่นเป็นความน่าเกรงขามชนิดหนึ่งที่มักจะแผ่ออกมาจากสิ่งมีชีวิตระดับสูง
“นายท่าน เจ้าเยี่ยเทียนนั่นก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง หรือพวกเราจะ…”
หลังจากได้ยินเจ้านายพูดดังนั้น รูดอล์ฟก็มีสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที ตอนนี้เขาก็เป็นแวมไพร์ที่แข็งแกร่งตนหนึ่งแล้ว จะไปก้มศีรษะให้มนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งได้อย่างไรกัน?
หลังจากที่กลายเป็นแวมไพร์ รูดอล์ฟรู้สึกได้ว่าพลังของตนกำลังเพิ่มขึ้นทุกวันๆ เดิมทีเขาก็เป็นคนใจกล้าบ้าบิ่นและทะเยอทะยานอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อได้ครอบครองพลังอันแข็งแกร่ง นอกจากแดร็กคูล่าที่อยู่ข้างๆ แล้ว รูดอล์ฟก็ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาทั้งนั้น
แม้ว่าในอดีตเขาจะเคยเห็นเยี่ยเทียนเอาชนะแอนโทนี มาร์คัสได้กับตาตัวเองมาแล้ว แต่รูดอล์ฟเชื่อว่า ด้วยพลังของตนในตอนนี้ ก็คงจะสามารถฉีกแอนโทนี มาร์คัสเป็นชิ้นๆ ได้เช่นกัน ดังนั้นหลังจากที่เห็นคัมภีร์เป็นตายเล่มนั้น จึงเกิดความคิดอื่นขึ้นมาทันที
“บังอาจ แกจะทำอะไร?”
แดร็กคูล่าถลึงตาใส่ แล้วพูดเสียงเย็นเยียบ
“รูดอล์ฟที่รัก หรือว่าแกจะแข็งแกร่งเสียจนแม้แต่คำพูดของฉันก็ไม่เชื่อฟังแล้วงั้นหรือ?”
“ไม่กล้าครับนายท่าน ได้โปรดให้อภัยต่อความสามหาวของบุตรแห่งท่านด้วยเถิด!”
เมื่อเห็นสีหน้าแบบนั้นของแดร็กคูล่า รูดอล์ฟก็รู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นราดรดศีรษะ ตกใจจนรีบคุกเข่าลงไปกับพื้น แนบศีรษะของตัวเองลงไปแทบหลังเท้าของแดร็กคูล่า ร่างก็สั่นระริกไปทั้งร่าง
“ลุกขึ้นเถอะ มีแต่คนที่รู้จักความกลัวเท่านั้นแหละที่จะอยู่นาน!”
แดร็กคูล่ามองรูดอล์ฟอย่างรังเกียจแวบหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่พรสวรรค์ในด้านการบริหารของเขา ไม่ว่าอย่างไรแดร็กคูล่าก็คงจะไม่มีทางทำให้เจ้าทึ่มนี่กลายมาเป็นพวกเดียวกันหรอก เพราะแบบนั้นก็เท่ากับสิ้นเปลืองโลหิตอันเลอค่าของตนไปเปล่าๆ หยดหนึ่ง
“ช่างร้ายกาจ หนังสือเล่มนั้นน่าจะเทียบกับคัมภีร์ไบเบิลของพระสันตะปาปาได้เลยนะเนี่ย”
ระหว่างที่แดร็กคูล่าและรูดอล์ฟสนทนากัน คู่อริของเขา…อัศวินโต๊ะกลมเหล่านั้นก็กำลังกระซิบแสดงความคิดเห็นด้วยสีหน้าที่เปี่ยมด้วยความตกตะลึงอยู่เช่นกัน
อัศวินโต๊ะกลมที่ชื่อเรธเวทซึ่งเป็นหัวหน้าคนกลุ่มนั้นส่ายหน้า แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งเครียด
“ฉันรู้สึกว่าหนังสือนั่นยังร้ายกาจยิ่งกว่าคัมภีร์ไบเบิลของพระสันตะปาปาเสียอีก พวกนายก็คงจะจำได้ ตอนนั้นหลังจากที่พระสันตะปาปาใช้คัมภีร์ไบเบิลชำระล้างสิ่งมีชีวิตจากโลกมืดไปครั้งหนึ่งก็สิ้นพระชนม์เลย เนื่องจากพลังชีวิตถูกดึงออกมาใช้มากเกินไป แต่เจ้าหนุ่มคนนั้นกลับไม่เป็นอะไรเลยสักนิด”
“หัวหน้าหน่วยเรธเวท แล้วพวกเราควรทำอย่างไรดีล่ะครับ?”
อัศวินโต๊ะกลมนายหนึ่งถามขึ้น ดวงตาฉายแววฮึกเหิมออกมาเล็กน้อย สำหรับผู้ที่มีชีวิตอยู่มานานจนอายุเท่าพวกเขานี้ ลาภยศชื่อเสียงใดๆ ในโลกล้วนไม่อาจทำให้พวกเขาหวั่นไหวได้อีกแล้ว มีเพียงของล้ำค่าบางอย่างที่ไม่ได้อยู่ในครอบครองเท่านั้น ที่จะสามารถทำให้พวกเขาเกิดความปรารถนาขึ้นมาได้
“ตามระเบียบของที่ประชุม ผู้ชนะจะสามารถริบสมบัติของผู้ที่เป็นฝ่ายแพ้ได้ ไม่ต้องกังวลหรอก ดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้านั่นเป็นของที่ฝ่ายความมืดหลงเหลือไว้ พวกเราก็ต้องนำมันมาชำระล้างอยู่แล้วละ!”
ไม่ว่าเวลาไหน หัวหน้าหน่วยอัศวินเรธเวทก็จะมีสีหน้าท่าทางที่ดูองอาจน่าเกรงขามอยู่เสมอ แม้กระทั่งยามที่กำลังหมายจะชิงทรัพย์ของผู้อื่น ก็ยังสามารถจัดให้ตนกลายเป็นฝ่ายผดุงคุณธรรมได้ ที่แดร็กคูล่ากล่าวว่าพวกเขาเป็นพวกวิญญูชนจอมปลอมนั้น นับว่าไม่ใช่ข้อกล่าวหาที่มากเกินไปเลยจริงๆ
“บัดซบ พวกไม่รู้จักกลัวตายนี่นะ เป็นคนของศาสนจักรแล้วแน่มากรึไง?”
เยี่ยเทียนซึ่งนั่งกลับลงไปยังตำแหน่งของตนแล้วนั้น แม้จะดูเหมือนกำลังหลับตาฟื้นพลัง แต่ความเคลื่อนไหวทั้งหมดในที่นั้นล้วนไม่อาจรอดพ้นจากจิตสัมผัสของเขาไปได้ อัศวินโต๊ะกลมเหล่านั้นมีพลังแข็งแกร่งไม่เบา ตั้งแต่ตอนแรกที่มองมาทางเยี่ยเทียน เขาก็จับความประสงค์ร้ายที่แฝงอยู่ในแววตาของพวกนั้นได้แล้ว
“ดูท่าชัยชนะที่ได้มาโดยอาศัยคัมภีร์เป็นตายนี่ คงยังไม่พอที่จะทำให้พวกนั้นหวาดกลัวกันละสินะ?”
บทสนทนาของคนเหล่านั้นทำให้เยี่ยเทียนเกิดจิตสังหารขึ้นในใจ เปรียบเทียบกับวิญญูชนจอมปลอมพวกนี้แล้ว เยี่ยเทียนยังจะชอบพวกคนเลวบริสุทธิ์มากกว่าเสียอีก ทางฝ่ายแดร็กคูล่านั้นแม้จะส่งสายตาละโมบมาเช่นเดียวกัน แต่ในแววตากลับไม่ได้มีจิตสังหารแฝงอยู่เลย
“อาจารย์ พวกนั้นกำลังพูดอะไรกันอยู่น่ะครับ?”
บรรดาคนที่ประจำอยู่บนตำแหน่งที่นั่งรอบๆ เหล่านั้นไม่ได้พยายามที่จะลดเสียงของตัวเองให้เบาลงเลย เมื่อฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังระเบ็งเซ็งแซ่เหล่านั้นแล้ว โจวเซี่ยวเทียนก็ชักจะสับสนมึนงง เพราะเครื่องแปลภาษาแบบแปลทันที ที่อยู่บนโต๊ะนั้นจะไม่แปลถ้อยคำที่ผู้อื่นสนทนากันเป็นการส่วนตัวให้
“พวกมันคิดจะกำจัดพวกเรา จากนั้นก็ชิงคัมภีร์เป็นตายไป เซี่ยวเทียน แกว่าเราควรจะทำยังไงกันดีล่ะ?”
บนใบหน้าของเยี่ยเทียนแม้จะมีรอยยิ้มน้อยๆ แต่ในดวงตากลับเย็นเยียบผิดธรรมดา ตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มหัดขโมยยางลบของเพื่อนนักเรียนสมัยอายุหกขวบ ไปจนถึงปล้นขุมทองของคนญี่ปุ่น แต่ไหนแต่ไรก็มีแต่ผู้แซ่เยี่ยที่เป็นฝ่ายไปชิงทรัพย์ของคนอื่น ยังไม่เคยถูกใครเห็นตนเป็นเนื้อบนเขียงเช่นนี้มาก่อน
“ฆ่า กำจัดพวกมันให้หมด!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน โจวเซี่ยวเทียนก็เกิดโทสะขึ้นมาทันที สมัยเป็นหนุ่มน้อยที่บ้านเขายากจน แม้ว่าหลังจากที่เริ่มติดตามเยี่ยเทียนแล้ว เขาจะไม่ต้องเค้นสมองคิดอุบายเพื่อหาเงินอีก แต่ในกมลสันดานของเขาก็ยังคงเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวมาก ถ้าคิดจะมาปล้นของจากกระเป๋าของเขาละก็ โจวเซี่ยวเทียนจะต้องสู้กับอีกฝ่ายอย่างสุดชีวิตแน่นอน
“ถูกต้องแล้ว มีแต่เลือดเท่านั้นที่จะทำให้พวกมันได้สติขึ้นมาได้”
เยี่ยเทียนหุบยิ้มลง แล้วพลันเลิกคิ้วขึ้น
“จะมีคนมาท้าสู้กับพวกเรางั้นรึ? เฮ้ มีตั้งหลายคนเลยนี่? เซี่ยวเทียน เดี๋ยวแกฆ่าไปเลยนะ อาจารย์จะช่วยขจัดปราณพวกนั้นให้เอง!”
แม้ว่าเขาจะกำลังพูดอยู่กับโจวเซี่ยวเทียน แต่เสียงวิจารณ์จากผู้คนโดยรอบก็ไม่อาจพ้นหูเยี่ยเทียนไปได้เลยแม้แต่ประโยคเดียว เขาพบว่า กลุ่มคนจากอเมริกาใต้ที่กำลังกระซิบกระซาบกันอยู่นั้น กำลังปรึกษากันอยู่พอดีเลยว่า จะมาท้าสู้กับเยี่ยเทียนเพื่อชิงคัมภีร์เป็นตายไป
“อาจารย์ วางใจเถอะครับ!”
โจวเซี่ยวเทียนพยักหน้าด้วยสีหน้าฮึกเหิม ได้ยินมานานแล้วว่า เมื่อก่อนอาจารย์เคยแสดงฝีมือบนเรือสำราญ ควีนอลิซาเบธจนไม่เหลือคู่ต่อสู้เลย ตอนนี้เมื่อตัวเองได้มีโอกาสแบบเดียวกันบ้างแล้ว โจวเซี่ยวเทียนจึงรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านไปทั่วร่างอย่างไม่อาจข่มกลั้น นึกแต่อยากจะโดดลงเวทีไปท้าสู้กับเหล่ายอดฝีมือที่มาจากที่ต่างๆ ทั่วโลก
แต่ขณะที่โจวเซี่ยวเทียนกำลังลับมีดเตรียมออกศึกอยู่นั้น เสียงหนึ่งก็พลันประกาศขึ้นอย่างกระท่อนกระแท่น
“ท…ท่านทั้งหลาย เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นอย่างกระทันหัน ผมจึงขอประกาศให้การประชุมหยุดพักเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ทุกท่านสามารถเพลิดเพลินกับอาหารเลิศรสที่ทางเราได้จัดไว้ให้ และก็สามารถไปเดินเล่นในสวนด้านนอกได้เช่นกันครับ!”
แมลงพิษทั้งหลายที่ปรากฏขึ้นเมื่อครู่นั้น ทำให้มิสเตอร์แฟรงก์ตกใจเสียแทบแย่ ไม่รู้เมื่อไรเจ้าคนพวกนี้จะจัดให้ตำแหน่งของเขาอยู่บนอัฒจันทร์ชั้นบนสุดเสียที ถึงตีให้ตายเขาก็ไม่กล้าไปยืนเป็นพิธีกรบนเวทีหรอก
“น่าเบื่อจริงๆ เซี่ยวเทียน เหล่ากู้ ไป ออกไปเดินเล่นกันเถอะ!”
เยี่ยเทียนยืดกายลุกขึ้น ทำให้สายตานับไม่ถ้วนเพ่งมองมาจากรอบด้านทันที หลังจากที่เห็นพวกเยี่ยเทียนทั้งสามคนเดินออกไปจากที่ประชุมแล้ว ก็มีคนกลุ่มหนึ่งตามออกไปทันที ไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้คิดจะลงมือที่ข้างนอกนั้น แต่เพราะกลัวว่าพวกเยี่ยเทียนจะหนีออกไปจากที่นี่ แบบนั้นของล้ำค่าของพวกเขามีหวังได้หลุดลอยไปจากมือกันพอดี
………………………………..