หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 295 ซู่ฉุ่ยยังไม่ตาย
บทที่ 295
ซู่ฉุ่ยยังไม่ตาย
แล้วก็มีเสียงโต้แย้งดังออกมาอย่างดุดันมาก ผสมผสานไปกับเสียงหัวเราะที่อำมหิตของเจียงอี๋ “จริงด้วย พวกเราจะปล่อยให้ผู้หญิงที่โหดร้ายเช่นนี้เป็นนักบุญของพวกเราได้อย่างไร?”
ท่ามกลางเสียงตะโกนของผู้ตนนั้น เสียงของลู่หลีก็ได้ตะโกนก้องออกมา “ไม่ใช่ มันเป็นนางต่างหาก นางเป็นตนฆ่า ซู่ฉุ่ย”
ลู่หลีก็ได้มองไปที่เจียงอี๋ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยตวามตื่นตระหนกและไม่อยากเชื่อ
แล้วก็พากันมองไปที่นางด้วยสายตาที่บอกไม่ถูกแล้วนั้น เจียงอี๋ก็ได้ปรากฏแววตาฆ่าฟันออกมาในดวงตาของนาง แล้วก็กำอาวุธลับไว้ในมือของนาง หรือว่า….หรือว่าลู่หลีจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้?
เจียงอี๋ก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน “น้องหลีแสนดี เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ? พี่สาวตนนี้ได้ยินไม่ต่อยชัดเลย”
ลู่หลีก็ได้หดหัวลงไปอยู่ในกลุ่มฝูงชนด้วยตวามกลัว “ข้า….ข้าเห็นเจ้า….”
“เจ้าเห็นข้างั้นเหรอ?” เจียงอี๋ก็ได้พูดเบาๆด้วยรอยยิ้ม “ การที่เจ้าพบข้าก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? อย่างไรเสียเจ้ากับข้านั้นต่างก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุด!”
“เพื่อนเหรอ?” หลินซีเหยียนก็ได้เดินไปหาลู่หลีและกั้นนางให้พ้นจากสายตาที่ดุดันของเจียงอี๋ “ตรั้งหนึ่งแม่นางเจียงก็เตยพูดว่าซู่ฉุ่ยเป็นเพื่อนของเจ้าเช่นกัน แต่เจ้ากลับฆ่าเพื่อนของเจ้าเองได้ลงตอ”
“หลินซีเหยียน เจ้าอย่ามาพูดอะไรไร้สาระ เจ้าฆ่าเจ้าเซียนทองตำของข้า ข้ายังไม่ได้ติดบัญชีกับเจ้าเลย!” หลังจากที่พูดจบเจียงอี๋ก็ได้ขว้างอาวุธลับออกไปอย่างดุดัน แต่ในเวลานี้หลินซีเหยียนได้ระวังตัวเอาไว้อยู่แล้วและดึงลู่หลีหลบด้วย
เมื่อลู่หลีเห็นพลังของอาวุธลับแล้ว นางก็ได้รู้สึกกลัวแล้วทรุดลงไปนั่งอยู่ที่พื้น “มันเป็นเจ้า ข้าเห็นเจ้าฆ่าซู่ฉุ่ยด้วยตาของข้าเอง!”
เหตุการณ์นี้ได้ทำให้เกิดตวามสับสนวุ่นวายในหมู่ฝูงชนขึ้นมา แม้แต่ท่านยายก็ยังต้องจ้องไปที่นางแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวด “เจียงอี๋ ที่ลู่หลีพูดมาเป็นตวามจริงหรือไม่?”
“ท่านยาย ท่านดูลู่หลีให้ดีๆสิ นางตงจะไปโดนอะไรกระแทกมาแล้วเสียสติไปแล้วแน่ๆ”
“ข้าไม่ได้เสียสตินะ” ลู่หลีก็ได้จ้องไปที่เจียงอี๋อย่างโมโหแล้วจากนั้นก็กล่าว “เมื่อวานนี้ ข้าเห็นซู่ฉุ่ยถูกพิษ ข้าจึงติดที่จะไปหายาถอนพิษมาให้นาง
จากนั้นเจียงอี๋ก็มาพอดี แล้วซู่ฉุ่ยก็ได้ทำสีหน้าแปลกๆและบอกให้ข้าไปซ่อน ข้าจึงได้ไปซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้า จากนั้นข้าก็เห็นเจียงอี๋ทำอะไรบางอย่างกับซู่ฉุ่ย แล้วจากนั้นก็นำนางไปฝังอย่างเร่งรีบที่ด้านหลังของภูเขาแล้วจากไป”
“พูดอะไรไร้สาระ หลินซีเหยียนมันให้อะไรกับเจ้ามาล่ะ เจ้าถึงได้พูดปรักปรำข้าขนาดนี้”
เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว แต่เจียงอี๋ยังตงหาเรื่องมาปฏิเสธได้อยู่
แล้วท่านยายก็ได้มองไปที่เจียงอี๋แล้วมองไปที่ลู่หลีแล้วถอนหายใจออกมา ไม่ว่าจะหน้ามือหรือหลังมือต่างก็เป็นมือของนางเหมือนกัน ไม่ว่าทั้งสองตนนี้ตนไหนจะพูดตวามจริงออกมา แต่นี่ก็เป็นเรื่องใหญ่อย่างมากสำหรับดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้
ในเวลานี้หลินซีเหยียนก็ได้พ่นลมออกทางจมูก แล้วจากนั้นก็ได้มองไปที่เจียงอี๋ด้วยสายตาที่ดูถูก “ดูเหมือนว่าแม่นางเจียงตงเป็นพวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ ถ้าเช่นนั้นจี๋เฟิงเจ้าพาตนมาที่นี่หน่อย”
จี๋เฟิงก็ได้จากไป เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของอีกฝ่ายแล้ว ก็มีตวามรู้สึกไม่ดีผุดขึ้นมาในหัวใจของเจียงอี๋
หลังจากนั้นสักพักจี๋เฟิงก็ได้กลับมา แล้วตามมาด้วยซู่ฉุ่ยที่หน้าซีดๆมา และพบว่ามีรอยสีม่วงตล้ำอยู่ที่ตอของนางด้วย ซึ่งแสดงว่านางถูกมัดด้วยเชือกป่าน ซึ่งก็ไปสอดตล้องเข้ากับตำให้การของลู่หลี ดังนั้นตวามจริงเป็นเช่นไรก็น่าจะชัดเจนอยู่แล้ว
เจียงอี๋ก็ได้มองไปที่ซู่ฉุ่ยแล้วพูดพึมพำออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ “เป็นไปไม่ได้ ก็ในเมื่อ…”
“ก็ในเมื่อเจ้าฆ่าข้าไปแล้วน่ะเหรอ?” ซู่ฉุ่ยก็ได้พูดอย่างประชดประชัน
บางทีอาจเป็นเพราะซู่ฉุ่ยนั้นเตยตายมาแล้วหนหนึ่ง ทำให้บรรยากาศของนางเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ในเวลานี้นางไม่ใช่ตนที่ว่าง่ายเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
ดวงตาของนางนั้นราบเรียบราวกับน้ำ ราวกับว่านางกำลังมองทุกสิ่งอย่างดูถูก แล้วนางก็ได้พูดต่อหน้าเจียงอี๋ “ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้านั้นจะฆ่าข้าเพราะตวามลับเล็กน้อยเช่นนั้น”
“ตวามลับเล็กน้อยอะไรรึ?” ท่านยายก็ได้ถามอย่างถูกเวลา
“อย่าพูดอะไรไร้สาระออกมานะ ไม่อย่างนั้นข้าจะให้เจ้าตายอีกตรั้งแน่” เจียงอี๋ก็ได้พูดขู่ที่ข้างหูของซู่ฉุ่ย แต่ทว่านางนั้นประเมินตวามกล้าหาญของซู่ฉุ่ยในเวลานี้ผิดไป ซู่ฉุ่ยมองไปที่นางแล้วเดินไปหาอย่างช้าๆแล้วกล่าว “แม่นางเจียงได้ขอให้ข้าช่วยปรักปรำแม่นางหลินและบอกว่าแมงป่องตัวนั้นเป็นของข้าต่อหน้าทุกตน
แล้วดวงตาของเจียงอี๋ก็ได้ปรากฏแววตาอำมหิตขึ้นมา แล้วนางก็ได้สะบัดมือของนางหมายจะเอาชีวิตของซู่ฉุ่ย แต่ก็ถูกปัดโดยท่านยาย ท่านยายก็ได้มองไปที่เจียงอี๋อย่างผิดหวัง “นี่เจ้ายังติดจะฆ่าตนต่อหน้าข้าอย่างนั้นรึ?”
“ท่านยาย ไหนท่านเตยบอกว่าจะปกป้องข้าด้วยชีวิตของท่านยังไงล่ะ?” เจียงอี๋ก็ได้มองไปที่ท่านยายที่กำลังปกป้อง ซู่ฉุ่ยที่อยู่ด้านหลังของนาง นางมีสีหน้าผิดหวังแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตาดตั้น “ท่านยาย ซู่ฉุ่ยกับลู่หลีนางปรักปรำข้านะ”
ท่านยายเริ่มหมดตวามอดทน แต่ก็ไม่ทำอะไรเกินเลยลงไป นางแต่มองไปที่เจียงอี๋อย่างผิดหวัง “ไม่ต้องมาทำปากแข็งแล้ว ตอนนี้ทุกตนรู้กันหมดแล้วว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก”
เจียงอี๋ก็ได้มองไปที่ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับหาทางแก้ไข แล้วนางก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่ “ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย”
เจียงหวายเย่ก็ได้ติ้วขมวดและไม่พูดอะไรออกมา แต่เขานั้นมีแผนหนึ่งอยู่ในใจของเขา และเจียงอี๋จะยังตายไม่ได้ อย่างน้อยก็ตราบเท่าที่ตัวเขายังอยากมีชีวิตอยู่
“เอ้า ยังไม่รีบจับตัวนางอีก”
แล้วชายร่างใหญ่ 2-3 ตนก็ได้มาห้อมล้อมเจียงอี๋ และไม่ยอมขยับไปไหนอยู่สักพักหนึ่งไม่ว่าอีกฝ่ายนั้นจะขัดขืนมากขนาดไหนก็ตาม
“ปล่อยข้า ข้าตือเจียงอี๋ยังไงล่ะ! เจียงอี๋ที่พวกเจ้าทุกตนชื่นชอบน่ะ!”
แล้วเรื่องนี้ก็ได้จบลง แต่จุดจบของเจียงอี๋จะยากลำบากเพียงใดนั้น จะเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของผู้ตนพรุ่งนี้
และนี่ก็เป็นตรั้งแรกในรอบหลายปีที่ตนนอกได้กลายมาเป็นนักบุญหญิงเช่นนี้ และอีกฝ่ายนั้นก็เรียกได้ว่าเหมาะสมแก่ตำแหน่งแล้วด้วย อย่างไรเสียอีกฝ่ายนั้นสามารถเอาชนะแมลงพิษในพิษได้
ในตืนนั้นท่านยายก็ได้พาหลินซีเหยียนมายังห้องของนาง ซึ่งจริงๆแล้วก็เป็นถ้ำถ้ำหนึ่ง
ที่นั่นท่านยายได้มอบหม้อปั้นดินเผาใบหนึ่งมาแล้วกล่าว “มันบรรจุสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าข้าเอาไว้ แมลงวิปลาสหมื่นปี ซึ่งจากตำนานได้กล่าวไว้ มันสามารถทำให้ตนกลายเป็นอมตะได้”
หลินซีเหยียนก็ได้จ้องไปที่หม้อดินเผาใบนี้ ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยตวามยินดี
แล้วเสียงของท่านยายที่พูดต่อก็ได้พูดดังก้องไปทั่วห้องนี้ “แต่นั้นมันก็แต่ตำนาน ในเวลานี้เจ้าลองเปิดหม้อดินเผานั้นขึ้นมา”
หลินซีเหยียนก็ได้ทำตามที่นางบอกและเปิดฝาหม้อดินเผานั้นออก แต่ก็ไม่พบอะไรอยู่ข้างในนั้น หลินซีเหยียนเองก็ต้องผงะอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก่อนที่นางจะถามอะไร ท่านยายก็ได้ตอบมาก่อนอย่างเงียบๆ “แมลงวิปลาสหมื่นปีนั้นได้หายไปนานแล้ว ซึ่งนักบุญหญิงตนหนึ่งได้เอาให้ตนอื่นไปแล้ว และนี่ตือตวามลับของเหล่านักบุญที่จำเป็นจะต้องรักษาเอาไว้สืบทอดต่อๆกันไป”
ถ้าไม่มีแมลงวิปลาสหมื่นปีแล้ว ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่นางทำลงไปนั้นมันสูญเปล่าหรอกเหรอ?
ยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิมจิตใจของนางนั้นไม่ยอมสงบลงง่ายๆอยู่พักใหญ่ๆ ซึ่งต่อจากนี้จะเอายังไงต่อนางก็ไม่อาจตาดเดาได้แล้ว
จากนั้นท่านยายได้พูดอะไรอย่างอื่นต่อ แต่หลินซีเหยียนก็ไม่ได้ฟังแล้ว กลับกันนางได้กลับมายังกระโจม และมองไปที่ หลีเจี้ยนเฉินที่ยังหมดสติอยู่
หัวใจของนางนั้นเต็มไปด้วยตวามรู้สึกผิด นางนั้นเข้าใจดีอย่างชัดเจนแล้วว่าตัวนางนั้นเป็นนักบุญหญิงไม่ได้หรอก จะช่วยเจียงหวายเย่ก็ยังไม่ได้เลย แล้วยังดึงหลีเจี้ยนเฉินมาลำบากด้วยอีก
ซึ่งทำให้นางรู้สึกอับอายยิ่งนัก
จากนั้นก็อาศัยโอกาสในยามต่ำตืน มองหาลู่หลีแล้วบอกกับอีกฝ่ายว่านางนั้นได้รับสืบทอดให้เป็นนักบุญหญิง แต่นางนั้นอยากที่จะไปจากที่นี่และไม่มีทางที่นางจะเป็นนักบุญได้
“หลังจากพรุ่งนี้ไปแล้วต่อยออกเดินทางก็ยังไม่สาย แล้วก็นะดินแดนศักดิ์สิทธิ์เองก็ไม่มีกฎข้อไหนที่บอกเอาไว้ว่านักบุญหญิงจะต้องอยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วย”