หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 220 ใครคือพี่ชายเจ้า
บทที่ 220
ใครคือพี่ชายเจ้า
ริมฝีปากของหลินหนานเฟิงก็ได้บึ้งเล็กน้อย ไม่ใช่ผู้คนเขาพูดกันว่าองค์ชายรัตติกาลนั้นเป็นคนที่สูงศักดิ์และเยือกเย็นหรอก เป็นเทพสงครามที่หลายคนเคารพรักหรอกเหรอ?
แต่ชายหน้าหนาที่อยู่ตรงหน้าเขานี้ กลับบอกว่าตัวเองคือองค์ชายรัตติกาล
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นเจียงหวายเย่จริงๆ แล้วทำไมขาของอีกฝ่ายถึงไม่พิการอย่างที่คนเขาพูดกัน แล้วเรื่องที่ฮ่องเต้ไม่ถูกกับองค์ชายรัตติกาลอีก ทำให้เขามีความรู้สึกไม่ยอมรับขึ้นมา
หลินหนานเฟิงจึงได้พูดอย่างหนักแน่นด้วยเสียงเดียวหน้าเดียว “เจ้าไม่เหมาะสมกับน้องสาวของข้า”
“ท่านพี่ ท่านอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธเปิ่นหวางเช่นนี้สิ แล้วอีกอย่างการตัดสินเรื่องนี้นั้นอยู่ในกำมือของเสี่ยวเหยียนเอ๋อต่างหาก”
หลังจากที่พูดจบเจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนอย่างคาดหวัง “เสี่ยวเหยียนเอ๋อ เจ้าบอกท่านพี่ของเจ้าไปสิว่าเจ้าชื่นชอบข้าใช่ไหม?”
คำพูดเช่นนี้ทำให้หลินซีเหยียนรู้สึกปวดหัว แต่หากคิดถึงความรู้สึกพิเศษที่นางมีให้เจียงหวายเย่แล้ว นางคิดว่านางอาจจะชอบเขาจริงๆก็ได้!
นางจึงได้พูดด้วยใบหน้าแดงๆ “ข้ามีความคิดของตัวเองในเรื่องนี้ พี่ใหญ่”
หลินหนานเฟิงก็ได้ผงกหัวและไม่พูดอะไรอีก
เขานั้นสนับสนุนน้องสาวของเขาตลอดอยู่แล้ว
นี่เขาได้รับงานยอมรับจากพี่ชายของนางง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ? แม้แต่เจียงหวายเองก็ยังประหลาดใจ แต่ที่ประหลาดใจยิ่งกว่าคือการตอบสนองของเสี่ยวเหยียนเอ๋อ
ในขณะที่เจียงหวายเย่รู้สึกพึงพอใจอยู่นั้น ก็ได้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
“เถ้าแก่เนี้ยขอรับ มีคนมารออยู่ที่หน้าประตูขอรับ”
หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาลง มีคนมากมายรู้ว่านางแวะมาที่นี่ได้อย่างไรกันนะ? นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ
นางนั้นเป็นถึงหมอผี ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมาหานางก็ได้นะ
เมื่อหลินซีเหยียนเดินออกไปข้างนอกนางก็พบเหลิ่งเฟิง ส่วนเหลิ่งเฟิงเมื่อพบหลินซีเหยียนร่างของเขาก็ได้สั่นขึ้นมา
มันจะบังเอิญไปไหมเนี่ย?
เขาได้ยินผู้คนละแวกนี้พูดกันว่าหมอที่โรงหมอหุยชุนนั้นสุดยอดมาก โดยเฉพาะเถ้าแก่เนี้ยที่สามารถชิงคนกลับมาจากเงื้อมมือของยมบาลได้ เขาจึงได้ตัดสินใจมาที่นี่เพื่อให้ไปรักษาองค์ชายจง
นี่มันแย่มาก แล้วเขาจะอธิบายอย่างไรดี?
“เหลิ่งเฟิง! สิบหกเป็นอย่างไรบ้าง?”
เหลิ่งเฟิงก็ได้อ้าปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
หลินซีเหยียนที่เห็นอีกฝ่ายมีท่าทีที่ลำบากใจอย่างมากแล้ว นางจึงได้เลิกที่จะซักไซ้แล้วพูดขึ้น “เจ้ามาที่โรงหมอหุยชุนเพื่อที่จะหาหมอไปรักษาสิบหกสินะ?”
เหลิ่งเฟิงก็ได้ผงกหัว แล้วจากนั้นก็ได้ส่ายหัวแล้วกัดฟันตอบกลับไป “นายท่านสบายดีแม่นางหลินไม่ต้องเป็นห่วง ข้ามาที่นี่ก็เพราะคนในกลุ่มของข้าถูกพิษจึง….”
“เจ้าจึงอยากให้ข้าไปรักษาสินะ?”
หลินซีเหยียนก็ได้ถามอย่างใจดี แต่เหลิ่งเฟิงก็ได้รีบส่ายหัวแล้วเมื่อได้ยินที่นางถาม ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างที่ปิดบังเอาไว้อยู่
หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาลงแล้วถามอย่างพอจะเดาได้รางๆ “คนที่พาพวกเจ้าไปในวันนั้นเป็นคนจากรัฐจงสินะ?”
ด้วยเหตุนั้นเขาจึงได้มาหาหมอเพื่อรักษาคนที่ถูกเข็มพิษของนางในวันนั้น!
เหลิ่งเฟิงก็ได้นิ่งเงียบแต่หลินซีเหยียนก็ได้ใส่ใจไม่ “เจ้าไม่จะไม่ยอมรับก็ไม่เป็นอะไร แต่ข้าเองก็มั่นใจในพิษของข้าเช่นกัน ว่าไม่มีใครจะรักษาได้นอกจากข้าเท่านั้น”
“ข้าต้องขอบคุณการช่วยเหลือของแม่นางหลินหลายต่อหลายหน ข้ารู้ดีถึงความสามารถในการรักษาของท่านและการรักษาคำพูดของท่านเสมอมา”
คำพูดกล่าวชมเช่นนี้มักใช้ในการปูทางสำหรับประโยคต่อมาเสมอ หลินซีเหยียนจึงได้มองไปที่อีกฝ่ายอย่างเงียบๆ
“เป็นคนของพวกเราเองที่มาพาตัวข้ากับนายท่านของข้าไปในวันนั้น ท่านช่วยมอบยาถอนพิษให้ข้าได้ไหม?”
ใบหน้าของเหลิ่งเฟิงเต็มไปด้วยการวิงวอน เพราะองค์ชายที่สามนั้นได้หมดสติไปเพราะพิษ ถ้าหากปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไปก็เกรงว่าสถานการณ์จะแย่มากขึ้นเรื่อยๆ
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่อีกฝ่ายและพอจะเดาได้ในใจของนาง แต่นางก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นคงจะไม่ยอมบอกคำตอบแก่นางง่ายๆแน่ นางจึงได้เปิดปากและกล่าว “ยาถอนพิษอยู่ข้างในห้อง รออยู่ตรงนี้เดี๋ยวข้าจะไปเอามาให้”
เมื่อกลับไปในห้อง หลินซีเหยียนก็ไม่ได้สนใจรอยช้ำบนใบหน้าของทั้งสองคนที่อยู่ในห้องนั้น แล้วหยิบเอายาในขวดออกมา แล้วใส่ผงยาเคลือบตัวยานั้นเอาไว้
ผงยาที่เคลือบเอาไว้นี้มีชื่อว่า“หอมสิบลี้” ซึ่งไม่ว่าจะทานหรือโรยบนร่างกายก็จะส่งกลิ่นออกมาเพื่อใช้ระบุตัวคน
มองไปที่ตัวยาที่พร้อมจะทำหน้าที่แล้ว ริมฝีปากสีแดงของหลินซีเหยียนก็ได้เผยรอยยิ้มที่มีความเจ้าเล่ห์ขึ้นมาอย่างช้าๆ
แล้วนางก็ได้มอบยาถอนพิษให้เหลิ่งเฟิงที่กำลังตื่นเต้น แล้วหลินซีเหยียนก็ได้ส่งแขกด้วยสีหน้าที่เฉยเมย
“เจ้าสงสัยจงซู่เฟิงอย่างนั้นเหรอ?”
ด้วยเสียงที่เยือกเย็นที่ดังเข้าหูของหลินซีเหยียนโดยไม่ทันได้ตั้งตัวนั้น ทำให้นางสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย
หลินซีเหยียนก็ได้จ้องกลับไปที่เขา แล้วผงกหัว “ข้านั้นไม่คิดที่จะสอดส่องเรื่องส่วนตัวของคนอื่นหรอก แต่นี่ไม่ได้ไกลจากคำว่าคนอื่นล่ะนะ”
หลังจากที่พูดจบนางก็พบหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ตรงหน้านาง ที่ปกหนังสือเขียนเอาไว้ว่า “เคล็ดวิชาแมลงวิปลาส”
มองไปที่หนังสือแล้วนางก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่ที่กำลังยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติแล้วกล่าว “องค์ชายรู้ดีว่า เสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นน่าจะชอบอะไรแบบนี้ใช่ไหม?”
“ท่านหายไปคราวนี้ก็เพื่อจะหาหนังสือเล่มนี้งั้นเหรอ?” หลินซีเหยียนก็ได้กล่าวพร้อมถลึงตาใส่เขา “ถึงแม้ข้าจะรู้วิชาแพทย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะสนใจเรื่องของแมลงนะ”
เจียงหวายเย่ก็ได้ตกใจ แล้วจากก็ได้มีรอยยิ้มราวกับดอกไม้และมีสีแดงที่มุมตาของเขาราวกับว่าเขาค้นพบของหายากเข้า “หรือว่าเสี่ยวเหยียนเอ๋อจะกลัวแมลงงั้นเหรอ?”
หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วขึ้นมาแล้วคว้าเอาหนังสือในมือของเจียงหวายเย่ไป “อย่างข้าเหรอจะไปกลัวแมลงตัวจ้อยน่ะ? ข้าจะศึกษาหนังสือเล่มนี้ให้ดูก็ได้”
เจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้ม ราวกับว่าเขานั้นพอจะเดาผลลัพธ์นี้ได้อยู่แล้ว
จากนั้นเขาก็ได้กล่าวแกมตลก “เสี่ยวเหยียนเอ๋อจะต้องศึกษาไวๆนะ ไม่อย่างนั้นสามีของเจ้าคงจะได้ทุกข์ทรมานแน่!”
ทันทีที่เขาพูดจบ เนื้อนุ่มๆที่ท้องของเขาก็ได้ถูกโจมตีทันที เจียงหวายเย่ที่ถูกต่อยโดยไม่ทันตั้งตัวนั้น ก็ได้ทรุดลงไปกับพื้นแล้วเอามือกุมท้องของเขา
“ใครคือสามีของข้าไม่ทราบ?”
หลินหนานเฟิงนั้นไม่นึกว่าเขาจะได้เห็นภาพเช่นนี้ทันทีที่เขาออกมา แล้วจากนั้นก็ปรากฏรอยยิ้มที่หาได้ยากบนใบหน้าด้านชาของเขา
เขานั้นรู้สึกยินดีปรีดาในความเจ็บปวดของผู้อื่นอย่างมาก
พรุ่งนี้คือวันที่หลินหนานเฟิงจะต้องกลับไปที่จวนมหาเสนาบดี ดังนั้นหลินซีเหยียนจึงได้ขอให้เขาพักผ่อนให้มากๆแล้วก็จากไป
เจียงหวายเย่ก็ได้เดินตามหลังหลินซีเหยียนไปแล้วกล่าว “เสี่ยวเหยียนเอ๋อ บางทีในช่วงนี้ถ้าเจ้าพบชายที่สวมชุดสีแดงและมีท่าทีเปิดเผยล่ะก็ คนคนนั้นไม่ใช่คนที่ดีนะเจ้าจะต้องอยู่ให้ห่างๆเขาไว้”
จริงๆเหรอ? ข้าคิดว่าองค์ชายน่ะคือคนที่ข้าควรจะอยู่ให้ห่างที่สุดมากกว่า” หลินซีเหยียนที่ไม่ได้คิดอะไรมากก็ได้โต้แย้งกลับไปทันที “อย่างไรเสียท่านนั้นแหละที่คิดชอบเข้ามาเกาะแกะข้าอยู่ตลอดเวลา”
ในตอนนี้เจียงหวายเย่ก็รู้สึกไม่ยอมแพ้ขึ้นมา แล้วรีบเดินตามไปข้างๆหลินซีเหยียนแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังมาก “แต่สุดท้ายคนที่เสี่ยวเหยียนเอ๋อจะไม่อยากจากไปก็คือเปิ่นหวางคนนี้”
ท่าทีที่ดื้อรั้นเช่นนี้ได้ทำให้องค์ชายรัตติกาลผู้ยิ่งใหญ่นั้นเป็นเหมือนกับเด็กที่ไม่ได้กินน้ำตาล
หลินซีเหยียนที่เห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินอยู่ในตรอกเปลี่ยวๆอยู่นั้น ก็ได้มีคนคนหนึ่งปรากฏตัวในความมืด เจียงหวายเย่ก็ได้คิ้วขมวดแล้วก็ได้ถามกลับไปด้วยเสียงเบาๆ “มีเรื่องอะไร?”
เชียนอี้ก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วรีบเดินไปข้าๆหูของ เจียงหวายเย่แล้วก็ซุบซิบ “หอพันกลได้ทำการดักจับจดหมายจากรัฐหลีได้ ซึ่งใจความคือ ต้องการที่จะบอกให้ฮ่องเต้เจียงได้รู้ว่าขาขององค์ชายนั้นได้หายดีแล้วขอรับ”
สำหรับเรื่องนี้นั้นเป็นได้ทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยกลัวฮ่องเต้เจียง แต่เขาไม่ต้องการจะมีปัญหามากมายตามมา
เจียงหวายเย่จึงได้กล่าวไป “ทำการสลับจดหมายเสียแล้วส่งข้อความนี้ไปแทน “ข้าฮ่องเต้หลีจากรัฐหลี ใคร่อยากจะขอบุตรีคนที่ห้าบ้านมหาเสนาบดีในอาณาจักรของท่าน ข้าหวังว่าฮ่องเต้เจียงจะเมตตาช่วยให้ผู้อื่นได้สมหวังด้วย ด้วยเหตุนี้อาณาจักรของเราก็จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับรัฐเจียงและจะร่วมก้าวหน้าไปด้วยกัน”