หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 222 ใครมีค่ามากกว่ากัน
บทที่ 222
ใครมีค่ามากกว่ากัน
“หน่อเขียว?” เจียงหวายเย่ก็ได้พูดทวนชื่อ แล้วจากนั้นกระบี่ยมโลกก็ได้มีการตอบสนองขึ้นมา ซึ่งดูแล้วน่าทึ่งมาก
แล้วเวลาก็ได้ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนผ่านมาเวลาค่ำแล้ว ถึงแม้เจียงหวายเย่นั้นจะอยากอยู่ที่เรือนเชียนเหยียนต่อ แต่เขาก็ยังมีงานอีกมากมายที่ต้องไปจัดการ เขาจึงจำต้องกลับไปที่พระราชวังอย่างไม่เต็มใจ
พระราชวังรัตติกาลนั้นไม่ได้เป็นแค่พระราชวังๆหนึ่ง และองค์ชายรัตติกาลก็ไม่ได้เป็นแค่องค์ชายธรรมดาๆเช่นกัน แต่เขาคือผู้ที่มีทหารนับหมื่นอยู่ในครอบครอง และเป็นผู้ที่สามารถยับยั้งความกำเริบเสิบสานของอาณาจักรศัตรู
จึงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่รอการตัดสินใจของเขาอยู่
มองไปที่เอกสารในมือของเขา เขียนเอาไว้ว่าองค์ชายสี่นั้นต้องการที่จะยึดเอาบ่อนเหวินซือไป
“เราเองก็อยากจะเห็นว่าเจ้าจะยึดไปอย่างไร?”
ดวงตาของเจียงหวายเย่ก็ได้ปรากฏแววตากระหายเลือดขึ้นมา ด้วยการสะบัดพู่กันในมือของเขา กรงสำหรับจับองค์ชายสี่ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ที่เหลือก็รอแต่เขามางับเหยื่อเท่านั้น” ราวกับนึกถึงภาพที่จะเกิดขึ้นในเวลานั้นแล้ว เจียงหวายเย่ก็ได้หรี่สายตาลงแล้วแสดงสีหน้ายินดีขึ้นมา
มองไปที่กองเอกสารมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะ เจียงหวายเย่ก็ได้สูดลมหายใจยามค่ำคืนและคิดจะไปที่จวนมหาเสนาบดีเพื่อไปดูอะไรสนุกๆพรุ่งนี้ งานกองพะเนินเหล่านี้เขาจะต้องจัดการให้เรียบร้อยโดยด่วน
ในขณะที่เจียงหวายเย่กำลังปั่นงานกองพะเนินให้เสร็จในคืนนี้อยู่นั้น ฮ่องเต้เจียงในพระราชวังหลวงเองก็ยังไม่ได้นอนเช่นกัน
เขาได้รับจดหมายมาจากรัฐหลี แล้วจากนั้นเขาก็ได้ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ในใจของเขา ในอดีตพระชายาของฮ่องเต้หลีนั้น มีทั้งคนจากรัฐจง, รัฐหลี และยังมีคนจากในอาณาจักรของเขาเองด้วย
เดิมทีเขาเองก็คุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้ดีอยู่แล้วและยินดีที่จะอำนวยความสะดวกให้ แต่ในคราวนี้พวกเขาดันเพ่งเล็งไปที่หลินรั่วจิ่งนี่สิ
นางคือลูกศิษย์ของนักปราชญ์เสียนอวิ๋น ซึ่งจะได้รับบทบาทเป็นผู้สนับสนุนที่ดีมากในอนาคต นางคือผู้ที่เหมาะสมที่จะเป็นพระชายาของเหล่าองค์ชายของเขา ซึ่งถ้าองค์ชายคนนั้นยังไม่ได้เป็นองค์รัชทายาท เขาก็จะจัดการประกาศให้เป็นองค์รัชทายาททันที
แต่กลับมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสียนี่ แล้วในเวลานี้เขาจะทำเช่นไรดี?
ไม่ได้การ น้ำปุ๋ยที่อุดมสมบูรณ์จะปล่อยให้ไหลเข้านาคนอื่นไม่ได้ แล้วยิ่งผู้หญิงที่มีความสามารถมากเช่นนี้ในรัฐเจียงด้วยแล้ว!
หลังจากค่ำคืนที่ตื่นเต้นผ่านไป เมื่อวันต่อมาได้มาถึงและข่าวนี้ก็ได้แพร่ไปยังองค์ชายทุกคน
“ข้าจะไม่ยอมเรื่องนี้เด็ดขาด หลินรั่วจิ่งคือคนที่องค์ชายคนนี้หมายปอง!” เมื่อได้ทราบข่าวนี้ องค์ชายสี่ก็ได้ลุกขึ้นยืนทันที แล้วสาวงามที่กำลังเกาะแกะเขาอยู่ก็ได้ร่วงลงกับพื้นทันที
มีเสียงร้องครางดังออกมาจากปากของนาง แต่ทว่าเสียงที่น่าหลงใหลนี้กลับดึงความสนใจขององค์ชายสี่ไม่ได้เลย กลับกันนางกลับถูกเตะอย่างไม่ไยดีโดยองค์ชายสี่
ในเวลานี้ผู้หญิงคนนั้นก็ได้เรียนรู้ขึ้นมา นางจึงได้กัดฟันของนางและไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมาอีก
ในขณะที่เหล่าองค์ชายได้รวมตัวกันเพื่อหาวิธีนั้น ที่จวนมหาเสนาบดีก็ได้เริ่มเตรียมการต้อนรับลูกชายคนโตตั้งแต่เช้าตรู่
หลินเฉิงอวี้ก็ได้ถูกลากออกมาจากผ้าห่มอุ่นๆโดย ฮูหยินอวี้ “เจ้ายังจะมัวขี้เกียจได้อีกเหรอ ในวันนี้พี่ชายของเจ้าจะถูกรับเป็นทายาทแล้วให้กลับเข้าตระกูลแล้วนะ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้ายังจะมีที่อยู่ในหัวใจของท่านพ่ออีกไหม?”
“ไม่ต้องกังวลมากขนาดนั้นก็ได้ท่านแม่ นั่น หลินหนานเฟิงนะ ใครๆก็รู้ว่าเขาเป็นลูกที่เกิดจากสาวใช้ชั้นต่ำน่ะ” เมื่อพูดถึงหลินหนานเฟิงแล้ว ดวงตาของหลินเฉิงอวี้ก็เต็มไปด้วยการดูหมิ่น
ฮูหยินอวี้ก็ได้ยิ้มอย่างมั่นใจ “แล้วเจ้ารู้หรือยังว่า ท่านพ่อนั้นวางแผนจะให้เขาได้เข้ารับราชการน่ะ?”
“เข้ารับราชการ?” หลินเฉิงอวี้ก็ได้ตื่นขึ้นมาทันทีแล้วจากนั้นก็กล่าว “เด็กจรจัดแบบนั้น ตัวหนังสือยังไม่รู้เลยด้วยกระมัง? ยังอยากจะให้เป็นขุนนางอีกเรอะ?”
ฮูหยินอวี้เองก็คิดเหมือนกันจากนั้นก็ได้พูดเตือน “จากนี้ไปเจ้าจะทำตัวขี้เกียจไม่ได้อีกแล้วนะ รู้ไหม?”
“ท่านแม่ ข้ารู้แล้ว” หลินเฉิงอวี้นั้นเป็นคนฉลาดจึงได้ตอบกลับไปแต่โดยดี
จนกระทั่งเที่ยง หลินซีเหยียนก็ได้มาถึงที่จวนมหาเสนาบดีพร้อมกับหลินหนานเฟิงและป้าเฉิน
เมื่อมาถึง ใบหน้าของหลินหนานเฟิงนั้นยังคงเยือกเย็นเช่นเดิม แต่ป้าเฉินนั้นกลับตื่นเต้นอย่างมาก นางได้จับแขนเสื้อของหลินหนานเฟิงแล้วพูดขึ้นพึมพำ “ในที่สุดพวกเราก็ได้กลับมาที่นี่”
หลินหนานเฟิงก็ได้แตะที่มือของนางเพื่อปลอบ
ในห้องโถงใหญ่ มหาเสนาบดีหลินก็ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ แล้วมองไปที่ผู้คนตรงหน้าเขาอย่างเงียบๆ แล้วในที่สุดเขาก็ได้ผงกหัวอย่างพึงพอใจ
“หนานเฟิง ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ข้าผิดต่อเจ้านัก ต่อจากนี้ไปพ่อจะขอชดเชยให้เจ้านะ” มหาเสนาบดีหลินก็ได้เดินไปหาหลินหนานเฟิงและตบหลังของเขาอย่างใจดี
คิ้วของหลินหนานเฟิงก็ได้ขยับเล็กน้อย แต่ดวงตาของเขาก็ได้ปรากฏแววตาขยะแขยง แต่เขาก็ต้องฝืนทนเอาไว้
ส่วนหลินรั่วจิ่งนั้นนั่งอยู่ประจำที่นั่งของนางด้วยท่าทีที่งุนงงเล็กน้อย โดยไม่รู้ว่านางนั้นกำลังคิดอะไรอยู่
แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนที่ไม่อยากจะเห็นหลินหนานเฟิงเป็นที่จุดสนใจเช่นนี้ หลินเฉิงอวี้จึงได้แอบแหย่ขาของเขาออกไปตอนที่หลินหนานเฟิงเดินผ่าน เพื่อให้อีกฝ่ายล้มหัวทิ่มต่อหน้าทุกคน
แต่ไม่คาดคิดว่า สุดท้ายแล้วจะเป็นเขาที่ร้องออกมา ก่อนจะลุกขึ้นยืนและกล่าว “นี่เจ้าจงใจเหยียบข้างั้นเหรอ?”
เขาได้ก้มลงไปแล้วบีบนวดหัวเข่าตัวเอง แล้วหลินเฉิงอวี้ก็ได้จ้องมองที่หลินหนานเฟิงด้วยสายตาที่เหี้ยมโหด
แต่หลินหนานเฟิงนั้นไม่ใช้คนที่ชอบพูดแต่แรกอยู่แล้ว เขาจึงได้เมินหลินเฉิงอวี้ไป
ท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์เช่นนี้ได้ทำให้หลินเฉิงอวี้โกรธมากขึ้นไปอีกอย่างไม่ต้องสงสัย
“คุณชายสี่ อ๊ะไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกคุณชายห้าสินะ ทำไมคุณชายห้าถึงได้สร้างปัญหาให้กับพี่ใหญ่ด้วยเล่า?” หลินซีเหยียนก็ได้มองกวาดไปหาหลินเฉิงอวี้ด้วยสายตาที่ประชดประชันในดวงตาสีดำของนาง ซึ่งทำให้ใบหน้าของหลินเฉิงอวี้ต้องร้อนผ่าวด้วยความโกรธ
หลินเฉิงอวี้ก็ได้โมโหมากขึ้นทันที “หมอนั่นเป็นแค่ลูกผู้หญิงชั้นต่ำ คิดจะมาเป็นพี่ใหญ่ของข้างั้นเหรอ? ข้าไม่ยอมรับหรอก”
“แต่พี่ใหญ่เป็นลูกชายคนโตของมหาเสนาบดีหลินนะ ซึ่งก็เห็นกันชัดๆอยู่แล้ว” หลินซีเหยียนก็ได้ปรากฏแววตาเย็นชาในดวงตาของนาง และพูดด้วยเสียงที่เบามาก “ข้าแนะนำให้เจ้าล้างปากของเจ้าให้สะอาดจะดีกว่า”
“เป็นแค่ต้นหอมอย่าได้มากล้าทำสั่งสอนข้านะ!” หลินเฉิงอวี้นั้นไม่ยินยอมที่จะถูกสอนสั่งโดยหลินซีเหยียนและได้พูดว่ากลับไป
แต่ทันทีที่เขาพูดเช่นนี้หลินเฉิงอวี้ก็ได้สำนึกผิดทันที ในหลายวันที่ผ่านมานี้เขานั้นรู้ดีว่าหลินซีเหยียนนั้นไม่ง่ายที่จะถูกรังแกอีกต่อไป
จึงไม่แปลกใจเลยที่หลินเฉิงอวี้นั้นจะรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาทันที
ในเวลานี้หลินซีเหยียนไม่ได้พูดว่าอะไรกลับไป แต่เป็นหลินหนานเฟิงที่ทุบหลินเฉิงอวี้ลงไปนอนกับพื้น แล้วจากนั้นก็กล่าว “อย่าว่านางนะ”
ความสามารถของเขาเฉียบคมมาก มหาเสนาบดีหลินนั้นไม่ได้มองไปที่หลินเฉิงอวี้ที่ถูกอีกฝ่ายทุ่มจนลงไปกองกับพื้น กลับกันมหาเสนาบดีหลินกลับถามเขาอย่างคาดหวัง “หนานเฟิง เจ้ารู้วิชาการต่อสู้ด้วยงั้นเหรอ?”
หลินหนานเฟิงก็ได้มองไปที่เขา ก่อนที่จะผงกหัว “พอจะรู้อยู่นิดหน่อย”
สีหน้าของมหาเสนาบดีหลินก็ได้มีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ ในสายตาของเขานั้นเขามองเห็น หลินหนานเฟิงได้เป็นองครักษ์พกดาบ
ไม่ว่าเขานั้นจะมีความรู้เพียงน้อยนิดหรือไม่ ขอเพียงเขารู้วรยุทธ์บ้างก็พอจะหาช่องทางทำให้หลินหนานเฟิงกลายเป็นราชองครักษ์ได้ แล้วด้วยเหตุนี้จวนมหาเสนาบดีของเขาก็ยังไม่อับจนหนทางแล้ว
“หนานเฟิง เจ้าสนใจอยากจะเป็นองครักษ์พกดาบไหม?”
องครักษ์พกดาบกับราชองครักษ์พกดาบนั้น ถึงแม้จะต่างกันแค่คำหน้าคำเดียว แต่ความหมายต่างกันมาก
เมื่อเห็นหลินหนานเฟิงคิ้วขมวด มหาเสนาบดีก็ได้รีบกล่าว “แต่ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะทำให้เจ้าได้เป็นราชองครักษ์พกดาบในไม่ช้า!”
ดวงตาของหลินหนานเฟิงก็ได้ปรากฏความไม่พอใจออกมา เขานั้นไม่อยากที่จะทำงานในพระราชวังเลย แล้วตำแหน่งที่เขาพูดถึงคืออะไรก็ไม่รู้
แต่เขาก็ได้สัญญาว่าจะช่วยน้องสาวของเขาไปแล้ว จึงได้แต่ผงกหัวตอบ “ขอรับ”
มหาเสนาบดีหลินก็ได้มีความสุขอย่างมาเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขานั้นไม่ได้รู้สึกถึงหลินเฉิงอวี้ที่กำลังลุกขึ้นมาเลย ยิ่งสายตาอิจฉาที่มองมายิ่งไม่ต้องพูดถึง