หมอดูยอดอัจฉริยะ - ตอนที่ 930 ตัดสินเป็นตาย
ในบ้านพักตากอากาศบนสันเขาที่ฮ่องกงหลังนั้น นอกจากศิษย์สำนักเสื้อป่านแล้ว ยังมีหนานไหวจิ่นพร้อมลูกศิษย์มาชุมนุมกันอีกด้วย ในบ้านพักอันใหญ่โตหลังนั้นจึงคึกคักมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ศิษย์รุ่นเล็กหลายคนกำลังยกชาเสิร์ฟน้ำกันวุ่นเลยทีเดียว
เยี่ยเทียนยกเหล้าขึ้นมาแก้วหนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า
“ศิษย์พี่หนาน ยินดีด้วยนะครับ ผมไม่ได้มาช่วยคุ้มกันให้ศิษย์พี่เลย เหล้าแก้วนี้ถือว่าเป็นการขอไถ่โทษต่อศิษย์พี่ก็แล้วกัน!”
ในโลกสมัยปัจจุบันนี้ น้อยนักที่จะมีผู้ไปถึงระดับเซียนเทียนได้ โดยเฉพาะผู้ที่เหลืออายุขัยอยู่ไม่มากอย่างโก่วซินเจียหรือหนานไหวจิ่นด้วยแล้ว หากพัฒนาไปถึงระดับเซียนเทียนได้ ก็เท่ากับได้เพิ่มอายุขัยขึ้นมาอีกช่วงหนึ่ง นี่จึงถือเป็นเรื่องใหญ่โตอย่างยิ่ง สมควรแล้วที่จะจัดการเฉลิมฉลองอย่างเต็มที่
ดังนั้นเมื่อได้ข่าวว่า หนานไหวจิ่นกำลังจะบรรลุถึงระดับเซียนเทียนแล้ว เยี่ยเทียนจึงรีบกลับมาจากยุโรปทันที แต่เมื่อเขากลับมาถึงฮ่องกง หนานไหวจิ่นกลับบรรลุถึงระดับเซียนเทียนสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้เยี่ยเทียนถึงได้พูดออกมาแบบนั้น
“ศิษย์น้องเยี่ย ฉันก็ได้พึ่งเธอนี่แหละ ถ้าไม่มีพลอยวิเศษที่เธอให้มาชิ้นนั้น ฉันอาจจะเลื่อนขั้นไม่สำเร็จก็ได้!”
หนานไหวจิ่นยิ้มแห้งๆ พลางส่ายหน้า แล้วกล่าวต่อไปว่า
“เทียบกับศิษย์พี่หยวนหยางแล้ว ฉันมีคุณสมบัติด้อยกว่ามาก ได้พลอยวิเศษมาตั้งหลายปีแล้ว กลับเพิ่งจะบรรลุถึงระดับนี้ได้ น่าละอายจริงๆ เลย!”
หนานไหวจิ่นเริ่มใช้พลอยวิเศษในการฝึกบำเพ็ญก่อนคนอื่น แต่หลังจากที่จั่วเจียจวิ้นและโก่วซินเจียทยอยกันเข้าสู่ระดับเซียนเทียนไปแล้ว เขากลับเพิ่งจะเลื่อนขั้นได้สำเร็จ ความเร็วระดับนี้ช่างไม่น่าชื่นชมเอาเสียเลย ตอนนี้แม้แต่โจวเซี่ยวเทียนก็ยังใกล้จะเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว ขาดแต่เพียงการแปลงสภาพดวงจิตในขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น
เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็พูดยิ้มๆ
“ศิษย์พี่หนาน ไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอกครับ ผมว่าพื้นฐานของท่าน มั่นคงกว่าพวกศิษย์พี่ใหญ่มากเลย เป็นแบบนี้ก็ไม่ได้แย่อะไรนี่ครับ”
แม้ว่าหนานไหวจิ่นจะเพิ่งเข้าสู่ระดับเซียนเทียน แต่ไม่ว่าจะเป็นระดับความเข้มข้นของปราณแท้ภายในกายหรือจิตดั้งเดิม ต่างก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกโก่วซินเจียเลย นี่ก็หมายความว่า เขามีพื้นฐานที่มั่นคงอย่างยิ่ง ในการฝึกบำเพ็ญต่อจากนี้ไป ก็จะสามารถก้าวหน้าไปได้เร็วขึ้นมาก
หนานไหวจิ่นพลันมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา หุบยิ้มลงแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ศิษย์น้องเยี่ย ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากจะถาม ไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่?”
เยี่ยเทียนหัวเราะพลางโบกมือ “ศิษย์พี่หนาน จะเกรงใจไปไย มีอะไรก็ถามมาได้เลยครับ”
สมัยโน้นเพื่อที่จะไปเสาะหาวิชายุทธระดับเซียนเทียนมาให้แก่เยี่ยเทียน หนานไหวจิ่นต้องนอนกลางดินกินกลางทราย เดินทางอยู่ในเทือกเขาชิงเฉิงเป็นเวลานานถึงหนึ่งเดือนเศษ แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรต่อเยี่ยเทียนเลย แต่เขาก็จดจำน้ำใจไมตรีครั้งนั้นไว้ในใจไม่เคยลืมเลือน ดังนั้นจึงคอยเอาใจใส่ดูแลหนานไหวจิ่นมาตลอด
“ศิษย์น้องเยี่ย พวกเราต่างก็เข้าสู่ระดับเซียนเทียนกันแล้ว ไม่ค่อยเหมาะสมนักที่จะใช้ชีวิตอยู่ในโลกของปุถุชนนี้ ที่ฉันอยากจะถามคือ เราจะเข้าสู่ดินแดนผนึกกันเมื่อใดหรือ?”
ตอนที่ยังมีพลังฝีมือระดับโฮ่วเทียนก็ยังรู้สึกได้ไม่ชัดเจนเท่าไรนัก แต่เมื่อได้เข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว ระบบต่างๆ ของร่างกายก็จะย้อนกลับไปเป็นเช่นเดียวกับยามที่อยู่ในครรภ์มารดา อากาศอันสกปรกปนเปื้อนในโลกนี้จึงทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดทรมานเป็นธรรมดา ต้องปิดรูขุมขนและหายใจภายในร่างกายแทบทุกวัน แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว ก็ยังต้องเสียเวลาอีกมากมายเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่หายใจเข้าไปในแต่ละวันออกจากร่างกาย
เมื่อหนานไหวจิ่นถามขึ้นมาดังนั้น โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นก็มองไปที่เยี่ยเทียนพร้อมกัน พวกเขาก็มีความคิดที่จะออกจากโลกของปุถุชนมานานแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเยี่ยเทียนไม่ยอมที่จะจากไป ทั้งสองเองก็จนใจ เพราะถ้าไม่มีเยี่ยเทียนไปด้วย อาศัยพลังฝีมือของพวกเขา หลังจากเข้าสู่ดินแดนผนึกไปแล้ว จะมีชีวิตที่ดีกว่าทุกวันนี้ได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่
“นี่ อาจารย์อาหนาน ดินแดนผนึกนั่นมีดีตรงไหนล่ะครับ ไม่สู้อยู่ที่นี่อย่างเสรีมีความสุขยังจะดีกว่าอีก”
เสียงของเหลยหู่พูดขึ้นมาจากด้านข้าง ทุกสิ่งล้วนมีกรณีพิเศษเกิดขึ้นได้จริงๆ การที่เหลยหู่เข้าสู่ระดับเซียนเทียนได้นั้นก็นับว่าบังเอิญพออยู่แล้ว แต่เขายังกลับไม่มีจิตแห่งเต๋าอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว ช่วงนี้เขากำลังมีชีวิตอย่างรุ่งโรจน์ที่ฮ่องกง ไหนเลยจะยอมไปอยู่ที่แดนต่างมิติอะไรนั่น
“ศิษย์พี่หนาน ศิษย์พี่ใหญ่ ผมรู้ว่าพวกท่านอยากไป…”
เยี่ยเทียนคิดอยู่พักใหญ่ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมา
“แต่พวกท่านก็รู้ว่า ผมน่ะอายุยังน้อย ยังตัดขาดจากคนในครอบครัวไม่ได้จริงๆ ถ้าศิษย์พี่ทุกท่านอยากจะเข้าสู่ดินแดนผนึกนั่นจริงๆ จะให้ผมส่งพวกท่านไปก็ได้นะ!”
เยี่ยเทียนรู้มาจากบันทึกของจางซันเฟิงว่า เมื่อครั้งโบราณกาล โลกนั้นกว้างใหญ่ไพศาลเหลือประมาณ สุดที่สมัยนี้จะเปรียบเทียบได้ และก็มีเทพนิยายและตำนานต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่ในกาลต่อมา มีผู้ยิ่งใหญ่ตัดแยกพื้นที่บางส่วนออกไป ทำให้เกิดเป็นมิติของมนุษย์โลกและดินแดนผนึกต่างๆ เช่น แดนปีศาจอสูร หรือแดนของผู้บำเพ็ญเซียน เป็นต้น
อย่างดินแดนแห่งทวยเทพที่เยี่ยเทียนรู้จักนั้น ก็คือดินแดนแห่งหนึ่งที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยของผู้บำเพ็ญพรต ที่นั่นอุดมไปด้วยปราณวิเศษ ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้คนสามารถบำเพ็ญจนถึงระดับหยวนอิงได้ สำหรับระดับที่สูงขึ้นไปยิ่งกว่านั้น จางซันเฟิงผู้มีการบำเพ็ญในระดับจินตันก็ไม่อาจจะล่วงรู้ได้เช่นกัน
เยี่ยเทียนรู้อยู่แล้วว่าตำแหน่งของดินแดนแห่งทวยเทพอยู่ที่ไหน และจางซันเฟิงยังได้ระบุจุดเชื่อมต่อไปยังดินแดนผนึกอื่นๆ ไว้อีกด้วย จุดเชื่อมต่อเหล่านั้นต่างก็เป็นจุดที่เปราะบางที่สุดของดินแดนผนึก เพียงมีพลังฝีมือในระดับเซียนเทียนก็สามารถเข้าไปได้แล้ว ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงมั่นใจว่าจะสามารถส่งพวกเขาไปถึงมิติเหล่านั้นได้
“เธอไม่ไปรึ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียก็ร้อนใจขึ้นมาทันที
“ศิษย์น้องเล็ก ตาแก่อย่างพวกเรานี่ ขืนบุ่มบ่ามเข้าไปในดินแดนเหล่านั้น น่ากลัวว่าจะกลายเป็นเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ มีแต่ต้องพึ่งพาเธอเท่านั้น ถ้าเธอไม่ไป แล้วพวกเราจะไปได้อย่างไรกัน?”
แม้ว่าหลังจากที่บรรลุถึงระดับเซียนเทียนแล้ว รูปลักษณ์ของโก่วซินเจียจะดูอ่อนเยาว์ลงไปหลายสิบปี แต่พวกเขาได้รู้จากบันทึกของจางซันเฟิงว่า ภายในมิติดินแดนเหล่านั้น มีผู้ที่สามารถบรรลุถึงระดับเซียนเทียนได้ตั้งแต่อายุสามสิบสี่สิบปีอยู่ถมเถไป ต่อให้พวกเขาเข้าไปในนั้นแล้ว ก็คงเป็นได้เพียงผู้บำเพ็ญพเนจร ไม่มีสำนักไหนจะมาเห็นคุณค่าของพวกเขาหรอก
แต่เยี่ยเทียนนั้นไม่เหมือนกัน ตอนนี้เขายังอายุไม่ถึงสามสิบปี ก็ใกล้จะไปถึงขั้นบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคแล้ว กรณีเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนเลยในวงการบำเพ็ญพรตที่นี่ ดังนั้นเขาจะต้องกลายเป็นจุดสนใจของสำนักต่างๆ แน่นอน
หรือในอีกทางหนึ่ง ต่อให้เยี่ยเทียนไม่เข้าร่วมกับค่ายสำนักไหนเลย ในดินแดนผนึกนั้นยอดฝีมือระดับจินตันก็ต้องได้เป็นผู้มีอิทธิพลในถิ่นใดถิ่นหนึ่งอยู่แล้ว ถ้าได้ติดตามเยี่ยเทียนไป อย่างน้อยที่สุดพวกโก่วซินเจียก็จะสามารถดำรงชีพอยู่ที่นั่นต่อไปได้แล้ว
“ศิษย์พี่ใหญ่ หากบุพการียังอยู่ มิควรเดินทางไกล ดังนั้นก่อนที่พวกท่านจะมีอายุถึงหนึ่งร้อยปี ผมจะไม่จากไปไหนทั้งนั้น!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า น้ำเสียงแน่วแน่ ในวัยเยาว์เขาไม่ได้มีชีวิตอยู่ร่วมกับมารดา ดังนั้นจึงรักถนอมชีวิตในปัจจุบันนี้อย่างยิ่ง
“นี่…นี่ เฮ้อ”
พวกโก่วซินเจียต่างก็เป็นคนรุ่นก่อน ซึ่งให้ความสำคัญต่อความกตัญญูอย่างยิ่งยวด ดังนั้นเมื่อเยี่ยเทียนเอ่ยถึงบิดามารดา พวกเขาจึงไม่อาจจะกล่าวแย้งอะไรได้อีก
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศภายในห้องเริ่มจะตึงเครียด จั่วเจียจวิ้นจึงพูดไกล่เกลี่ยขึ้นมาว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่หนาน ที่จริงเราอยู่ที่โลกของปุถุชนนี่นานอีกสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน การฝึกใจท่ามกลางโลกีย์นั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะเลวร้ายเสมอไปหรอก!”
เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าควรจะเข้าสู่ดินแดนผนึกหรือไม่นั้น จั่วเจียจวิ้นเองก็มีความสับสนอยู่เช่นกัน เพราะเขามีลูกสาวและหลานสาว ในใจจึงยังไม่อาจปล่อยวางจากสิ่งผูกมัดได้ คำพูดของเยี่ยเทียนก็ทำให้เขาเปลี่ยนความคิด จึงตัดสินใจว่าจะรอจนไร้ซึ่งสิ่งผูกมัดก่อน แล้วจึงจะเข้าสู่ดินแดนต่างมิตินั้น
“ก็ได้ เราเข้าสู่ระดับเซียนเทียนกันแล้ว ก็น่าจะมีอายุขัยให้อยู่ได้อีกสักร้อยสองร้อยปีอย่างสบายๆ ทำตามที่ศิษย์น้องเล็กบอกก็แล้วกัน!”
หนานไหวจิ่น และโก่วซินเจียสบตากันแวบหนึ่ง แล้วพูดเปลี่ยนประเด็น
“ศิษย์น้องเล็ก ได้ข่าวว่าเธอรวบรวมคัมภีร์ทุยเป้ยถูได้จนครบถ้วนแล้ว แต่มันกลับกลายเป็นคัมภีร์เป็นตายอะไรนั่น ไม่ทราบว่าจะนำออกมาให้พวกเราดูหน่อยได้ไหมล่ะ?”
เยี่ยเทียนพาโจวเซี่ยวเทียนไปยุโรปครั้งนี้ หลังจากกลับมาแล้ว โจวเซี่ยวเทียนก็ยังรู้สึกตื่นเต้นไม่หาย จึงได้เล่าเกี่ยวกับชัยชนะของเยี่ยเทียนออกมาอย่างถึงรสถึงชาติไปแล้วหนหนึ่ง ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ต่างก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักกันทั้งนั้น จึงไม่มีอะไรต้องปิดบังกันอยู่แล้ว
“ได้อยู่แล้วครับ แต่ศิษย์พี่ทุกท่านอย่าได้ใช้จิตดั้งเดิมตรวจดูตัวอักษรคำว่าตายนั่นเด็ดขาดเลยนะครับ!”
เยี่ยเทียนหยิบคัมภีร์เป็นตายออกมาจากในอกเสื้อ แล้ววางลงบนโต๊ะ
“เจ้าของสิ่งนี้มีความชั่วร้ายมาก ตัวอักษรตายนั้นสามารถกลืนกินจิตดั้งเดิมของคนได้ และก็เหมือนจะดูดพลังชีวิตจากร่างกายมนุษย์ได้ด้วย ศิษย์พี่ทุกท่านอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด!”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนท่าทางเคร่งเครียดเช่นนี้ พวกโก่วซินเจียจึงไม่กล้าประมาท แต่ก็ลองใช้จิตสัมผัสตัวอักษรคำว่า ‘เป็น’ ดู พลังชีวิตอันกระปรี้กระเปร่านั้นทำให้จิตดั้งเดิมของพวกเขารู้สึกปลอดโปร่งสบายขึ้นมาทันที จึงพากันอุทานอย่างอัศจรรย์ใจ
แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนประหลาดใจคือ ไม่ว่าพวกโก่วซินเจียจะถ่ายปราณวิเศษเข้าสู่ คัมภีร์เป็นตายอย่างไร ก็ไม่อาจกระตุ้นให้ คัมภีร์เป็นตายทำงานได้เลย นี่ก็หมายความว่า นอกจากตัวเขาเองแล้ว คนอื่นๆ ไม่มีทางใช้หนังสือประหลาดเล่มนี้ได้เลย
“น่าเสียดาย คงไม่มีโอกาสได้เห็นตอนที่ คัมภีร์เป็นตายนี่ตัดสินความเป็นตายแล้วล่ะ!”
หลังจากชื่นชมไปรอบหนึ่ง โก่วซินเจียก็ส่ง คัมภีร์เป็นตายคืนให้เยี่ยเทียน ตอนนี้พวกเขาก็ไม่เหลือศัตรูคู่แค้นที่ไหนแล้ว จึงไม่มีโอกาสที่จะได้ใช้ คัมภีร์เป็นตายนี้คร่าชีวิตศัตรูอีกแล้ว
“อาจารย์ลุงใหญ่ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสได้เห็นหรอกนะครับ!”
โจวเซี่ยวเทียนรินน้ำชาให้พวกเยี่ยเทียน แล้วไปยืนอยู่ข้างหลังเยี่ยเทียน เมื่อได้ยินคำพูดของโก่วซินเจียก็ยิ้มพลางพูดขึ้น
“อาจารย์ เจ้าคนที่ชื่อซ่งเสี่ยวหลงนั่นเราก็ยังหาไม่เจอไม่ใช่หรือครับ? คงต้องเป็นเพราะตระกูลซ่งให้ท้ายมันอยุ่แน่นอน ผมว่า…เราลองใช้ คัมภีร์เป็นตายนี่ดู ดีไหมครับ?”
“เรื่องนี้ ไม่รู้จะทำได้รึเปล่านะ”
ตั้งแต่ออกจากแอฟริกาใต้แล้วเกิดเหตุเครื่องบินตกสู่เกาะเซียน ‘เผิงไหล’ นั่นจนมาถึงตอนนี้ ก็เป็นเวลาสองปีกว่าแล้ว แต่ซ่งเสี่ยวหลงนั้นราวกับหายสาบสูญไปจากโลกนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นตระกูลซ่งหรือเยี่ยเทียน ต่างก็ไม่อาจสืบหาข่าวคราวของเขาได้เลย ยามนี้เมื่อได้ยินลูกศิษย์พูดขึ้น เยี่ยเทียนก็อดรู้สึกสนใจขึ้นมาไม่ได้
แต่การกระตุ้น คัมภีร์เป็นตายนั้นจะต้องใช้ปราณแท้ของเยี่ยเทียนเกือบครึ่งหนึ่ง ในสถานที่ที่ขาดแคลนปราณวิเศษธรรมชาติเช่นนี้ อย่างน้อยเยี่ยเทียนก็ต้องสิ้นเปลืองพลอยวิเศษชั้นกลางไปหนึ่งชิ้นจึงจะสามารถฟื้นฟูกลับมาได้ ถ้าเกิดหาไม่พบขึ้นมา อย่างนั้นก็มีแต่จะขาดทุนเปล่าๆ เยี่ยเทียนจึงยังตัดสินใจไม่ได้
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนท่าทางลังเล โก่วซินเจียจึงเอ่ยขึ้นว่า
“ศิษย์น้องเล็ก ลองดูก่อนก็ไม่เสียหายอะไร เจ้าซ่งเสี่ยวหลงนั่นเป็นตัววิบัติจริงๆ ถ้าสามารถกำจัดมันไปเสียได้ ก็ถือว่าเป็นการตัดเคราะห์ตัดกรรมไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว!”
“ได้ครับ อย่างนั้นก็ลองดู!”
เมื่อศิษย์พี่ใหญ่เอ่ยปากแล้ว เยี่ยเทียนจึงไม่ลังเลอีก ถือคัมภีร์เป็นตาย ไว้ในมือซ้ายแล้วพูดขึ้นว่า
“ติงติงกับเจียงซานออกไปก่อน ศิษย์พี่ทุกท่านก็อย่าปล่อยจิตดั้งเดิมออกมานะครับ เพื่อป้องกันการเกิดเหตุไม่คาดฝัน!”
แม้ว่าจะเข้าใจวิธีใช้ คัมภีร์เป็นตาย ในระดับหนึ่งแล้ว แต่เยี่ยเทียนก็ยังไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย เขาสังหรณ์ใจอยู่ว่า คัมภีร์เป็นตายไม่เพียงแต่สามารถตัดสินเป็นตายได้เท่านั้น แต่อาจจะยังมีวิธีใช้แบบอื่นอีกก็เป็นได้ เพียงแต่ตอนนี้พลังฝีมือของเขายังไม่เพียงพอ จึงไม่อาจจะปลดปล่อยพลังของมันออกมาได้มากกว่านี้
หลังจากกำชับทุกคนเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนหายใจเข้าลึกๆ ปราณวิเศษอันบริสุทธิ์ยิ่งสายหนึ่งถ่ายเทจากฝ่ามือของเขาเข้าสู่ คัมภีร์เป็นตาย ทำให้ คัมภีร์เป็นตาย สว่างขึ้นมาทั้งเล่มทันที ความแตกต่างระหว่างสีขาวอันอบอุ่นและสีดำอันแปลกพิสดารนั้นปรากฏชัดแก่สายตาของทุกคน
“ซ่งเสี่ยวหลง!”
เยี่ยเทียนพลิกเปิดหน้าหนังสือสีดำ จิตดั้งเดิมตั้งสมาธิอยู่ที่ชื่อของซ่งเสี่ยวหลง ขณะเดียวกันนิ้วมือที่รวบรวมปราณวิเศษไว้ก็เขียนตัวอักษรลงไปบนนั้นสามตัว
………………………..