หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 257 ผักเบี้ยใหญ่
บทที่ 257 ผักเบี้ยใหญ่
หลินซีเหยียนบอกแค่ลูกจ้างหนุ่มในโรงหมอหุยชุนว่านางจะขึ้นไปบนภูเขา แล้วก็ฝากให้อีกฝ่ายช่วยเตรียมสมุนไพรบางอย่างให้ด้วย เมื่อนางกลับมาจะได้เริ่มเตรียมการทำยาอาบให้หลีเจี้ยนเฉินได้ทันที
มีเส้นทางสัญจรขึ้นไปบนภูเขาตรงเขตนอกเมือง หลินซีเหยียนเดินทางไปพร้อมกับตะกร้าไม้ไผ่ที่สะพายไว้บนหลังอย่างคล่องแคล่ว เมื่อนางไปถึงที่ที่นางคิดว่าผักเบี้ยใหญ่น่าจะอยู่ นางก็ผละออกจากทางสัญจรหลักแล้วมุ่งหน้าเข้าไปในป่าข้างทางที่รกชัฏแทน
เสียงกรอบแกรบดังขึ้นทุกคราที่นางย่ำไป พื้นดินล้วนปูด้วยใบไม้แห้ง บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดและมืดสลัวด้วยแมกไม้หนาทึบยิ่งนัก ผักเบี้ยใหญ่ที่หญิงสาวตามหาอยู่ก็ชอบขึ้นตามที่มืด ๆ และพอจะมีแสงส่องลงมาบ้างแบบนี้เช่นกัน
ในไม่ช้า ก็ปรากฏถ้ำแห่งหนึ่งขึ้นมาในคลองสายตาของหลินซีเหยียน ข้าง ๆ ถ้ำนั้นเองมีหญ้าเขียว ๆ ขึ้นกันอย่างแน่นขนัดอยู่ ดูคล้ายผักเบี้ยใหญ่
นางรีบรุดเข้าไปใกล้ทันที
ขณะที่กำลังจะเดินไปถึงหญ้าเขียว ๆ กอนั้น หลินซีเหยียนก็พลันได้ยินเสียงดังมาจากข้างในถ้ำ นางหรี่ตาลงแล้วค่อย ๆ เดินอย่างแผ่วเบาเข้าไปข้างใน
พร้อมกันนั้นก็กำยาไว้เต็มกำมือด้วย
ในขณะที่หลินซีเหยียนเข้าไปด้านในลึกมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียงคนพูดคุยกันก็ยิ่งชัดขึ้น
“พวกเราจะทำอย่างไรกันดี? ลูกพี่ก็โดนจับตัวไปแล้ว ต่อให้พวกเรามีอาวุธและชุดเกราะมากเพียงใดพวกเราก็ไม่สามารถขนย้ายออกไปได้อยู่ดี”
“เอาเถอะ อย่างไรเสียพวกเราจะให้ใครรู้เรื่องของที่นี่ไม่ได้ พยายามอย่าให้ตกเป็นเป้าสายตาคนตอนมาที่นี่ล่ะ”
หลินซีเหยียนได้ยินเข้าก็ตกใจขึ้นมานิดหนึ่ง
อาวุธและชุดเกราะงั้นหรือ? หรือว่าจะเป็นพวกลักลอบขโมยยุทโธปกรณ์ของกองทัพ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แล้ว รีบเอาเรื่องนี้ไปกลับเล่าให้เจียงหวายเย่ฟังก่อนจะดีกว่า!
คิดได้ดังนั้นนางก็หันหลังเตรียมย่องออกจากถ้ำทันที ทว่าขาเจ้ากรรมดันสะดุดเข้ากับหินที่อยู่ตรงพื้นซึ่งนางไม่ทันได้สังเกต
เสียงล้มดังกังวานทั่วถ้ำ กลุ่มคนปริศนาที่คุยกันอยู่นั้นเงียบเสียงทันที หนึ่งในนั้นพลันตะโกนขึ้น “ใครน่ะ!”
“มีคนอยู่ตรงนั้น! ไปเร็วเข้าพวกเราจะปล่อยให้มันหนีไปไม่ได้”
เมื่อได้ยินเสียงที่ดุดันของคนที่อยู่ในส่วนลึกของถ้ำแล้ว หลินซีเหยียนก็รีบลุกขึ้นจากพื้นแล้ววิ่งออกไปนอกถ้ำทันที
เมื่อคนสองคนที่คุยกันเมื่อครู่เห็นนาง ก็รู้ได้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่แล้ว พวกเขาจึงพากันวิ่งตามไป เมื่อหลินซีเหยียนเห็นว่าคนพวกนั้นกำลังจะตามมาทันก็หยุดครู่หนึ่งแล้วขว้างยาที่นางเตรียมไว้ออกไปทันที
ชายสองคนเมื่อครู่สลบไสลไป..
หลินซีเหยียนยิ้มขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ไม่ช้านางก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปเตะคนพวกนั้นเบา ๆ เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีการตอบสนอง นางจึงมองไปรอบ ๆ เพื่อหาเถาวัลย์ ด้วยนางคิดว่าจะจับคนพวกนี้ไว้แล้วค่อยกลับไปแจ้งเจียงหวายเย่
หญิงสาวออกไปไม่นานก็กลับมาพร้อมกับเถาวัลย์ในมือ แต่กลับพบว่าร่างสองร่างที่เคยอยู่ตรงนี้ได้อันตรธานหายไปเสียแล้ว
ฉับพลันนั้นประสาทสัมผัสอันเฉียบคมของนางก็สัมผัสได้ถึงอันตราย หลินซีเหยียนรีบโยนเถาวัลย์ทิ้ง แล้ววิ่งหนีทันที
ทว่าไม่ทันไรก็มีเสียงหัวเราะที่ฟังดูยั่วยวนน่าหลงใหลเข้ามากระทบโสตประสาทนาง พร้อมกับพูดอย่างมุ่งร้าย “ช่างเป็นหญิงสาวที่ฉลาดอะไรเช่นนี้ แต่ในเมื่อเจ้าพบที่นี่แล้ว คิดเหรอว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าหนีรอดไปได้น่ะ?”
หลินซีเหยียนยังไม่ทันได้พูดซักไซ้อะไร ก็ถูกเจ้าของเสียงเมื่อครู่ชักปิ่นปักผมหยกออกมาแล้วปักลงไปที่น่องของนางในเสี้ยวพริบตา
เมื่อหญิงสาวมองไปที่แผล ใบหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที ยามนี้นางรู้แล้วว่าปิ่นปักผมที่แทงนางอยู่คงอาบพิษไว้เป็นแน่ หลินซีเหยียนจึงรีบหยิบเอายาเม็ดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพาย แล้วหลังจากที่กลืนยาลงไป นางก็ลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งหนีต่อ
“แม่นางหวัง จะให้พวกเราไล่ตามไปหรือไม่?”
ชายสองคนที่เพิ่งถูกหลินซีเหยียนทำให้สลบไป ยามนี้พวกเขาได้มายืนอยู่ข้าง ๆ หญิงสาวที่เสียงยั่วยวนแล้ว หนึ่งในนั้นมองไปยังทิศทางที่หลินซีเหยียนหนีไปและพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “นางนั่นมันกล้าทำให้พวกเราสลบไป พวกเราจะปล่อยนางไปง่าย ๆ ไม่ได้เด็ดขาด!”
สตรีหนึ่งเดียวในนี้ผู้แต่งหน้าอย่างงดงามหมดจดหัวเราะในลำคอดูไม่ยี่หระ “ไม่ต้องกังวลไปหรอก ปิ่นปักผมของข้าเคลือบยาพิษร้ายแรงเอาไว้ ต่อให้นางหนีออกไปจากป่านี้ได้ก็คงไม่รอดอยู่ดีนั่นแหละ” นางคลี่รอยยิ้มน่ากลัวขณะกล่าวออกมา ก่อนจะหันไปชายสองคนที่อยู่ข้าง ๆ “ลูกพี่ของพวกเจ้านี่น่าสิ้นหวังจริงๆ แต่เห็นแก่พวกเจ้าที่คอยดูแลของพวกนี้ให้ข้าเป็นอย่างดี ข้าก็จะตกรางวัลให้พวกเจ้าก็แล้วกัน”
ทันทีที่ได้ยิน ตาของพวกเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที “แม่นางหวังช่างเป็นคนใจกว้างยิ่งนัก พวกเราจะเชื่อฟังแม่นางทุกอย่างขอรับ” ทันทีที่เขาได้ยินตาของพวกเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
ทางฝั่งหลินเซียนเหยียนนั้นเอง นางกำลังลากขาที่ใช้การไม่ได้หนีไปอย่างเชื่องช้า และรู้สึกโล่งอกที่พบว่าคนพวกนั้นไม่ไล่ตามนางมาแล้ว
ไม่ช้าหลินซีเหยียนก็คิดมองหาที่ซ่อนเพื่อรักษาแผลของตนก่อน เมื่อได้ที่ลับตาแล้ว หญิงสาวก็กัดฟันดึงปิ่นปักผมรูปร่างแปลก ๆ ออกมา
เลือดสีดำไหลอาบขานางไม่หยุดทันที หลินซีเหยียนรู้สึกหนาวขึ้นมาทั้ง ๆ อยู่ในฤดูใบไม้ผลิ ในฐานะหมอ นางย่อมรู้ดีว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปนางคงต้องเสียเลือดมากเป็นแน่ แล้วถ้าหากนางหมดสติเพราะเสียเลือดมาก ก็มีความเป็นได้สูงว่านางอาจจะตายเพราะพิษในขณะที่ยังหมดสติอยู่
มืออันไร้เรี่ยวแรงหลินซีเหยียนค่อย ๆ คว้าเข้าไปในกระเป๋า หยิบเอามีดมากำไว้ เมื่อใดก็ตามที่นางรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะหมดสติ นางจะกำมีดให้แน่นขึ้นเพื่อยื้อเวลาเอาไว้
การใช้ความเจ็บปวดมากระตุ้นประสาทสัมผัสเป็นวิธีที่ได้ผลอย่างแน่นอน เมื่อรู้สึกว่าตัวเองน่าจะประคองสติได้แล้ว นางก็หยิบเอาเข็มเงินออกมาเพื่อถ่ายพิษออก จากนั้นจึงหยิบยาถอนพิษในกระเป๋ามากินเข้าไป
“อดทนเอาไว้ก่อนนะ อีกเดี๋ยวก็จะไม่เป็นไรแล้ว” หลินซีเหยียนพยายามถ่างตาอย่างเต็มความสามารถ ในขณะเดียวกันมือก็โรยผงยาไปบนปากแผล
แต่ดูเหมือนว่าความอ่อนล้าจะไม่ปรานีนางเท่าไรนัก
“อีกนิดเดียว อีกแค่นิดเดียว….”
สุดท้ายหลินซีเหยียนก็หมดสติไปก่อนที่นางจะทำแผลเสร็จ นางทรุดลงไปนอนอยู่บนพื้นเงียบ ๆ ใบไม้แห้งปลิดใบร่วงลงมาบนตัวนางทีละใบ ๆ
….
เจียงหวายเย่ที่เพิ่งทำธุระเสร็จได้กลับมาที่โรงหมอหุยชุน เพียงเพื่อจะมาหาเสี่ยวเหยียนเอ๋อ ทว่าเขากลับไม่พบนาง
ใบหน้าอันหล่อเหลาพลันเยือกเย็นขึ้นมา “เสี่ยวเหยียนเอ๋อยังไม่ออกมาจากห้องของฮ่องเต้หลีอีกหรือ?”
เจียงหวายเย่รีบผลักประตูห้องพักของหลีเจี้ยนเฉินทันทีด้วยความไม่พอใจ แต่เมื่อมองเข้าไปก็เห็นว่ามีเพียงฮ่องเต้หลีคนเดียว ซึ่งบัดนี้ใบหน้าแดงจัดอย่างยิ่ง
เจียงหวายเย่รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ จึงเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่กำลังนอนอยู่ทันที “หลีเจี้ยนเฉิน?”
เมื่อได้ยินเสียงคนเรียก หลีเจี้ยนเฉินก็ลืมตาขึ้นมา พยายามจะมองหาต้นตอเสียง ทว่าสายตาของเขากลับพร่ามัว
เมื่อเห็นเช่นนั้นเจียงหวายเย่ก็เป็นกังวลขึ้นมา ด้วยหลีเจี้ยนเฉินเป็นถึงฮ่องเต้ของรัฐหลี จะปล่อยให้เขาตายในรัฐเจียงไม่ได้
องค์ชายแห่งรัฐเจียงจึงต้องเอามือไปอังหน้าผากฮ่องเต้รัฐหลีอย่างไม่เต็มใจ
ร้อน!
เจียงหวายเย่รีบชักมือกลับและผละตัวออกจากห้องทันที เขาพยายามตามหาตัวเสี่ยวเหยียนเอ๋อในโรงหมอ ทว่าหาเท่าไรก็หาไม่เจอ แม้จะถามคนของโรงหมอที่ผ่านไปผ่านมาก็ไม่มีใครทราบ สุดท้าย เขาจึงได้แต่บอกให้คนไปตามหาเฉิงรุ่ยเหยียน
เฉิงรุ่ยเหยียนเมื่อได้มาดูอาการของฮ่องเต้หลีตามคำแล้ว สีหน้าของเขาก็ดูเคร่งเครียดมืดมนยิ่งนัก “อาการของฮ่องเต้หลีสาหัสนัก บาดแผลของเขาติดเชื้อและบวม ข้าเกรงว่า…”
ดวงตาของเจียงหวายเย่พลันดำมืด เขาปิดปากเงียบสนิท ไม่มีใครอาจบอกได้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
ในขณะที่ทั้งห้องกำลังตกอยู่ในความเงียบอยู่นั้นเอง กระบี่ยมโลกที่ห้อยอยู่ข้างเอวเจียงหวายเย่ก็บังเกิดการตอบสนองขึ้นมา
กระบี่เล่มนั้นทะยานวาบออกมาจากฝัก เมื่อปลายแหลมคมของมันแตะพื้น มันก็ขยับตัว สลักตัวอักษรขึ้นบนพื้นทันที
อันตราย
เสี่ยวเยียนเอ๋อกำลังอยู่ในอันตรายอย่างนั้นหรือ?
เจียงหวายเย่เห็นดังนั้นก็รีบฉวยหยิบกระบี่ขึ้นมาแล้วออกวิ่งไปนอกโรงหมอทันที ทว่าเมื่อสายลมเย็นข้างนอกพัดสัมผัสหน้าเขา เจียงหวายเย่ถึงนึกได้ว่า ตนไม่รู้ว่าเสี่ยวเหยียนเอ๋ออยู่ที่ใด เขาจึงจำต้องเดินเข้าไปในโรงหมออีกครั้ง
นี่ข้าทำได้เพียงแค่รอหรือ?
ขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ่านสรตะอยู่นั้นเอง เขาก็เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาข้างในโรงหมอ เขาจำได้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นลูกจ้างของที่นี่ แต่เมื่อครู่เขากลับไม่เห็นอีกฝ่ายเลย ซึ่งทางฝ่ายเด็กหนุ่มนั้นที่ถูกใช้ให้ออกไปซื้อของมานั้น เมื่อเห็นเจียงหวายเย่จึงค้อมหัวทำความเคารพให้ แล้วตั้งท่าจะเดินเข้าไปข้างในต่อ
“หยุดก่อน”
ทันใดนั้นเอง เสียงอันเย็นยะเยือกของเจียงหวายเย่ก็ดังขึ้น เด็กหนุ่มพลันชะงักหยุดทันที ก่อนจะค่อย ๆ หันไปมองอีกฝ่ายด้วยความกลัว