หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 289 ข้าคือเจ้าของ
บทที่ 289
ข้าคือเจ้าของ
“ด้วยคำพูดข้างเดียวของนางเช่นนี้ พวกท่านก็เชื่อแล้วเหรอว่าแมงป่องตัวนั้นไม่ใช่ของข้าน่ะ?”
หลินซีเหยียนก็ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและแววตาที่ประชดประชัน นางจ้องไปที่ผู้คนรอบๆแล้วก็จากนั้นก็ได้มองไปที่เด็กสาวคนนั้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเจ้าบอกว่าแมงป่องตัวนั้นเป็นของเจ้าจริงๆ ก็มาเอามันไปได้เลย!”
กำแมงป่องแดงตัวน้อยไว้ในมือขาวๆของนาง ราวกับว่านางนั้นคิดที่จะคืนให้จริงๆ
แล้วเด็กสาวในชุดบางๆนั้นก็ได้ตกใจขึ้นมา แล้วจากนั้นก็ได้ยื่นมาออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ นางนั้นรู้ดีว่าแมงป่องตัวนั้นเป็นของหลินซีเหยียน อีกทั้งแมงป่องตัวนั้นก็เป็นของที่สุดยอดมากไม่ใช่ของที่หาได้ทั่วไปเป็นแน่ แล้วหลินซีเหยียนนั้นจะยอมมอบให้นางง่ายๆได้อย่างไร?
ในขณะที่นางกำลังยื่นมือไปจับแมงป่องอยู่นั้นเอง หลินซีเหยียนก็ได้ถาม “นางชื่อว่าอะไรเหรอ?”
“ชื่อของข้าคือซู่ฉุ่ย”
หลังจากที่ได้ยินที่หลินซีเหยียนถาม ซู่ฉุ่ยก็ได้ตอบออกไปโดยไม่ตั้งใจ นางมองไปที่หลินซีเหยียนอย่างกลัวๆ โดยมีความกังวลซ่อนอยู่ข้างใต้ดวงตาของนาง
เสื้อผ้า, บรรยากาศและรูปโฉมของหลินซีเหยียนนั้นล้วนแต่ไม่ธรรมดาอย่างไม่ต้องสงสัย ตัวตนของนางนั้นจะต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ วันนี้หากนางล่วงเกินอีกฝ่ายมากเกินไป ก็เกรงว่าคงจะไม่ใช่เรื่องดีในอนาคตแน่ๆ
แต่ในขณะที่นางกำลังคิดเช่นนี้อยู่นั้น หญิงสาวที่อยู่ข้างๆก็ได้พูดบอกนาง “อย่าไปกลัว ยังไงคนพวกนี้ก็ไม่สามารถออกไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่แล้ว”
เพื่ออนาคตแล้วนางจำเป็นจะต้องเสี่ยง ไม่อย่างนั้นแล้วนางที่มีความสามารถในการเลี้ยงแมลงวิปลาสที่แย่มากแล้วนั้น คงไม่อาจที่จะเอาชีวิตรอดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้
ถึงแม้ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะตัดขาดจากโลกภายนอกแล้ว และอยู่กันอย่างรักใครกลมเกลียวกันแล้ว แต่นางนั้นไม่สามารถที่จะอาศัยอยู่อย่างหวาดกลัวในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้
มีแมลงอยู่เป็นหมื่นที่นี่ และเป็นเรื่องยากมากที่จะป้องกันตัวเองจากการทำร้ายโดยแมลงเหล่านี้ ถ้าหากคนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตายเพราะแมลงพวกนี้แล้ว ก็คงจะโดนดูถูกอย่างเดียวและไม่สามารถคาดหวังให้ใครมาช่วยได้
นางจึงกลัวว่าวันหนึ่งนางจะต้องตายในสถานที่แห่งนี้ นางจึงคิดที่จะหนีไปจากที่นี่ให้ได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
“ไม่ใช่ว่านางพูดเองเหรอว่าแมงป่องน้อยตัวนี้เป็นของเจ้าน่ะ? ก็มาเอามันไปสิ!” หลินซีเหยียนนั้นไม่มีเวลาทั้งวันมารอให้นางลังเล นางจึงได้เร่งเร้านางอย่างหมดความอดทน
ซู่ฉุ่ยก็ได้คว้าเอาแมงป่องตัวนั้นมาไว้ในมือของนางอย่างง่ายดาย
“มันจบง่ายเกินไปแล้ว” ในเวลานี้ผู้คนที่กำลังมุงดูที่ต่างก็รอชมการแย่งชิงที่เคียดแค้นและดุเดือดมากกว่านี้ พวกเขาไม่คิดว่ามันจะจบลงอย่างไร้รสชาติเช่นนี้
ในขณะที่ผู้คนกำลังเตรียมที่จะแยกย้ายอยู่นั้นเอง ซู่ฉุ่ยก็ได้ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และแมงป่องตัวน้อยในมือของนางก็ได้ถูกสลัดจนร่วงลงไปที่พื้น
เมื่อหันกลับมาดูก็พบว่าตรงที่ถูกแมงป่องต่อยนั้นได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวไปแล้ว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
ในฐานะที่เป็นผู้เลี้ยงวิปลาสแล้ว การถูกแมลงวิปลาสต่อยนั้นไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากอะไร ซึ่งขอแค่มียาแก้พิษก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
“เจ็บเหลือเกิน! ช่วยข้าด้วย”
ซูฉุ่ยก็ได้มองไปที่จุดที่ม่วงคล้ำที่ค่อยๆขยายไปเรื่อยๆที่มือของนางแล้ว ก็ได้ทรุดลงไปที่พื้นด้วยสีหน้าที่หวาดกลัวและขอร้องหลินซีเหยียน “ช่วยข้าด้วย”
“ช่วยเจ้าเหรอ?” ดูเหมือนว่านางจะได้ยินอะไรที่น่าขันเข้าเสียแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้คุกเข่าลงไปแล้วยิ้มด้วยใบหน้าที่งดงามของนาง
ด้วยความกลัวที่มากขึ้นเรื่อยๆ ซู่ฉุ่ยก็ได้รู้สึกถึงความหนาวเย็นผ่านชายเสื้อของนางและกุมหัวใจของนางอย่างดุดันแล้ว ทำให้นางรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมาอย่างมาก ในชั่วขณะที่นางกำลังกังวลอยู่นั้นเองจุดสีม่วงก็ได้แผ่ลามมาถึงข้อมือแล้ว
ในเวลานี้เอง ที่นางก็ได้ยินเสียงของหลินซีเหยียนอย่างชัดเจน “ถ้าเจ้าแมงป่องแดงตัวนี้เป็นของเจ้า แล้วข้าจะช่วยถอนพิษให้เจ้าได้อย่างไร?”
“ข้า…” ในขณะที่นางกำลังจะบอกความจริงนั้นเอง นางก็ได้กลืนมันกลับลงไปในขณะที่คำพูดนั้นมาถึงปลายลิ้นของนางแล้ว นางนั้นไม่สามารถพูดออกไปได้ นางคงได้ตายอย่างน่าสังเวชมากกว่าตอนนี้หากนางพูดออกไป
ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนั้นเอง แววตาของซูฉุ่ยก็ได้เป็นประกายขึ้นมาแล้วกล่าว “เจ้า….เจ้าเป็นหมอไม่ใช่เหรอ? เจ้าจะดูดายปล่อยให้ข้าตายได้เยี่ยงไร?”
พูดได้ว่าเด็กสาวคนนี้ช่างฉลาดเสียจริงๆ เพียงแค่ประโยคเดียวก็ได้ดับความสงสัยของผู้คนได้ ในเวลานี้ผู้คนรู้สึกได้ว่าซู่ฉุ่ยนั้นน่าสงสารขึ้นมา และแมลงวิปลาสของพวกเขาก็คงไม่อาจช่วยได้
“ข้าคงทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว ข้าทำได้แค่รักษาอาการป่วยเท่านั้น แต่ไม่สามารถถอนพิษได้” หลินซีเหยียนที่เกิดมามีหน้าตาสะสวย บวกกับรอยยิ้มที่ไร้พิษภัยต่อสัตว์และมนุษย์แล้ว ทำให้ผู้ชายหลายคนต้องรู้สึกตกตะลึง
“เจ้าโกหก เจ้าจะต้องหาทางรักษาได้แน่ๆ”
มองไปที่แขนข้างหนึ่งของนางที่เคยดี ในตอนนี้ได้กลายเป็นสีม่วงคล้ำไปแล้ว และมีอาการเจ็บปวดเข้าไปจนถึงกระดูก หากมีอะไรมาทิ่มแทงนางก็อาจจะทำให้นางสลบได้
หลินซีเหยียนที่ไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อแล้ว ก็ได้ยิ้มและกล่าวอย่างเย็นชา “แมงป่องแดงนั้นเป็นของเจ้า หากไม่มีธุระอะไรกับข้าแล้ว ก็ขอตัวก่อน”
“เจ้ายังไปไม่ได้” เกาะขาของหลินซีเหยียนเอาไว้ ซู่ฉุ่ยที่นอนอยู่ที่พื้นอย่างก็ได้ตะเกียกตะกายอย่างไร้ซึ่งศักดิ์ศรีราวกับพวกคนเถื่อน “ช่วยข้าก่อน”
“แม่หนู เจ้าอย่าทำให้ข้าต้องลำบากใจเลย” หลินซีเหยียนถอนหายใจแล้วจากนั้นก็กล่าว “มีเพียงผู้ที่เลี้ยงแมลงวิปลาสมาเท่านั้นถึงจะรู้จักพิษของมัน!”
ท่านยายเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ในเวลานี้นางก็เหมือนจะมองบางอย่างออกแล้ว แต่นางไม่อาจที่จะพูดออกมาได้และแต่ยืนดูอยู่เงียบๆ
แล้วดวงตาคู่นั้นก็ได้จับจ้องมาที่ท่านยาย ซู่ฉุ่ยก็เหมือนกับมองเห็นฟางเส้นสุดท้าย “ท่านยาย ได้โปรดช่วยซู่ฉุ่ยด้วย!”
ถึงแม้ว่าซู่ฉุ่ยนั้นจะไม่มีความสามารถในด้านการเลี้ยงแมลงวิปลาส แต่นางก็ได้เฝ้าดูนางมาตั้งแต่ยังเด็ก จะบอกว่านางไม่มีความสงสารเลยแม้แต่เสี้ยวเดียวก็คงเป็นไปไม่ได้ นางจึงได้เดินมาหาแล้วหยิบเอาปลิงตัวหนึ่งออกมาแล้ววางไว้ที่แผลของนาง
หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วขึ้นมาแล้วกล่าว “ท่านยายที่ทำตัวฉลาดมาตลอด ทำไมจู่ๆถึงได้ทำเช่นนี้ล่ะ?”
“ข้าเฝ้าดูนางมาจนโต ข้าไม่อาจปล่อยให้นางตายเช่นนี้ได้” ใบหน้าที่คิ้วขมวดของท่านยายนั้นได้แสดงสีหน้าที่คลุมเครือออกมาจนไม่อาจจะเดาได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
หลินซีเหยียนก็ได้พ่นลมออกมาทางจมูก ถึงแม้ว่านางจะไม่พอใจกับการกระทำของท่านยาย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะว่าพิษแมงป่องแดงของนางนั้น นางรู้ดีว่ามันไม่ใช่อะไรที่จะจัดการได้ง่ายๆเช่นนั้น
เวลาผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง ปลิงที่เกาะอยู่ที่แผลของซูฉุ่ยนั้นก็ได้มีขนาดเท่ากับมือแล้ว แต่จุดม่วงคล้ำที่แขนของซูฉุ่ยนั้นก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยน
“หรือว่าพิษนั้นจะแพร่ลามได้เร็วกว่าที่ปลิงจะสามารถดูดออกมาได้?” สีหน้าก่อนหน้านี้ของท่านยายนั้นในที่สุดก็ได้เปลี่ยนไป และกลายเป็นสีหน้าเศร้าสลดแทน
ยิ่งปลิงมีขนาดใหญ่มากขึ้นเท่าไร สีหน้าของซู่ฉุ่ยก็ได้ซีดมากขึ้นเท่านั้น
ท่านยายนั้นรู้ว่านางจะต้องเอาปลิงตัวนั้นออกแล้ว ไม่อย่างนั้นซู่ฉุ่ยคงได้ตกอยู่ในอาการหมดสติเพราะขาดเลือดแน่
ซู่ฉุ่ยมองไปที่แขนที่ม่วงคล้ำของนาง แล้วน้ำตาก็ได้หลั่งไหลออกมา “ท่านยาย ท่านจะต้องหาทางช่วยซู่ฉุ่ยให้ได้นะ!”
“เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ยายเองก็จนปัญญาจะช่วยเจ้าจริงๆ” จากนั้นนางก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนแล้วกล่าวต่อ “ถ้าเจ้าอยากที่จะมีชีวิตรอด ก็คงมีเพียงเจ้าจะต้องบอกความจริงเรื่องของแมงป่องนั้นแล้ว
แล้วคำพูดของท่านยายก็ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกสนใจขึ้นมา “มันเป็นพิษแบบไหนกัน ที่แม้แต่ท่านยายยังไม่อาจช่วยได้น่ะ!”
แต่ก่อนที่ซู่ฉุ่ยจะได้ลังเลใจ เจียงอี๋ที่สวมชุดสีขาวดูสงบเงียบก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมา แล้วนางก็ได้มองไปที่ซู่ฉุ่ยอย่างเห็นอกเห็นใจ แล้วจากนั้นก็กล่าวอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะช่วยเจ้าเอง”