หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 278 พ่อของเทียนเอ๋อ
บทที่ 278 พ่อของเทียนเอ๋อ
อันอี้ที่เป็นคนพาชายสองคนนี้มาก็รีบพูดกับเจ้านายตนทันที “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เมื่อห้าปีก่อนท่านถูกวางยาปลุกกำหนัด แล้วกระหม่อมก็จัดการทำให้สองคนนี้สลบไปพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าหมายความว่าคนที่เราพบเมื่อวันนั้นก็คือ…”
เรื่องนี้ทำให้เจียงหวายเย่ตกใจมากและยอมรับไม่ได้ไปชั่วขณะ
นี่เป็นพรหมลิขิตระหว่างตัวเขากับเสี่ยวเหยียนเอ๋ออย่างนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้น บางทีเทียนเอ๋ออาจจะเป็นลูกของเขาก็ได้
ถ้าจะบอกว่าเจียงหวายเย่ไม่ดีใจเลยก็คงจะโกหก แต่ในเวลานี้เขารู้สึกกลัวมากกว่า
เมื่อนึกถึงเรื่องที่หลินซีเหยียนต้องท้องก่อนแต่งงาน ซึ่งเป็นเหตุให้นางต้องหลบหนีและไร้บ้าน ถ้าวันหนึ่งเสี่ยวเหยียนเอ๋อรู้เรื่องนี้เข้า นางจะยกโทษให้เขาหรือไม่?
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เจียงหวายเย่ก็ตัดสินใจว่าจะปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับชั่วคราว ด้วยเพราะไม่รู้ว่าจะเป็นผลดีหรือผลร้ายมากกว่ากัน แต่เขานั้นไม่อยากเสี่ยง… เขาไม่อยากเสียเสี่ยวเหยียนเอ๋อไป!
บางทีหากเก็บสองคนนี้ไว้อาจจะยังพอใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างก็เป็นได้
เจียงหวายเย่จึงหันไปมองอันอี้เป็นเชิงส่งสัญญาณ อีกฝ่ายพยักหน้ารับ จากนั้นก็ตั้งท่าจะลากชายโชกเลือดสองคนออกไป
แต่ดูเหมือนว่าชายสองคนที่เคยเห็นความร่วมมือเป็นอย่างดีก่อนหน้านี้ ดูจะขัดขืนขึ้นมาเสียอย่างนั้น “ฝ่าบาทผู้มีจิตใจกว้างขวาง ได้โปรดปล่อยพวกเราไปเถอะ หรือไม่ก็ขังพวกเราไว้เฉย ๆ ไม่ต้องทรมานพวกเราก็ยังดี”
แต่ดูเหมือนว่าเจียงหวายเย่ในยามนี้จะไม่ตอบสนองสิ่งใดแล้ว เขากำลังเหม่อลอย จิตใจล่องไปไกลถึงไหนต่อไหน
อันอี้เห็นเช่นนั้นจึงรีบสกัดจุดใบ้ชายสองคนในเงื้อมมือและรีบลากพาออกไปจากห้องทรงงาน
ไม่นานหลังจากนั้น เจียงหวายเย่ก็หลุดออกจากภวังค์ เขาถอดหน้ากากหยกออกก่อนจะเดินไปเปิดประตู
ตัวเขาในเวลานี้อยากจะไปพบเสี่ยวเหยียนเอ๋อใจจะขาด
ทว่าแค่เพียงขาก้าวพ้นห้องออกไปได้เพียงขาเดียวเท่านั้น อันเอ้อก็มาปรากฏตัวแล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้าเขา
“มีอะไร” องค์ชายเย่พูดด้วยน้ำเสียงแฝงความไม่พอใจ
อันเอ้อจึงรายงานต่อไปอย่างนอบน้อม “กราบทูลฝ่าบาท กาวกงกงกำลังเดินทางมาที่วังรัตติกาลพ่ะย่ะค่ะ”
มารคอหายจริง ๆ!
เจียงหวายเย่พลันปล่อยรังสีคุกคามกดดันออกมา ก่อนจะหันตัวขวับเดินกลับเข้าห้องแล้วหยิบหน้ากากขึ้นมาใส่
ซึ่งไม่กี่อึดใจต่อมา กาวกงกงก็ได้ก้าวเข้ามาในห้องทรงงานขององค์ชายรัตติกาล พร้อมกันนั้นก็กล่าวบอกอีกฝ่ายด้วยเสียงแหลมสูงที่ทุกคนคุ้นหู “องค์ชาย ฝ่าบาทได้เรียกให้ท่านไปเข้าพบ ขอให้ท่านเตรียมตัวแล้วไปพร้อมกับกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“รบกวนท่านกาวกงกงแล้ว” องค์ชายเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก เป็นผลกาวกงกงนั้นรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาราวกับเดินขึ้นไปบนภูเขาหิมะ เขารีบพยักหน้าหงึก ๆ แล้วมองอีกฝ่ายด้วยความหวาดระแวง
“เป็นหน้าที่ของกระหม่อม”
หลังจากที่เจียงหวายเย่เดินตามกาวกงกงเข้าไปในวังหลวงแล้ว ฝ่ายขันทีก็พาเขาไปยังบริเวณสวน ซึ่งดูสดชื่นและเพลินตายิ่งนัก ดอกไม้งามบานสะพรั่งไปทั่วทุกหัวระแหง แม้แต่ในอากาศก็ยังมีกลิ่นหอมขจรอ่อน ๆ
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ” เจียงหวายเย่เมื่อได้พบกับฮ่องเต้เจียงแล้วก็ก้มศีรษะลงแสดงคารวะ จากนั้นโดยไม่รอคำสั่งให้ลุกขึ้นยืนเขาก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ ด้วยการกระทำที่รวบรัดตัดตอนนี้เอง แม้แต่ฮ่องเต้เจียงก็ยังตอบสนองไม่ทัน
เขามองไปที่เจียงหวายเย่ด้วยใบหน้าเขียวคล้ำพร้อมกับต่อว่าเสียงขุ่น “องค์ชายคงจะไม่ได้เข้ามาที่วังหลวงนานไปหน่อยกระมัง ถึงได้ลืมมารยาทพื้นฐานไปหมดแล้ว”
ซึ่งดูเหมือนฝ่ายองค์ชายจะมองกลับมาด้วยแววตาใคร่ขอโทษ กระนั้นเขาก็ไม่ได้ลุกยืนแต่อย่างใด “เปิ่นหวางไม่อาจลุกขึ้นยืนนาน ๆ ได้ เพราะพิษที่ได้รับเมื่อครั้งก่อน ฝ่าบาทจะโทษเปิ่นหวางด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งก่อนเป็นเพราะฮ่องเต้เจียงเชื่อฮ่องเต้หลี ดังนั้นเมื่อเห็นเจียงหวายเย่เอาเรื่องนี้เป็นข้ออ้าง เขาจึงทำได้แค่ยอมแพ้
“ในเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ข้าเองก็อยากที่จะอธิบายให้องค์ชายทราบว่าชาแก้วนั้นเป็นฝีมือของอาณาจักรฝ่ายตรงข้ามที่อยากจะกำจัดเจ้า แต่ข้าก็ได้จัดการสะสางเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว”
“เปิ่นหวางขอบพระทัยฝ่าบาทจริง ๆ”
แม้คำพูดจะฟังดูประชดประชัน แต่ทั้งสองคนนี้รู้ความจริงอยู่แก่ใจ
ดูเหมือนว่าบรรยากาศที่เคยอึดอัดก่อนหน้านี้จะเบาบางลงไปบ้างแล้ว ฮ่องเต้เจียงจึงกล่าวต่อว่า “ข้าได้ยินบางอย่างมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ว่าองค์ชายเย่น่ะรู้สึกสนใจคุณหนูสามของบ้านมหาเสนาบดี และต้องการจะรับบุตรของนางเป็นลูกแล้วจะให้สืบทอดเจ้าด้วย”
“เป็นจริงดังที่ทราบมาพ่ะย่ะค่ะ” เจียงหวายเย่ไม่คิดจะหลบเลี่ยงเรื่องนี้อยู่แล้ว เขาจึงบอกออกไปตรง ๆ
ฮ่องเต้เจียงกริ้วขึ้นมาทันที “สามหาวยิ่งนัก องค์ชายเย่ นี่เจ้าเป็นอะไรไป?”
“กระหม่อมเองก็ไม่ทราบเช่นกัน” เจียงหวายเย่นั่งนิ่งประหนึ่งภูผานั้น ไม่สั่นไหวกับความดุดันของคนตรงหน้าที่เป็นเหมือนภูเขาไฟแม้แต่น้อย จากนั้นจึงกล่าวต่อด้วยเสียงที่เบาลง “ฝ่าบาท โปรดใจเย็นก่อนเถิด”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ฟังดูไม่จริงจังยี่หระอะไรเช่นนั้น ฮ่องเต้เจียงก็โกรธตัวสั่น พร้อมกันนั้นก็ชี้หน้าต่อว่าเจียงหวายเย่ทันที “เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าตำแหน่งองค์ชายน่ะจะต้องถูกส่งต่อโดยเชื้อพระวงศ์เท่านั้น แล้วยิ่งไปกว่านั้นหลินซีเหยียนเองก็ท้องก่อนที่จะได้แต่งงาน ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดจารีตประเพณีของผู้หญิง แล้วเจ้าจะรับหญิงสาวที่มีตราบาปเช่นนั้นมาเป็นพระชายาได้อย่างไร!”
ในขณะที่ฮ่องเต้กำลังกล่าวหาเจียงหวายเย่อยู่นั้นเอง เขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
กาวกงกงที่เฝ้ามองดูสถานการณ์อยู่จึงกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ จากนั้นจึงกระแอมออกมาเพื่อขัดฮ่องเต้เจียง พลันนั้นเองฮ่องเต้เจียงก็หันขวับมามองที่ขันที่ของตนอย่างไม่พอใจ
กาวกงกงรีบคุกเข่าลงกับพื้นในพลัน “กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ”
การกระทำนี้ได้ทำให้ฮ่องเต้เจียงรู้สึกตัวและรับรู้ถึงความผิดปกติขององค์ชายเย่ขึ้นมาได้ พริบตานั้นเอง เขาก็แอบคิดในใจว่า หรือว่าองค์ชายเย่จะมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับหลินซีเหยียนจริง ๆ
ถ้ามันเป็นเรื่องจริง นี่ก็คงเป็นข่าวดีที่จะทำให้ตนสามารถจัดการกับองค์ชายเย่ได้
เจียงหวายเย่พลันหรี่ตาลงแล้วจดจำพฤติกรรมของฮ่องเต้เจียงในครั้งนี้ไว้ จากนั้นก็เหยียดริมฝีปากออก “บางทีมหาเสนาบดีหลินอาจจะเล่าเรื่องนี้ไม่ครบถ้วนก็ได้ จึงเป็นเหตุให้ฝ่าบาททรงกริ้วเช่นนี้ ช่างแย่เสียจริง ๆ”
“หากเป็นตามที่องค์ชายเย่กล่าวมา ก็แสดงว่ามีเหตุผลในเรื่องนี้อย่างนั้นรึ?” ฮ่องเต้เจียงพลันขมวดคิ้ว พร้อมกันนั้นก็แอบต่อว่ามหาเสนาบดีหลินในใจ
เจียงหวายเย่ผงกศีรษะให้อีกฝ่าย “ฝ่าบาทก็น่าจะรู้ถึงสภาพร่างกายของเปิ่นหวางดี ถึงแม้ว่ากระหม่อมจะมีสวรรค์คอยคุ้มครอง แต่ก็ยังไม่แคล้วมีพิษหลงเหลืออยู่ในตัว ดังนั้นเปิ่นหวางจึงได้ตกลงเงื่อนไขกับแม่นางหลินว่าจะให้นางกลายมาเป็นชายาของกระหม่อม”
“เงื่อนไขอะไรรึ?”
“เงื่อนไขที่จะให้รักษากระหม่อม” เจียงหวายเย่แย้มยิ้มออกมาอย่างสดชื่น ราวกับว่าเขาไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
ฝ่ายฮ่องเต้นั้นรู้สึกผิดหวังขึ้นมาชั่วขณะ “หมอหลวงในวังหลวงก็ยังไม่สามารถรักษาเจ้าได้ แล้วหลินซีเหยียนที่เพิ่งจะมาเรียนวิชาแพทย์จะรักษาเจ้าได้อย่างไร?”
“ถ้าเช่นนั้นแล้วฝ่าบาทยังจะกังวลอะไรอีก? นี่คือเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้เลย”
ถึงแม้เจียงหวายเย่จะพูดออกไปเช่นนั้น แต่ตัวเขาเองกลับแอบคาดหวังเสี่ยวเหยียนเอ๋อในใจ
อย่างไรเสียเสี่ยวเหยียนเอ๋อของเขานั้นก็เป็นถึงหมอผี!
เสี่ยวเหยียนเอ๋อของเขาน่ะยอดที่สุดแล้ว!
แล้วพอเขานึกขึ้นได้ว่าเวลานี้เขาต้องมาอยู่ที่วังหลวง แล้วปล่อยให้เสี่ยวเหยียนเอ๋อของเขาต้องอยู่ในวงล้อมของหมาป่ากระหายหิวแล้ว เขารู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อเห็นสีหน้าที่มืดมนของเจียงหวายเย่แล้ว ฮ่องเต้เจียงก็คิดว่าร่างกายของอีกฝ่ายคงหมดหนทางจะเยียวยาจริง ๆ เขาจึงเอ่ยปากพูดปลอบ “องค์ชายเย่ไม่ต้องกังวลไป ข้าเชื่อว่ามันต้องมีปาฏิหาริย์แน่ ๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดอีกฝ่าย เจียงหวายเย่ก็เหยียดยิ้มออกมา “ถ้าหลินซีเหยียนสามารถรักษากระหม่อมได้จริง ๆ เปิ่นหวางก็ไม่เกี่ยงหรอกว่าจะต้องรับนางเข้ามาเป็นพระชายา”
“ในเมื่อองค์ชายเย่ได้ตัดสินใจเช่นนั้นแล้วข้าก็จะไม่ห้าม เชิญองค์ชายกลับไปพักผ่อนเถอะ”
เจียงหวายเย่จึงลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวบอกลา ก่อนที่จะจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
ขณะที่ฮ่องเต้เจียงกำลังมองแผ่นของคนที่กำลังจากไปนั้นเอง เขาก็ครุ่นคิดว่าตัวเองอาจจะคิดมากเกินไป
ทำไมคนป่วยใกล้ตายเช่นนี้จะต้องมาตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาด้วย?
ทางฝั่งเจียงหวายเย่นั้น เมื่อเขาออกมาจากวังหลวงแล้ว ก็สั่งให้คนมาปลอมตัวเป็นเขาแล้วกลับไปที่วังรัตติกาลแทน จากนั้นเขาจึงมุ่งหน้าไปที่โรงหมอหุยชุนอย่างรวดเร็ว