หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 259 อย่าทิ้งเปิ่นหวางไป
บทที่ 259 อย่าทิ้งเปิ่นหวางไป
มือเรียวงามของเจียงหวายเย่ บัดนี้เต็มไปด้วยรอยแผลขีดข่วนจากเศษกิ่งไม้และหินก้อนเล็ก ๆ ที่อยู่ในกองใบไม้แห้ง
เขาลงมือรื้อกองใบไม้ต่อไปด้วยจิตใจร้อนรน จนกระทั่งสัมผัสเข้ากับบางอย่างที่นุ่มหยุ่นและเย็นเยียบ
หัวใจของเจียงหวายเย่กระตุกด้วยความปวดใจ มือพลันรื้อใบไม้บริเวณนั้นออกอย่างเร่งรีบ เมื่อดวงหน้าอันคุ้นเคยเผยขึ้นมาให้เห็น ชายหนุ่มก็รีบควานหาไหล่แล้วจับดึงร่างใต้โลงศพใบไม้ขึ้นมาวางราบบนพื้นทันที
มืองามอันเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนสัมผัสบนดวงหน้าซีดนั้นอย่างสั่นเทา เจียงหวายเย่พบว่าเสี่ยวเหยียนเอ๋อของเขายามนี้ช่างตัวเย็นราวกับไม่ใช่คนเป็นแล้วเหลือเกิน
เขาคุกเข่ามองหญิงสาวเบื้องหน้าพร้อมกับไหล่ที่สั่นสะท้าน นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าอนาคตช่างมืดมนยิ่งนัก
หยาดน้ำใสหลั่งไหลออกมาจากชายชาตรี หยดลงบนใบหน้าหญิงสาวซึ่งหลับตาอยู่หยดแล้วหยดเล่า
ชายกำยำร่างสูงใหญ่ถึงเจ็ดฉื่อ ทั้งแข็งแกร่งและองอาจถึงเพียงนั้น กำลังร่ำไห้ออกมา
ในขณะที่ฝ่ายองค์ชายกำลังสายตาพร่ามัวด้วยม่านน้ำตา เปลือกตาของคนที่อยู่ในอ้อมแขนก็ขยับเคลื่อนไหวขึ้นอย่างแผ่วเบา ตาคู่งามค่อย ๆ ลืมขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร หลินซีเหยียนจึงเอ่ยออกไปด้วยเสียงแหบพร่า “เจียง…หวายเย่?”
เสียงเรียกเมื่อครู่เป็นดั่งเสียงสวรรค์ของเจียงหวายเย่อย่างไม่อาจหาใดเปรียบ
เสี่ยวเหยียนเอ๋อยังมีชีวิตอยู่!
เจียงหวายเย่พลันโผเข้าไปประคองกอดหลินซีเหยียนทันที ปากละล่ำละลักพูดราวกับกลัวคนตรงหน้าจะหายไปอีก “เสี่ยวเหยียนเอ๋ออย่าทิ้งเปิ่นหวางไปไหนอีกเลย ไม่เช่นนั้นเปิ่นหวางคงไม่รู้ว่าจะทนมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร”
ทว่ากลับไม่มีสุ้มเสียงใดตอบกลับจากหญิงสาวอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เจียงหวายเย่จึงได้ผละตัวขึ้นมามอง แล้วเขาก็พบว่าเสี่ยวเหยียนเอ๋อได้สลบไปอีกแล้ว กระนั้นก็ยังโล่งใจได้ที่นางยังหายใจอยู่
เจียงหวายเย่จึงอุ้มหลินซีเหยียนขึ้นมาแล้วพานางกลับไปบริเวณถ้ำที่พวกหน่วยอันยังอยู่ เมื่ออันอี้และหน่วยอันเห็นดังนั้นจึงเข้าใจได้ว่าภารกิจครั้งนี้ได้สำเร็จลุล่วงแล้ว ข่าวถูกกระจายออกไปและหน่วยอันทั้งหมดจึงหยุดทำการค้นหา พร้อมกันนั้น เจียงหวายเย่ก็ควบม้าพาหลินซีเหยียนกลับไปยังโรงหมอ
ณ โรงหมอหุยชุน
เฉิงรุ่ยเหยียนกับหมออีกสองคนในโรงหมอกำลังถกเถียงและหารือกันเรื่องไข้ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ของฮ่องเต้หลี พวกเขาแทบจะกางตำราทุกอย่างที่ตนมีรวมถึงประสบการณ์ในทุกซอกทุกหลืบความทรงจำมาวางแผนรักษาฮ่องเต้หนุ่ม เพราะมิฉะนั้นฮ่องเต้ผู้นี้คงได้สิ้นลมในรัฐเจียงเป็นแน่
“เฉิงรุ่ยเหยียน มานี่เร็วเข้า!”
ในขณะที่พวกเขากำลังว้าวุ่นกันอยู่ในห้องหลีเจี้ยนเฉินก็มีเสียงหนึ่งตะโกนขัดจังหวะขึ้น เมื่อจำได้ว่าเป็นเสียงขององค์ชายเย่ เฉิงรุ่ยเหยียนจึงเดินออกไปหาอย่างจำยอม
ทว่าเมื่อเห็นสภาพของหลินซีเหยียนในอ้อมแขนของเจียงหวายเย่ เขาก็รีบถามทันที “เกิดอะไรขึ้น?”
เจียงหวายเย่ไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับรีบพาหลินซีเหยียนไปทางห้องอีกห้องแล้ววางนางลงบนเตียง “เจ้าดูซิว่าอาการของหลินซีเหยียนเป็นอย่างไรบ้าง?”
บนกระโปรงของหลินซีเหยียนยามนี้มีรอยเลือดดำคล้ำซึมออกมาจนแผ่กว้างไปทั่วผืนผ้า เมื่อเฉิงรุ่ยเหยียนเลิกมันขึ้นจึงเห็นสภาพแผลที่น่องของนาง มันถูกพิษอย่างแน่นอน
ไม่รอช้าเขาก็จับชีพจรของนาง ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “ท่านหมอหลินได้ขับพิษออกมาด้วยตัวเองบางส่วนแล้ว ในเวลานี้บาดแผลของนางจึงไม่น่ากังวลมากนัก”
“ถ้าเช่นนั้นทำไมนางถึงยังหมดสติอยู่?” เจียงหวายเย่ถามอย่างร้อนรน
เฉิงรุ่ยเหยียนก็ได้แต่คิดว่า นี่สินะ ที่เรียกว่าห่วงจนทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่เขาจะอธิบายต่อไปว่า “ที่ท่านหมอหลินยังหมดสติอยู่ ข้าเกรงว่าจะเป็นเพราะนางเสียเลือดมากเกินไป ประเดี๋ยวข้าจะรักษาแผลตรงขาของนางให้ก่อน ส่วนอาการจับไข้และเสียเลือดมาก ข้าจะต้มยาบำรุงให้”
“แล้วเราจะขับพิษที่เหลือออกจากตัวนางให้หมดได้เมื่อไร?” เจียงหวายเย่ถามต่ออย่างกระวนกระวายใจ ด้วยเพราะเขาไม่ต้องการให้เสี่ยวเหยียนเอ๋อมีระเบิดเวลาเช่นเดียวกันกับเขา
เมื่อเฉิงรุ่ยเหยียนพินิจแผลตรงขานั้นแล้ว คิ้วก็ยิ่งขมวดแน่นยิ่งขึ้น “ข้าไม่เคยเห็นพิษชนิดนี้มาก่อน เกรงว่าจำเป็นต้องใช้เวลาในการศึกษาถึงจะสามารถขับพิษได้”
หนึ่งก้านธูปผ่านไป เฉิงรุ่ยเหยียนก็นำยาต้มมาป้อนให้หลินซีเหยียน เพียงอึดใจต่อมา หญิงสาวก็รู้สึกตัว ทว่าคำพูดแรกที่หญิงสาวเอ่ยออกมาหลังจากที่เพิ่งฟื้นคือ “ตะกร้าไม้ไผ่ของข้าอยู่ที่ไหน?”
เจียงหวายเย่ขมวดคิ้วกับคำถามดังกล่าวทันที พร้อมพูดอย่างไม่พอใจ “ชีวิตเจ้ากับตะกร้าไม้ไผ่สิ่งใดสำคัญกว่ากัน?” ไม่พูดเปล่า มือยังเขย่าไหล่อีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหูอีกด้วย
หลินซีเหยียนกะพริบตาปริบ ๆ จากนั้นจึงคลี่ยิ้มออกมา “ข้าจำได้แล้ว เป็นองค์ชายจริง ๆ สินะที่ช่วยข้าเอาไว้”
ในตอนที่นางลืมตาขึ้นมาคราแรกนั้น นางจำได้ว่าเห็นบุรุษผู้หนึ่งที่ดูละม้ายคล้ายองค์ชายเย่ ผิดแต่ว่ากำลังร้องไห้น้ำตานองหน้า นางจึงไม่สู้แน่ใจ แล้วคิดว่าตนเองฝันไป
แต่ยามนี้ หลินซีเหยียนมั่นใจแล้วว่านั่นเป็นเรื่องจริง
เจียงหวายเย่ผู้นี้ได้เสียน้ำตาเพื่อนาง
ฝ่ายเจียงหวายเย่ เมื่อได้มองไปที่คนป่วยซึ่งในเวลานี้กำลังมีสีหน้าดูตื่นเต้นแล้ว มุมปากของเขาก็เกิดกระตุกขึ้นมา ด้วยเพราะเขาพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังนึกคิดสิ่งใดอยู่
ในตอนที่เจียงหวายเย่พบเสี่ยวเหยียนเอ๋อ เขาคงเสียสติไปแล้ว ถึงได้น้ำตาไหลพรากเป็นเด็กน้อยเช่นนั้น
หลังจากที่หลินซีเหยียนยืนยันในสิ่งที่ตนเคยเห็นได้แล้ว นางก็วกกลับมาพูดถึงตะกร้าไม้ไผ่ต่อ “แล้วตะกร้าที่ข้าถามหาล่ะ อยู่ที่ไหน? มันมีสมุนไพรอยู่ในนั้น ใครก็ได้เอามันไปลงหม้อพร้อมกับสมุนไพรที่ข้าได้ต้มเตรียมไว้แล้วที พอได้ที่แล้วก็เอาไปให้ฮ่องเต้หลีอาบสักชั่วยามครึ่ง แล้วอาการติดเชื้อที่แผลของเขาจะทุเลาลง”
เมื่อเจียงหวายเย่ได้รู้ว่าที่หลินซีเหยียนขึ้นเขาก็เพื่อไปหาสมุนไพรมาให้หลีเจี้ยนเฉินแล้ว ก็มีกระแสความไม่พอใจเล็ก ๆ ก่อตัวขึ้นภายใน กระนั้นเขาก็ยังปั้นหน้านิ่ง ไม่ได้แสดงท่าทีดังที่รู้สึกออกมา มิหนำซ้ำยังตอบฝ่ายหญิงสาวอย่างใจเย็นด้วยว่า “ตะกร้าไม้ไผ่ใบนั้นอันอี้น่าจะนำกลับมาให้แล้ว” จากนั้นก็มองไปทางเฉิงรุ่ยเหยียน “ทำตามที่เสี่ยวเหยียนเอ๋อบอก”
เฉิงรุ่ยเหยียนผงกหัวรับคำทันที ด้วยเพราะเขารู้จักตัวตนของหลินซีเหยียนดี เขาจึงได้ไม่แย้งอะไร
และหลังจากที่หลินซีเหยียนอธิบายวิธีรักษาหลีเจี้ยนเฉินเรียบร้อยแล้ว นางก็สลบไปอีกรอบ
ช่างเป็นค่ำคืนที่วุ่นวายเสียจริง ๆ…
เจียงหวายเย่คิดเช่นนั้นขณะที่นั่งเฝ้าเสี่ยวเหยียนเอ๋ออยู่ข้าง ๆ เตียง และเมื่อทำได้เพียงเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ ในไม่ช้า เขาก็เข้าสู่ห้วงภวังค์
ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
องค์ชายรัตติกาลจึงตื่นเต็มตาทันทีแล้ว เมื่อออกไปข้างนอกห้องก็พบว่าเป็นเชียนเอ้อ เขาผู้นี้เชี่ยวชาญเรื่องการทรมานยิ่งนัก นักโทษส่วนใหญ่จึงมักถูกส่งให้เขาไปจัดการ ด้วยเหตุนี้เอง ตัวของอีกฝ่ายจึงมักมีกลิ่นคาวเลือดติดมาเสมอ
“ได้ความอย่างไรบ้าง?” เจียงหวายเย่ปิดบานประตูห้องที่อยู่เบื้องหลังลง แล้วเดินนำเชียนเอ้อออกไปสนทนาให้ห่างจากหน้าห้องกว่าเดิมเสียหน่อย ด้วยกลัวว่าเสียงอาจจะไปรบกบเสี่ยวเหยียนเอ๋อ แล้วทำให้นางตื่นขึ้นมาได้
เชียนเอ้อจึงคุกเข่าลงแล้วรายงาน “ชวีเจิ้งสารภาพแล้วพ่ะย่ะค่ะ ว่าคนที่ทำร้ายองค์หญิง ชื่อหวังซินอู่ กระหม่อมคิดว่านี่อาจจะเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อฝ่าบาท จึงได้มารายงานพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาของคนฟังพลันส่องประกายเย็นยะเยือกทันที “ไปสืบมา”
ไม่ว่ามันจะเป็นใคร มันจะต้องชดใช้กับสิ่งที่ได้บังอาจทำลงไปแน่นอน
เจียงหวายเย่สาบานในใจอย่างหนักแน่นและคั่งแค้น
และแล้วอรุณรุ่งก็ได้มาเยือน
ผู้คนต่างก็เฝ้ารอดูว่าองค์ชายรัตติกาลจะสามารถค้นหาความจริงได้ภายในสามวันหรือไม่
และนี่ก็ครบสามวันแล้ว
ในท้องพระโรง เจียงหวายเย่กำลังนั่งอยู่บนรถเข็นด้วยใบหน้าที่ซีดป่วย ส่วนฮ่องเต้เจียงก็กำลังรอฮ่องเต้หลีที่ยังไม่มายังที่นั่งของตนเสียที
ทั้งท้องพระโรงรอต่อไปอีกไม่นานนัก ก็ปรากฏเป็นร่างนักบวชคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาคือมหานักบวชจากรัฐหลีนั่นเอง
ไม่ต้องรอให้ใครถามไถ่อะไร มหานักบวชก็กล่าวออกไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เนื่องจากองค์ฮ่องเต้ทรงประชวร จึงได้ให้ข้ามหานักบวชมาแทนพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เจียงจึงกล่าวด้วยท่าทีเปี่ยมไมตรีจิตและห่วงใยทันที “ท่านต้องการให้ข้าส่งหมอหลวงไปรักษาฮ่องเต้หลีหรือไม่?”
มหานักบวชเพียงส่ายศีรษะน้อย ๆ “ขอบพระทัยในความกรุณาและกว้างขวางของท่านมาก แต่บัดนี้องค์ฮ่องเต้ของเราได้มีหมอฝีมือดีอยู่ข้างกายแล้ว ดังนั้นหมอหลวงจึงไม่จำเป็นพ่ะย่ะค่ะ”
นี่เขากำลังดูแคลนฝีมือหมอหลวงของเราอยู่หรืออย่างไรนะ?
ฮ่องเต้เจียงคิดพลางคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างเคลือบแคลง “ถ้าเช่นนั้น หากว่าหมอของท่านต้องการสมุนไพรอะไร ให้เขามาเอาไปจากท้องพระคลังได้เลยนะ”
เมื่อมหานักบวชได้ยินเช่นนั้นจึงคิดว่าว่าที่หมอหลินจะต้องดีใจแน่ ๆ หากได้เห็นท่าทีของฮ่องเต้เจียงเช่นนี้
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
หลังจากที่ทักทายกันเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาเข้าเรื่องกันเสียที ฮ่องเต้เจียงจึงกล่าวขึ้นอย่างคาดหวังว่า “สามวันก็ผ่านไปแล้ว ไม่ทราบว่าองค์ชายเย่พบอะไรบ้าง?”
เจียงหวายเย่พลันกุมมือคารวะ แล้วแถลงออกไป “เวลาสามวันช่างสั้นยิ่งนัก เปิ่นหวางพบเพียงแค่เงื่อนงำบางอย่างเท่านั้น หวังว่าท่านมหานักบวชแห่งรัฐหลีคงจะพอใจกับสิ่งที่เราไปหามา”
มหานักบวชมององค์ชายรัตติกาลอย่างครุ่นคิด ด้วยคิดว่าหากเมื่อวานเจียงหวายเย่ไม่ออกไปตามท่านหมอหลินละก็ ฮ่องเต้หลีอาจจะสิ้นพระชนม์เพราะแผลติดเชื้อไปแล้ว
หรือว่าเขาควรอ่อนข้อให้องค์ชายผู้นี้?