หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 274 การปฏิบัติที่ต่างกัน
บทที่ 274
การปฏิบัติที่ต่างกัน
เมื่อเห็นว่าองค์ชายเย่นั้นปฏิบัติต่างกันแล้ว หวังหรุ่ยซินก็ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งพร้อมเหลือบตามองหลินซีเหยียน เจียงหวายเย่นั้นเป็นถึงองค์ชายรัตติกาลที่มีชื่อเสียงมากในรัฐเจียง ถึงแม้ว่านางจะนึกสงสัย แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปถามอะไรได้
จึงได้ย้ายความสงสัยและความไม่พอใจทั้งหมดมาลงกับหลินซีเหยียนแทน
เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตานี้ หลินซีเหยียนก็คิ้วขมวดขึ้นมา และมองไปที่เจียงหวายเย่ด้วยความไม่ชอบใจ นางมีคำพูดเป็นร้อย ๆ พัน ๆ คำอยากจะพูดกับอีกฝ่าย แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรออกมา
“ถึงแม้ว่าฮูหยินตรงนี้จะทำไม่ดีไปก็จริง แต่ทำไมถึงกับต้องทำให้อีกฝ่ายเป็นใบ้ด้วย? ท่านไม่คิดว่าพี่สาวของข้าทำเกินไปเลยหรือเพคะ?”
ในขณะที่ทุกคนกำลังกังวลกับท่าทีของเจียงหวายเย่ที่มีต่อหลินซีเหยียนอยู่นั้น หลินรั่วจิ่งก็พูดออกมาเพื่อดึงความสนใจของคนอื่นกลับมาและทำลายชื่อเสียงของหลินซีเหยียน
เจียงหวายเย่พลันหรี่ตาลงและมองไปที่หลินรั่วจิ่งอย่างสนใจ แต่ก่อนที่เขาจะได้เปิดปากพูด เขาก็ได้ยินเสียงที่หนาวเย็นของหลินซีเหยียนเข้ามาเสียก่อน
“เกินไปงั้นหรือ? ข้าว่าน้องหกต่างหากที่พูดเกินไปน่ะ ข้าก็แค่ ‘สั่งสอน’ เพียงเท่านั้น”
จากนั้นหลินซีเหยียนก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าจะต้องรู้จักขอโทษเมื่อทำผิด นี่คือความจริงที่แม้แต่เด็กก็ยังรู้เรื่องเลย!” ดวงตาอันหนาวเย็นของนางจ้องเขม็งไปยังเหล่าฮูหยินทั้งหลายราวแม่เสือ
“แต่ฮูหยินกับคุณหนูพวกนี้กลับไม่รู้เรื่อง”
ในยามนี้ ร่างของหลินซีเหยียนฉาบไปด้วยจิตสังหาร เพียงแค่มองไปที่นาง ก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองนั้นได้อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องและตัวแข็งทื่อไป
“หากว่าพวกเจ้ายอมขอโทษแล้ว ยาถอนพิษก็จะเป็นของพวกเจ้า ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าเองแล้ว”
พูดจบก็เลิกจ้องไปที่พวกนาง จากนั้นก็หยิบแก้วชาขึ้นมาดื่มอย่างเกียจคร้านและไม่สนใจผู้คน
เนื่องด้วยตัวตนขององค์ชายเย่แล้ว เหล่าฮูหยินและคุณหนูที่โมโหและอับอายก็ไม่กล้าทำอะไรสุดโต่งเช่นนั้นออกไป พวกนางจึงทำได้แค่อึกอักอยู่อย่างนั้น
ระหว่างเสียงกับศักดิ์ศรีแล้ว อย่างไหนสำคัญกว่ากัน?
มหาเสนาบดีหลินที่มองความเป็นไปอยู่ตลอดก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ปิดความพอใจไว้ไม่มิด “องค์ชาย ท่านเห็นด้วยกับวิธีแก้ปัญหาของกับนังลูกไม่รักดีนี่น่ะหรือ?”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้เขาจะไม่สนใจเจียงหวายเย่เลย แต่ในเวลานี้มันได้เปลี่ยนไปแล้ว
องค์ชายเย่นั้นลุกขึ้นยืนได้แล้ว เทพสงครามไร้พ่ายกลับมาแล้ว
เจียงหวายเย่ผงกหัว “ข้าว่าที่แม่นางหลินกล่าวมาก็ไม่มีอะไรผิดนี่นะ”
หวังหรุ่ยซินพลันผุดลุกขึ้นยืนอย่างไม่พอใจ และหยิบเอากระดาษกับปากกาขึ้นมาเขียนอย่างรวดเร็ว “พวกเราก็แค่พูดความจริง ทำไมพวกเราจะต้องขอโทษด้วย? ก็ในเมื่อพ่อของเด็กนั่นมันเป็นใครก็ไม่รู้!”
เมื่อหลินซีเหยียนเห็นข้อความในกระดาษ ลูกตาดำของนางก็หดเล็กลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่น่าขนลุก ราวกับเพชฌฆาตจะบั่นคอคน “เจ้านี่มันไม่รู้สำนึกจริง ๆ อย่างที่ข้าบอกไปแล้วอย่างไร ว่าเจ้าน่ะรู้แค่ว่าเทียนเอ๋อเป็นลูกของข้าก็พอแล้ว”
ไม่ว่าใคร ๆ ต่างก็ดูถูกเทียนเอ๋อ แม้ว่าเทียนเอ๋อจะยังเล็กอยู่ แต่เขาก็พอจะรู้ว่าที่ทุกคนพูดหมายความเช่นไร
ถึงแม้ว่าหลินซีเหยียนจะสั่งสอนเขาตั้งแต่ยังเล็ก ว่าลูกผู้ชายจะต้องเข้มแข็ง แม้เลือดออกก็ต้องไม่ร้องไห้ แน่นอนว่าเขาไม่สามารถหลั่งน้ำตาต่อหน้าคนไม่ดีได้
เทียนเอ๋อจึงได้เงยหน้าขึ้นมา แม้ว่าตาของเขาจะแดงและบวม แต่เขาก็ไม่ได้หยดน้ำตาออกมา
ซึ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้อยู่ในสายตาเจียงหวายเย่หมดแล้ว โดยที่ไม่มีใครคาดคิด เขาก็อุ้มเอาเทียนเอ๋อมาไว้ในอ้อมแขนและลุกขึ้นยืน ถึงแม้ว่าหน้ากากจะทำให้มองสีหน้าของเขาไม่ออก แต่น้ำเสียงที่จริงจังก็ทำให้ทุกคนต้องเงยหน้าขึ้นมามอง
“ถ้าอย่างนั้นจากนี้ไป เทียนเอ๋อจะไม่ใช่เด็กที่ไม่มีพ่อแล้ว เพราะว่าเขาจะเป็นลูกชายของเปิ่นหวางและจะให้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเปิ่นหวาง”
ภายใต้สายตาของทุกคน ริมฝีปากที่ซีดบางของ เจียงหวายเย่ก็คลี่ยิ้มบางขึ้นมา เขามองไปที่หลินซีเหยียนอย่างอ่อนโยนและกล่าว “แน่นอนว่า นี่คือข้อตกลงแลกกับการให้แม่นางหลินยอมรักษาเรา”
ริมฝีปากของหลินซีเหยียนคล้ายกับจะเหยียดยิ้มออกมานิด ๆ ก่อนที่นางจะแสดงสีหน้าช่วยไม่ได้กับการกระทำของชายคนนี้ พร้อมกันนั้นก็ถอนหายใจออกมา เพราะนางคิดว่าไม่ว่าตัวเองจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้เทียนเอ๋อมีพ่อได้อยู่ดี และสุดท้ายผู้คนก็จะพากันพูดดูถูกเขาด้วยเรื่องนี้
สำหรับการกระทำเมื่อครู่ของเจียงหวายเย่นั้น หลินซีเหยียนไม่อาจจะปฏิเสธได้และทำเพียงยอมรับโดยดุษณี
“ตอนนี้ พวกเจ้าก็ควรจะต้องขอโทษลูกชายของ เปิ่นหวางกับสิ่งที่พวกเจ้าทำก่อนหน้านี้ได้แล้ว” เจียงหวายเย่หมู่คนเบื้องหน้าด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
เหล่าฮูหยินและคุณหนูต่างก็ไม่คาดคิดว่าจะมีเรื่องที่เหมือนกับละครเช่นนี้เกิดขึ้น ในเวลานี้ฐานะของเทียนเอ๋อได้ กลายมาเป็นเชื้อพระวงศ์แล้ว ดังนั้นพวกนางจึงจำเป็นที่จะต้องขอโทษโดยไม่มีข้อแม้
เนื่องจากในฐานะที่อยู่สูงกว่าแล้ว พวกคนที่เคยกล่าวคำปรามาสไว้จึงได้เริ่มเดินไปหาเทียนเอ๋อ แล้วก้มหัวลงและเอ่ยปากขอโทษทั้งที่ไร้เสียง ‘ข้าขอโทษองค์ชายน้อยด้วย’
ฮูหยินอวี้ผู้ที่เคยหน้าชื่นตาบานเพราะฐานะลูกสาวตัวเองก็พูดขึ้นมาทันที “ท่านจะให้เจ้าลูกไม่มีพ่อนี่สืบทอดตำแหน่งของท่านได้อย่างไร?”
หลังจากที่นางพูดจบ ทุกคนก็หันไปมองนางด้วยอาการพูดอะไรไม่ออกพร้อมกับปรากฏสายตาที่ดูหมิ่นขึ้นมาทันใด
แม้แต่มหาเสนาบดีหลินที่เป็นสามีก็ขมวดคิ้วแสดงความรังเกียจ เพราะไม่ว่าสุดท้ายแล้วเทียนเอ๋อจะสามารถสืบทอดฐานะขององค์ชายรัตติกาลได้หรือไม่นั้น แต่จากท่าทีของ องค์ชายเย่แล้ว เห็นได้อย่างชัดเจนว่าตัวเขาให้ความสำคัญกับเทียนเอ๋อมากเหลือเกิน ฮูหยินคนนี้ช่างทำให้เขาขายหน้าเสีย จริง ๆ
มหาเสนาบดีหลินจึงได้รีบพูดออกมาทันที “ภรรยาของข้าแค่เผลอพลั้งปากออกมาเท่านั้น ขอให้องค์ชายอย่าได้ถือสานางเลย”
เจียงหวายเย่พ่นลมออกทางจมูกดัง ‘เฮอะ’ เบา ๆ โดยไม่พูดอะไรออกมา
หลังจากนั้นสักพักหนึ่งผู้คนก็พากันหยิบยาถอนพิษไป แล้วพากันออกจากจวนมหาเสนาบดีไปทีละคนสองคน แต่ก็ยังมีคนหนึ่งที่ยังอยู่ในเรือนเชียนเหยียนซึ่งยังไม่อยากที่จะออกไป ซึ่งคนคนนั้นก็คือหวังหรุ่ยซินนั่นเอง
นางมองไปที่เจียงหวายเย่ด้วยสายตาชื่นชมปนเจ็บใจ แล้วจากนั้นก็เขียนข้อความลงไปในกระดาษ “องค์ชาย หัวใจของผู้หญิงคนนั้นเป็นเหมือนดั่งงูไม่ก็แมงป่อง นางไม่คู่ควรกับท่านหรอกเจ้าค่ะ”
“นางไม่คู่ควรกับเราอย่างนั้นเหรอ?” เจียงหวายเย่มองไปที่หวังหรุ่ยซินด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “แล้วเจ้าคิดว่าตัวเจ้ามีอะไรคู่ควรกับองค์ชายบ้าง?”
“อย่างน้อย ขะ…ข้าก็เป็นสาวบริสุทธิ์นะเพคะ”
ทันทีที่คำพูดนั้นหลุดปากออกไป เสียงที่เย็นยะเยือกของเจียงหวายเย่ก็ดังเข้าไปหูของนางทันที “เปิ่นหวางนั้นไม่เคยนึกชอบเจ้าเลย และเปิ่นหวางก็หวังให้แม่นางหวังตายในอีกไม่ช้าก็เร็ว”
หวังหรุ่ยซินตกใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งในไม่ช้าน้ำตาก็ พรั่งพรูออกมา นางจึงรีบหันหลังและตั้งท่าจะกลับบ้าน แต่หลังจากที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวนางก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้เอายาถอนพิษมาด้วย
หากไร้ยาถอนพิษแล้วนางจะต้องเป็นใบ้ตลอดไป
ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางก็จะมีค่าเท่ากับหญิงพิการ และจะหาสามีดี ๆ ไม่ได้ไปตลอดชีวิต นางจึงได้เก็บซ่อนความอายและหยุดเดิน
จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินไปหาเทียนเอ๋อ แล้วก้มหัวขอโทษ
จนกระทั่งคนสุดท้ายได้จากไป หลินซีเหยียนแห่งเรือนเชียนเหยียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นนางก็อุ้ม เทียนเอ๋อเอามาไว้ในอ้อมแขนของตนเอง พร้อมกันนั้นก็มองไปที่ เจียงหวายเย่ด้วยสีหน้าจริงจัง “ขอบคุณ”
“ท่านหมอหลิน”
ก่อนที่เจียงหวายเย่จะได้พูดคำพูดที่น่าซาบซึ้งที่เขาเตรียมเอาไว้ออกมา เขาก็พบชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนกำแพงเรือนเชียนเหยียน และชายคนนั้นก็คือหลีเจี้ยนเฉินนั่นเอง
แล้วสีหน้าที่อบอุ่นเมื่อสักครู่ก็ค่อย ๆ หายไปจากใบหน้าเจียงหวายเย่ไปเสียสิ้น
หลินซีเหยียนที่ได้เห็นคนสองคนมาเจอกันอีกแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ และจากนั้นไม่นานนัก นางก็นึกถึงเรื่องที่เด็กรับใช้เข้ามาแจ้งขึ้นมาได้ พลันต่อมาสีหน้าของนางก็กลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง “แล้วเยี่ยจุนเจี๋ยมาหาข้าทำไมกันนะ? หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแม่ทัพเฒ่าเจิ้นกว๋อ?”
“เทียนเอ๋อ เจ้าอยากให้แม่พาเจ้าไปที่บ้านท่านลุงของเจ้าหรือไม่?”
“ท่านลุง?” ดวงตาของเทียนเอ๋อเบิกกว้างขึ้นมาเมื่อรู้ว่าตัวเองก็มีคุณลุงกับเขาด้วย แต่แล้วเด็กน้อยก็มองไปที่ผู้เป็นมารดาอย่างลังเลใจ “แล้วถ้าเขาไม่รักเทียนเอ๋อล่ะขอรับ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินซีเหยียนรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย นางลูบหัวของเทียนเอ๋ออย่างปลอบโยน “ไม่เป็นไรหรอก ท่านลุงของเจ้าจะต้องรักเจ้าแน่ ๆ”